ASTVผู้จัดการรายวัน - บริษัทจดทะเบียนตื่นตัว เร่งปรับเกมรับมือความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก "บ้านปู" หยุดกิจกรรมยาวไปถึงกลางปี เหตุยังไม่มั่นใจเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้ว ระบุเน้นให้ความสำคัญกันมูลค่าของสินทรัพย์ และกระแสเงินสดมากขึ้น หลังราคาทรัพย์สินทั่วโลกวูบถ้วนหน้า พร้อมรีวิวสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใหม่ หวั่นผลกระทบลาม ด้าน "ปตท." รื้อแผนรับมือความเสี่ยง ชง 3 แนวทางแก้เกมครอบคลุมทุกกรณี ขณะที่ "กบข" ชี้ หัวใจของระบบบริหารความเสี่ยง คือต้องมีระบบบริหารจัดการเงินที่ดี
วานนี้ (13 ม.ค.) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ได้จัดงานสัมมนา "TLCA Annual Risk Management Conference 2009 : บริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ" ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ซึ่งงานสัมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงที่ดี จากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจนส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งนี้ เพื่อรับมือความเสี่ยงที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ของหรืออย่างน้อยยาวไปถึงช่วงกลางปีนี้ บริษัทจะยังไม่ขยับอะไรมากนัก เพราะยังไม่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในขณะนี้ จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่เชื่อว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในรูปตัววี (V) แต่มองว่าจะเป็นลักษณะตัวยู (U) มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงต้องติดตามดูต่อไปว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงจีนและรัฐบาลไทยเอง จะออกมาอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคาดเดาได้ยากว่าจะลงลึกแค่ไหน หรือจะฟื้นกลับมาเมื่อไหร่
โดยในระยะนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับมูลค่าของสินทรัพย์และกระแสเงินสดเป็นหลัก ทั้งภาพรวมในปัจจุบันและแนวทางที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต เนื่องจากสินทรัพย์มีการปรับราคาทั่วโลก ซึ่งภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทจะกลับมาพิจารณาตัวเลขเหล่านี้อีกครั้ง ว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ ควรมีอยู่ต่อไปหรือไม่ หรือในส่วนที่ราคาดีก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปถือสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่า เพื่อโอกาสที่ดีในระยะยาว
"สิ่งที่เป็นห่วงในขณะนี้ คือเรื่องของสภาพคล่องของโลก ว่ายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในการที่รักษาสภาพคล่องเอาไว้ แต่ในระยะต่อไป จะเป็นความเสี่ยงของภาคเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งในปีนี้ เราไม่ห่วงมากนัก แต่เป็นห่วงปี 2553 และปี 2554 มากกว่า เพราะยังไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นแล้ว เศรษฐกิจจะแย่ไปถึงไหนและจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน"นายชนินท์กล่าว
นายชนินท์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางในการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เราเองมีการทบทวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงส่วนงานที่ขยายไปในต่างประเทศ ก็จะโอนมาที่หน่วยบริหารความเสี่ยงด้วย โดยบริษัทมีการประชุมคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทุก 3 เดือน ยกเว้นมีเหตุการณ์สำคัญก็จะมีการหารือเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในการประชุมแต่ละครั้ง จะพิจารณาถึงปัจจัยภายนอก ภาพรวมเศรษฐกิจ การเงิน ธุรกิจพลังงานในปัจจุบัน ว่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทหรือไม่ ซึ่งเราเองถือว่าโชคดี เพราะว่าเงินกู้ส่วนใหญ่อยู่ในสถาบันการเงินไทยที่มีฐานะการเงินดี รวมถึงสถาบันการเงินในเอเชีย ยุโรป โดยไม่มีการกู้เงินกับสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่มีปัญหา ดังนั้น เราจึงได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยในแง่ของแหล่งเงินทุน
ทั้งนี้ ถึงว่าแม้ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจะขยายตัวดีต่อเนื่องหลายปี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ปรับตัวดีขึ้น แต่จากปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็มีผลต่อกำลังซื้อบ้าง แต่เราก็มีการเซ็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงเอาไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ หากเราจะทำอะไรก็ต้องดูว่าผลกระทบภาพรวมมีอะไรบ้าง โดยจะใช้หลักทำสัญญาขาย 80% และสัญญาจ้างเพียง 20% ขณะเดียวกัน ก็ดูว่าสัญญาทางการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่เซ็นไปแล้ว หลังจากนี้จะมีปัญหาหรือไม่
"ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วถึงปัจจุบัน เรามีการตรวจสอบสัญญาขายถ่านหินมาตลอด เพราะการเซ็นสัญญาไปแล้ว ต้องกลับมาดูว่ามีผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาการเงิน เศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ต้องดูไปถึงความต้องการสั่งซื้อสินค้าด้วยว่าจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ถึงแม้ว่าถ่านหินจะมีการขายล่วงหน้าไปแล้วในเอเชียปีละ 5 แสนถึง 1 ล้านตัน แต่หากว่าปีนี้ขายสินค้าได้เพียง 70-80% ก็จำเป็นต้องหาลูกค้ารายใหม่เพื่อรองรับในส่วน 20-30% ที่เหลือ"นายชนินท์กล่าว
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมธุรกิจพลังงานได้รับผลกระทบ 3 เรื่องด้วยกัน คือ ปัญหาทางการเงิน ซึ่งเกิดจากการมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจนส่งผลทำให้การเงินตึงตัว และ กระทบต่อเงินกู้เพื่อขยายธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อเรื่องของต้นทุนด้วย เพราะถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะลดลง แต่ต้นทุนจริงในการกู้ยังสูงอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจทางด้านธุรกิจ รวมถึงผลกระทบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนด้วย
ปัญหาที่ 2 คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่ออำนาจการใช้จ่าย การบริโภค และต่อเนื่องไปถึงความต้องการขายสินค้าลดลง ทำให้รายได้เข้าบริษัทน้อยลง และทำให้การขยายธุรกิจได้น้อยลงด้วย
ปัญหาสุดท้าย คือ ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา มีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยราคาปรับขึ้นไปถึง 147 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จาก 80 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วดังกล่าวส่งผลต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้มีต้นทุนที่คาดเดาได้ยาก ทั้งนี้ ไทยเองนำเข้าพลังงานและก๊าซธรรมชาติรวม 60 % ของการใช้ในประเทศ ซึ่งการที่พลังงานผันผวน ก็ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลในเรื่องดุลการค้า ในการทำให้งบดุลเหมาะสมเป็นไปค่อนข้างลำบาก นอกจากนี้ ยังกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภคเยอะ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะเข้ามาดูแล
นายเทวินทร์กล่าวว่า ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงินมีเหตุการณ์หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทต้องกลับมาดูแผนงานบริหารความเสี่ยงที่วางไว้ในช่วง 5 ปี (2552-2556) ข้างหน้าใหม่ โดยสิ่งที่เราทำคือ วางแนวทางไว้ 3 รูปแบบ เพื่อให้สมดุลกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยในแนวทางทั้ง 3 แนวทางนั้นก็ได้วางแผนงานรองรับทั้ง 3 รูปแบบเช่นกัน
นอกเหนือจากนั้น บริษัทยังวางเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเอาไว้ด้วย โดยเป้าหมายระยะสั้น คือเรื่องของสภาพคล่อง ซึ่งในส่วนนี้ ต้องบวกการลงทุนเข้าไปด้วย เพราะถ้าไม่มีการลงทุนก็จะเป็นการเสียโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น ในการกำหนดเป้าหมายต้องมีความสมดุลกันระหว่างเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวด้วย
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า หัวใจของระบบบริหารความเสี่ยงในตอนนี้คือ ต้องมีระบบบริหารจัดการเงินที่ดี เพราะหลังจากนี้โอกาสที่จะมีสถาบันการเงินมารองรับพอร์ตการลงทุนของเราเหมือนแต่ก่อนอาจจะมีน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ การปรับช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ต้องเกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่หยุดการลงทุนเอาไว้แล้วถือเงินสดเอาไว้อย่างเดียว
"ปีที่แล้วถือเป็นบทเรียนสำหรับทุกหน่วยงาน เพราะไม่มีใครคิดว่าเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ตลาดหุ้นทั่วโลกจะตกไปถึง 30% ดังนั้น เมื่อมีประสบการณ์แล้ว ก็สามารถระบุความเสี่ยงที่ใช้ในการบริการกองทุนได้กว้างขึ้น"นายวิสิฐกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนของกบข.เอง ปัจจุบัน มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทั้งหมดประมาณ 14-15% โดยเป็นสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศประมาณ 7% จากกรอบการลงทุนในระดับ 8-9% ส่วนจะลงทุนเพิ่มอีกหรือไม่นั้น เราเองกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอยู่ โดยจะให้ความสำคัญในการดูบริษัทจดทะเบียนว่าจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ต้องรอดูว่าหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศจะถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในปีนี้ต้องระมัดระวัง เพราะเราเองยังไม่รู้ว่า ณ ราคาในปัจจุบันมันได้สะท้อนผลกระทบจากวิกฤตหรือยัง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้เช่นกัน ทั้งนี้ กบข.ได้ปรับสัดส่วนการลงทุนใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรวมถึงโครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
วานนี้ (13 ม.ค.) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ได้จัดงานสัมมนา "TLCA Annual Risk Management Conference 2009 : บริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ" ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ซึ่งงานสัมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงที่ดี จากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจนส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งนี้ เพื่อรับมือความเสี่ยงที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ของหรืออย่างน้อยยาวไปถึงช่วงกลางปีนี้ บริษัทจะยังไม่ขยับอะไรมากนัก เพราะยังไม่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในขณะนี้ จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่เชื่อว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในรูปตัววี (V) แต่มองว่าจะเป็นลักษณะตัวยู (U) มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงต้องติดตามดูต่อไปว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงจีนและรัฐบาลไทยเอง จะออกมาอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคาดเดาได้ยากว่าจะลงลึกแค่ไหน หรือจะฟื้นกลับมาเมื่อไหร่
โดยในระยะนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับมูลค่าของสินทรัพย์และกระแสเงินสดเป็นหลัก ทั้งภาพรวมในปัจจุบันและแนวทางที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต เนื่องจากสินทรัพย์มีการปรับราคาทั่วโลก ซึ่งภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทจะกลับมาพิจารณาตัวเลขเหล่านี้อีกครั้ง ว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ ควรมีอยู่ต่อไปหรือไม่ หรือในส่วนที่ราคาดีก็อาจจะปรับเปลี่ยนไปถือสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่า เพื่อโอกาสที่ดีในระยะยาว
"สิ่งที่เป็นห่วงในขณะนี้ คือเรื่องของสภาพคล่องของโลก ว่ายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในการที่รักษาสภาพคล่องเอาไว้ แต่ในระยะต่อไป จะเป็นความเสี่ยงของภาคเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งในปีนี้ เราไม่ห่วงมากนัก แต่เป็นห่วงปี 2553 และปี 2554 มากกว่า เพราะยังไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นแล้ว เศรษฐกิจจะแย่ไปถึงไหนและจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน"นายชนินท์กล่าว
นายชนินท์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางในการบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เราเองมีการทบทวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงส่วนงานที่ขยายไปในต่างประเทศ ก็จะโอนมาที่หน่วยบริหารความเสี่ยงด้วย โดยบริษัทมีการประชุมคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทุก 3 เดือน ยกเว้นมีเหตุการณ์สำคัญก็จะมีการหารือเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในการประชุมแต่ละครั้ง จะพิจารณาถึงปัจจัยภายนอก ภาพรวมเศรษฐกิจ การเงิน ธุรกิจพลังงานในปัจจุบัน ว่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทหรือไม่ ซึ่งเราเองถือว่าโชคดี เพราะว่าเงินกู้ส่วนใหญ่อยู่ในสถาบันการเงินไทยที่มีฐานะการเงินดี รวมถึงสถาบันการเงินในเอเชีย ยุโรป โดยไม่มีการกู้เงินกับสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่มีปัญหา ดังนั้น เราจึงได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยในแง่ของแหล่งเงินทุน
ทั้งนี้ ถึงว่าแม้ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจะขยายตัวดีต่อเนื่องหลายปี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ปรับตัวดีขึ้น แต่จากปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็มีผลต่อกำลังซื้อบ้าง แต่เราก็มีการเซ็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงเอาไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ หากเราจะทำอะไรก็ต้องดูว่าผลกระทบภาพรวมมีอะไรบ้าง โดยจะใช้หลักทำสัญญาขาย 80% และสัญญาจ้างเพียง 20% ขณะเดียวกัน ก็ดูว่าสัญญาทางการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่เซ็นไปแล้ว หลังจากนี้จะมีปัญหาหรือไม่
"ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วถึงปัจจุบัน เรามีการตรวจสอบสัญญาขายถ่านหินมาตลอด เพราะการเซ็นสัญญาไปแล้ว ต้องกลับมาดูว่ามีผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาการเงิน เศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ต้องดูไปถึงความต้องการสั่งซื้อสินค้าด้วยว่าจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ถึงแม้ว่าถ่านหินจะมีการขายล่วงหน้าไปแล้วในเอเชียปีละ 5 แสนถึง 1 ล้านตัน แต่หากว่าปีนี้ขายสินค้าได้เพียง 70-80% ก็จำเป็นต้องหาลูกค้ารายใหม่เพื่อรองรับในส่วน 20-30% ที่เหลือ"นายชนินท์กล่าว
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมธุรกิจพลังงานได้รับผลกระทบ 3 เรื่องด้วยกัน คือ ปัญหาทางการเงิน ซึ่งเกิดจากการมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจนส่งผลทำให้การเงินตึงตัว และ กระทบต่อเงินกู้เพื่อขยายธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อเรื่องของต้นทุนด้วย เพราะถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะลดลง แต่ต้นทุนจริงในการกู้ยังสูงอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจทางด้านธุรกิจ รวมถึงผลกระทบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนด้วย
ปัญหาที่ 2 คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่ออำนาจการใช้จ่าย การบริโภค และต่อเนื่องไปถึงความต้องการขายสินค้าลดลง ทำให้รายได้เข้าบริษัทน้อยลง และทำให้การขยายธุรกิจได้น้อยลงด้วย
ปัญหาสุดท้าย คือ ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา มีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยราคาปรับขึ้นไปถึง 147 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จาก 80 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วดังกล่าวส่งผลต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้มีต้นทุนที่คาดเดาได้ยาก ทั้งนี้ ไทยเองนำเข้าพลังงานและก๊าซธรรมชาติรวม 60 % ของการใช้ในประเทศ ซึ่งการที่พลังงานผันผวน ก็ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลในเรื่องดุลการค้า ในการทำให้งบดุลเหมาะสมเป็นไปค่อนข้างลำบาก นอกจากนี้ ยังกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภคเยอะ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะเข้ามาดูแล
นายเทวินทร์กล่าวว่า ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงินมีเหตุการณ์หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทต้องกลับมาดูแผนงานบริหารความเสี่ยงที่วางไว้ในช่วง 5 ปี (2552-2556) ข้างหน้าใหม่ โดยสิ่งที่เราทำคือ วางแนวทางไว้ 3 รูปแบบ เพื่อให้สมดุลกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยในแนวทางทั้ง 3 แนวทางนั้นก็ได้วางแผนงานรองรับทั้ง 3 รูปแบบเช่นกัน
นอกเหนือจากนั้น บริษัทยังวางเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเอาไว้ด้วย โดยเป้าหมายระยะสั้น คือเรื่องของสภาพคล่อง ซึ่งในส่วนนี้ ต้องบวกการลงทุนเข้าไปด้วย เพราะถ้าไม่มีการลงทุนก็จะเป็นการเสียโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น ในการกำหนดเป้าหมายต้องมีความสมดุลกันระหว่างเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวด้วย
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า หัวใจของระบบบริหารความเสี่ยงในตอนนี้คือ ต้องมีระบบบริหารจัดการเงินที่ดี เพราะหลังจากนี้โอกาสที่จะมีสถาบันการเงินมารองรับพอร์ตการลงทุนของเราเหมือนแต่ก่อนอาจจะมีน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ การปรับช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ต้องเกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่หยุดการลงทุนเอาไว้แล้วถือเงินสดเอาไว้อย่างเดียว
"ปีที่แล้วถือเป็นบทเรียนสำหรับทุกหน่วยงาน เพราะไม่มีใครคิดว่าเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ตลาดหุ้นทั่วโลกจะตกไปถึง 30% ดังนั้น เมื่อมีประสบการณ์แล้ว ก็สามารถระบุความเสี่ยงที่ใช้ในการบริการกองทุนได้กว้างขึ้น"นายวิสิฐกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนของกบข.เอง ปัจจุบัน มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทั้งหมดประมาณ 14-15% โดยเป็นสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศประมาณ 7% จากกรอบการลงทุนในระดับ 8-9% ส่วนจะลงทุนเพิ่มอีกหรือไม่นั้น เราเองกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอยู่ โดยจะให้ความสำคัญในการดูบริษัทจดทะเบียนว่าจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ต้องรอดูว่าหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศจะถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในปีนี้ต้องระมัดระวัง เพราะเราเองยังไม่รู้ว่า ณ ราคาในปัจจุบันมันได้สะท้อนผลกระทบจากวิกฤตหรือยัง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้เช่นกัน ทั้งนี้ กบข.ได้ปรับสัดส่วนการลงทุนใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรวมถึงโครงสร้างธุรกิจ และโครงสร้างทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย