ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยประเดิมปีวัวสุดคึกคัก เป็นไปตลาดหุ้นทั่วโลก หลังทั้งสหรัฐฯ เตรียมคลอดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นเดียวกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประกอบกับราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้นใกล้ระดับบาร์เรลละ 50 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนแห่เก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ หนุนดัชนีวันแรกพุ่งเฉียด 30 จุด มูลค่าซื้อขายกว่า 1.8 หมื่นล้าน เผยต่างชาติดอดซื้อสุทธิเกือบพันล้าน โบรกเกอร์มั่นใจ January Effect ดึงเงินนอกไหลเข้า เชื่อการเมืองคลี่คลายดันดัชนีเดือน ม.ค.ทะลุ 500 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (5 ม.ค.) เปิดทำการวันแรกของปีฉลู ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างคึกคัก โดยมีแรงซื้อเข้ามนในหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ ที่ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทยด้วย
จากปัจจัยบวกดังกล่าว ผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่แดนบวกตลอดทั้งวัน มีจุดต่ำสุดที่ 459.57 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นจนหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 478.69 จุด เพิ่มขึ้นแรงกว่า 28.73 จุด หรือคิดเป็น 6.39% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,596.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาประเดิมซื้อหุ้นในวันแรกนี้ โดยมียอดซื้อสุทธิ 949.21 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,926.03 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,875.24 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 123 บาท เพิ่มขึ้น 16 บาท หรือคิดเป็น 14.95% มูลค่าการซื้อขาย 1,678.77 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 189 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 8.00% มูลค่าการซื้อขาย 2,374.55 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 258 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท หรือ 13.16% มูลค่าการซื้อขาย 1,947.31 ล้านบาท
**ราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า ภาพรวมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรกของปี 2552 ค่อนข้างสดใส โดยมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีปัจจัยขับเคลื่อนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้นใกล้ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล บวกกับแรงซื้อจากปรากฏการณ์ January Effect ที่มีเม็ดเงินย้ายกลับ ซึ่งในทุกครั้งจะมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นถึง 80%
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นยังได้รับอานิสงส์จากกรณีที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ทำให้ผลตอบแทนจากากรลงทุนในตราสารทางการเงินทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ลดลง นักลงทุนจึงปรับแผนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมทั้งความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของนายบารัค โอบามา ที่จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ได้สะท้อนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนปัจจัยในประเทศจากการประกาศลดดอกเบี้ยของนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ได้ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากผู้ลงทุนมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการปรับตามทิศทางต่างประเทศเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (6 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมีทิศทางขาขึ้นจากปรากฏการณ์ January Effect แต่นักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันในตลาดโลก และทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็งกำไรในระยะสั้น ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 450 จุด และแนวต้านที่ 480 จุด
**ขายทำกำไรดัชนีใกล้ 480 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ ฮ่องกง และจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ได้ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเกือบแตะแนวต้านที่ 480 จุด
“ปัจจัยในประเทศยังไม่มีความเคลื่อนไหวพิเศษ เนื่องจากอยู่ในช่วงรอดูท่าทีและกรอบการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขณะที่ปัญหาการเมืองในประเทศเองยังดูเหมือนจะไม่คลี่คลายไปเลยทีเดียว เนื่องจากยังมีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาคัดค้าน”
ส่วนแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยนักลงทุนควรจับตาการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ดังนั้นควรชะลอการลงทุนระยะยาวออกไปก่อน ขณะที่การลงทุนระยะสั้น หากดัชนีบวกใกล้ระดับ 480 จุด ให้รีบเทขายทำกำไรก่อน ประเมินแนวรับไว้ที่ 455 จุด และแนวต้านที่ 480 จุด
**หวังสหรัฐฯเพิ่มมาตรการอุ้ม ศก.
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดวันสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องมานักลงทุนเริ่มมีความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสามารถแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้สามารถบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่ แม้จะมีเสียงคัดค้านของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยบ้าง
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกต่อไปได้ นักลงทุนควรจับตาการทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อขายระยะสั้นในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและพลังงานที่อาจได้รับปัจจัยของการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งในและต่างประเทศ แนวรับที่ 466-470 จุด และแนวต้านที่ 480-488 จุด”
**ม.ค.ดัชนีหุ้นไทยทะลุ 500 จุด
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายวันแรกในปี 2552 ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคัก โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับแรงผลักดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการเก็งกำไรจากกระแสข่าวที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจจากเดิม 7.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับช่วงต้นปีจะมีปรากฏการณ์ January Effect ที่มีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้น
“ก่อนหน้านี้กองทุนต่างๆ ได้ลดความเสี่ยงจากตลาดหุ้นด้วยการหันไปถือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งขณะนี้มีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำมาก ทำให้กองทุนต่างๆ กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยประเมินว่าในเดือนม.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทะยานขึ้นไปถึง 500 จุด จากนั้นจะอ่อนตัวลงในเดือน ก.พ. ตามแนวโน้มของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในไตรมาส 4 ปี 2551 จะออกมาย่ำแย่”.
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (5 ม.ค.) เปิดทำการวันแรกของปีฉลู ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างคึกคัก โดยมีแรงซื้อเข้ามนในหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ ที่ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไทยด้วย
จากปัจจัยบวกดังกล่าว ผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่แดนบวกตลอดทั้งวัน มีจุดต่ำสุดที่ 459.57 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นจนหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 478.69 จุด เพิ่มขึ้นแรงกว่า 28.73 จุด หรือคิดเป็น 6.39% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,596.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาประเดิมซื้อหุ้นในวันแรกนี้ โดยมียอดซื้อสุทธิ 949.21 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,926.03 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,875.24 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 123 บาท เพิ่มขึ้น 16 บาท หรือคิดเป็น 14.95% มูลค่าการซื้อขาย 1,678.77 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 189 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 8.00% มูลค่าการซื้อขาย 2,374.55 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 258 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท หรือ 13.16% มูลค่าการซื้อขาย 1,947.31 ล้านบาท
**ราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า ภาพรวมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรกของปี 2552 ค่อนข้างสดใส โดยมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีปัจจัยขับเคลื่อนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้นใกล้ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล บวกกับแรงซื้อจากปรากฏการณ์ January Effect ที่มีเม็ดเงินย้ายกลับ ซึ่งในทุกครั้งจะมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นถึง 80%
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นยังได้รับอานิสงส์จากกรณีที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ทำให้ผลตอบแทนจากากรลงทุนในตราสารทางการเงินทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ลดลง นักลงทุนจึงปรับแผนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า รวมทั้งความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของนายบารัค โอบามา ที่จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ได้สะท้อนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนปัจจัยในประเทศจากการประกาศลดดอกเบี้ยของนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ได้ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากผู้ลงทุนมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการปรับตามทิศทางต่างประเทศเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (6 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมีทิศทางขาขึ้นจากปรากฏการณ์ January Effect แต่นักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันในตลาดโลก และทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็งกำไรในระยะสั้น ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 450 จุด และแนวต้านที่ 480 จุด
**ขายทำกำไรดัชนีใกล้ 480 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ ฮ่องกง และจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ได้ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเกือบแตะแนวต้านที่ 480 จุด
“ปัจจัยในประเทศยังไม่มีความเคลื่อนไหวพิเศษ เนื่องจากอยู่ในช่วงรอดูท่าทีและกรอบการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขณะที่ปัญหาการเมืองในประเทศเองยังดูเหมือนจะไม่คลี่คลายไปเลยทีเดียว เนื่องจากยังมีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาคัดค้าน”
ส่วนแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยนักลงทุนควรจับตาการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ดังนั้นควรชะลอการลงทุนระยะยาวออกไปก่อน ขณะที่การลงทุนระยะสั้น หากดัชนีบวกใกล้ระดับ 480 จุด ให้รีบเทขายทำกำไรก่อน ประเมินแนวรับไว้ที่ 455 จุด และแนวต้านที่ 480 จุด
**หวังสหรัฐฯเพิ่มมาตรการอุ้ม ศก.
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดวันสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องมานักลงทุนเริ่มมีความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสามารถแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้สามารถบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่ แม้จะมีเสียงคัดค้านของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยบ้าง
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกต่อไปได้ นักลงทุนควรจับตาการทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อขายระยะสั้นในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและพลังงานที่อาจได้รับปัจจัยของการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งในและต่างประเทศ แนวรับที่ 466-470 จุด และแนวต้านที่ 480-488 จุด”
**ม.ค.ดัชนีหุ้นไทยทะลุ 500 จุด
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายวันแรกในปี 2552 ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคัก โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับแรงผลักดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการเก็งกำไรจากกระแสข่าวที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจจากเดิม 7.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับช่วงต้นปีจะมีปรากฏการณ์ January Effect ที่มีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้น
“ก่อนหน้านี้กองทุนต่างๆ ได้ลดความเสี่ยงจากตลาดหุ้นด้วยการหันไปถือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งขณะนี้มีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำมาก ทำให้กองทุนต่างๆ กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยประเมินว่าในเดือนม.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทะยานขึ้นไปถึง 500 จุด จากนั้นจะอ่อนตัวลงในเดือน ก.พ. ตามแนวโน้มของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในไตรมาส 4 ปี 2551 จะออกมาย่ำแย่”.