บลจ.ไอเอ็นจี ส่ง"กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2" เน้นลงทุนทั้งหุ้นเเละตราสารหนี้ พร้อมทั้งคุ้มครองเงินต้นลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน "จุมพล" รับราคาหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลต้นทุนต่ำ สอดคล้องกับการลงทุนระยะยาวขณะเดียวกันได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาทต่อปีอีกด้วย เปิดขายIPO ครั้งเเรก 24-28 พฤศจิกายนนี้ เสนอขายขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2551 บลจ.ไอเอ็นจี จะเสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2” ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายลงทุนผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการลงทุนเพื่อคุ้มครองเงินต้น ที่มุ่งเน้นถึงความมั่นคง เพื่อสร้างกลไกในการปกป้องเงินลงทุนให้กับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร หรือของผู้ออกตราสารอยู่ในสองอันดับแรกจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินฝากในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งจะคัดเลือกตราสารที่มีวันครบกำหนดอายุไถ่ถอน 5 ปี ใกล้เคียงกับการครบรอบการลงทุนในแต่ละรอบ 5 ปีของกองทุน
ขณะที่ส่วนที่ 2 จะเป็นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีเป็นหลัก ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในหุ้น หุ้นกู้ที่มีคุณภาพและหากการลงทุนในส่วนนี้มีกำไรเกิดขึ้น ก็จะจัดสรรกำไรส่วนนั้นกลับมาไว้ในการลงทุนส่วนแรกและส่วนที่ 2 ตามความเหมาะสม
“ในสถานการณ์การลงทุนที่มีความผันผวนสูง และนักลงทุนกังวลเรื่องของความเสี่ยงมากขึ้นเช่นนี้ ทำให้เชื่อว่า กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2 จะสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการลงทุนที่เน้นคุ้มครองเงินต้น ทำให้ผู้ลงทุนไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้นสำหรับผู้ที่ลงทุนครบรอบระยะเวลาการลงทุน 5 ปี ขณะที่ส่วนที่เราแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้น ขณะนี้ก็ต้องยอมรับว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามาก ทำให้ต้นทุนในการเข้าไปลงทุนต่ำลง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะสอดคล้องกับการลงทุนในกองทุนอาร์เอ็มเอฟซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว” นายจุมพลกล่าว
นอกจากนี้ผู้ลงทุนใน “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2” ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยสามารถนำเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึงปีละ 15% ของเงินได้พึงประเมินทั้งปี และสูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี รวมทั้งยังได้รับโปรโมชั่นพิเศษจาก บลจ.ไอเอ็นจี โดยยอดซื้อสะสมทุกๆ 50,000 บาท จะได้รับ PTT Cash Card มูลค่า 100 บาทฟรี
ก่อนหน้านี้นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ทั้งหมดของบริษัทว่า ตลอดทั้งปีนี้มีแนวโน้มจะเติบโตมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้อยู่ที่ประมาณ 204,000 ล้านบาท โดยจะอยู่ที่ประมาณ 214,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.2 พันล้านยูโร เนื่องจากมีเงินลงทุนจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเพิ่มเติมจำนวน 10,000 ล้านบาท รวมทั้งเงินจากกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ได้ออกขายไปในปีนี้ นอกจากนี้ยังคาดการณ์ด้วยว่าในปีหน้าทางบริษัทจะมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 244,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 4.8 พันล้านยูโร ขณะเดียวกันในปีหน้าทางบริษัทจะมีการออกขายกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น รวมถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 2 กอง และโปรดักส์ตัวใหม่ในช่วงกลางปี
ขณะเดียวกัน กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี ยังกล่าวถึงเรื่องของการควบรวมระหว่าง บลจ. ไอเอ็นจี กับ บลจ.ทหารไทย ว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะทั้ง 2 บลจ. มีแนวทางการลงทุนและการบริหารงานในลักษณะที่แตกต่างกันดังนั้นเชื่อว่าจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ซึ่งภายหลังจากทีได้เข้าไปรวมกิจการกับทางบลจ. ทหารไทยแล้ว ทางบริษัทมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นประมาณ 15 % และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2551 บลจ.ไอเอ็นจี จะเสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2” ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายลงทุนผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการลงทุนเพื่อคุ้มครองเงินต้น ที่มุ่งเน้นถึงความมั่นคง เพื่อสร้างกลไกในการปกป้องเงินลงทุนให้กับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร หรือของผู้ออกตราสารอยู่ในสองอันดับแรกจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินฝากในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งจะคัดเลือกตราสารที่มีวันครบกำหนดอายุไถ่ถอน 5 ปี ใกล้เคียงกับการครบรอบการลงทุนในแต่ละรอบ 5 ปีของกองทุน
ขณะที่ส่วนที่ 2 จะเป็นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีเป็นหลัก ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในหุ้น หุ้นกู้ที่มีคุณภาพและหากการลงทุนในส่วนนี้มีกำไรเกิดขึ้น ก็จะจัดสรรกำไรส่วนนั้นกลับมาไว้ในการลงทุนส่วนแรกและส่วนที่ 2 ตามความเหมาะสม
“ในสถานการณ์การลงทุนที่มีความผันผวนสูง และนักลงทุนกังวลเรื่องของความเสี่ยงมากขึ้นเช่นนี้ ทำให้เชื่อว่า กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2 จะสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการลงทุนที่เน้นคุ้มครองเงินต้น ทำให้ผู้ลงทุนไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้นสำหรับผู้ที่ลงทุนครบรอบระยะเวลาการลงทุน 5 ปี ขณะที่ส่วนที่เราแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้น ขณะนี้ก็ต้องยอมรับว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามาก ทำให้ต้นทุนในการเข้าไปลงทุนต่ำลง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะสอดคล้องกับการลงทุนในกองทุนอาร์เอ็มเอฟซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว” นายจุมพลกล่าว
นอกจากนี้ผู้ลงทุนใน “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2” ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยสามารถนำเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึงปีละ 15% ของเงินได้พึงประเมินทั้งปี และสูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี รวมทั้งยังได้รับโปรโมชั่นพิเศษจาก บลจ.ไอเอ็นจี โดยยอดซื้อสะสมทุกๆ 50,000 บาท จะได้รับ PTT Cash Card มูลค่า 100 บาทฟรี
ก่อนหน้านี้นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ทั้งหมดของบริษัทว่า ตลอดทั้งปีนี้มีแนวโน้มจะเติบโตมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้อยู่ที่ประมาณ 204,000 ล้านบาท โดยจะอยู่ที่ประมาณ 214,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.2 พันล้านยูโร เนื่องจากมีเงินลงทุนจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเพิ่มเติมจำนวน 10,000 ล้านบาท รวมทั้งเงินจากกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ได้ออกขายไปในปีนี้ นอกจากนี้ยังคาดการณ์ด้วยว่าในปีหน้าทางบริษัทจะมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 244,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 4.8 พันล้านยูโร ขณะเดียวกันในปีหน้าทางบริษัทจะมีการออกขายกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น รวมถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 2 กอง และโปรดักส์ตัวใหม่ในช่วงกลางปี
ขณะเดียวกัน กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี ยังกล่าวถึงเรื่องของการควบรวมระหว่าง บลจ. ไอเอ็นจี กับ บลจ.ทหารไทย ว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะทั้ง 2 บลจ. มีแนวทางการลงทุนและการบริหารงานในลักษณะที่แตกต่างกันดังนั้นเชื่อว่าจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ซึ่งภายหลังจากทีได้เข้าไปรวมกิจการกับทางบลจ. ทหารไทยแล้ว ทางบริษัทมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นประมาณ 15 % และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว