xs
xsm
sm
md
lg

ฝรั่งขนเงินหนีตลาดหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยกว่า 1.1 พันล้านบาท ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวนบวก-ลบเล็กน้อย เหตุนักลงทุนชะลอการลงทุนรอดูสถานการณ์การเมือง บล.บัวหลวง เผยนักลงทุนต่างชาติเลียนแบบพฤติกรรมเฮดจ์ฟันด์ ปรับเล่นระยะสั้นมากขึ้นและพร้อมขนเงินหนีไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นแทน ด้านโบรกเกอร์ แนะรอดูสถานการณ์หากดัชนีหลุด 850 จุด พร้อมให้น้ำหนักการลงทุนที่กลุ่มแบงก์
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (27 พ.ค.) ดัชนีปรับตัวขึ้นลงผันผวนใกล้เคียงกับราคาปิดครั้งแต่ ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายไม่มากนัก โดยดัชนีสูงสุดที่ 859.76 จุด ต่ำสุด 852.19 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 855.60 จุด ลดลง 1.20 จุด คิดเป็น 0.14% มูลค่าการซื้อขาย 17,117.61 ล้านบาท โดนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,120.98 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 245.74 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,366.71 ล้านบาท
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่ไม่รุนแรงเท่ากับวันก่อน จากตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยยังเป็นปัจจัยในประเทศเกี่ยวกับประเด็นการเมือง เมื่อการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังดำเนินต่อไป ทำให้นักลงทุนยังชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานลดลงต่ำเกินไปจากมาตรการของกระทรวงพลังงานที่ต้องการให้ลดค่ากลั่นน้ำมันดีเซล แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ทรงตัวเหนือ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังเป็นปัจจัยหนุนให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นพลังงาน
ขณะเดียวกัน ยังประเมินว่าช่วงนี้การเมืองในประเทศยังไม่มีความรุนแรง หลังจากรัฐบาลมีความเห็นชอบให้ทำประชามติก่อน ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดลงได้ ทั้งนี้ดัชนีจะเคลื่อนไหวโดยมีกรอบแนวรับที่ 850 จุด และแนวต้านที่ 860-865 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง เน้นกลุ่มธนาคารเป็นหลัก
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจากนี้จะลงทุนระยะสั้นมากขึ้นลักษณะเข้าเร็วออกเร็ว เหมือนกับกองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์) จากเดิมที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว แต่ไม่ใช่เฉพาะเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแต่จะเป็นลักษณะเหมือนกันทั่วโลก
ทั้งนี้ ส่งผลให้จากนี้ไปหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)ขนาดใหญ่จะมีความผันผวนมาก สังเกตได้จากก่อนหน้านี้หุ้นขนาดใหญ่มีการซื้อขายระหว่างวันผันผวนมากส่งผลให้ภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยโดยรวมค่อนข้างผันผวนจากการที่ประเทศไทยมีปัญหาทางด้านทางการเมืองก็จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนระยะสั้นหันไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นก่อนที่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า
"ในอนาคตหุ้นมาร์เก็ตขนาดใหญ่จะเล่นยากขึ้นเนื่องจากปัจจุบันเฮดจ์ ฟันด์ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นจะเล่นเก็งกำไรกันมากขึ้น สังเกตได้จากราคาหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างเหวี่ยงมากในการซื้อขายระหว่างวันส่งผลให้ตลาดหุ้นโดยรวมค่อนข้างผันผวน แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย ตลาดหุ้นทั่วโลกปัจจุบันมีความผันผวนมากขึ้นจากการเก็งกำไรของ เฮดจ์ ฟันด์"นายญาณศักดิ์ กล่าวว่า
สำหรับในอีก 2-3 ปีข้างหน้าส่วนนักลงทุนบุคคลในตลาดหุ้นเริ่มลดลง ต่ำกว่า 50% แต่จะไม่ต่ำกว่า 10-20% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนสถาบันจะเพิ่มขึ้น เพราะ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ขณะนี้มีพอร์ตการลงทุนเกือบทุกแห่ง โดยปัจจุบันนักลงทุนบุคคลในตลาดขณะนี้อยู่ที่ 50%
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างกังวลให้กับนักลงทุน เห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ เพราะมองภาพการเมืองของไทยยังมีความเสี่ยงสูง แม้ตลาดตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับปัจจัยบวกเล็กๆ จากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก
"ตลาดหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวอย่างผันผวน ซึ่งหากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นตลาดหรือมีเหตุการณ์ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับลดลงมากกว่า เนื่องจากปัจจัยการเมืองยังมีความเสี่ยงสูง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนหรือเลือกที่จะขายหุ้นออกมามากกว่า ดังนั้นเมื่อนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิจึงเป็นไปได้ยากที่ดัชนีจะปรับบวก โดยประเมินแนวรับที่ 850 จุด และแนวต้านที่ 860-865 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนหากดัชนียืนเหนือ 850 จุด สามารถถือต่อได้ แต่หากดัชนีหลุด 850 จุด แนะนำขาย และชะลอการลงทุนรอความชัดเจน"
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวน สลับกันทั้งในแดนบวกและลบ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีบทสรุปในทิศทางไหน โดยมองว่าเรื่องจะคลี่คลายได้หรือไม่ ขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐบาล หากรัฐบาลหยุดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นไทย แต่หากรัฐบาลยังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการทำประชามติก่อน ปัจจัยการเมืองก็ยังจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยอยู่ เมื่อรวมกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ความกังวลเงินเฟ้อเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คอยกดดันตลาดหุ้นช่วงนี้
สำหรับทิศทางวันนี้ ตลาดจะเป็นลักษณะ side way ขณะที่ยังไม่มีปัจจัยบวกและปัจจัยลบใหม่เข้ามา โดยมีกรอบแนวรับที่ 852 จุด แนวต้าน 863 จุด หากหลุดแนวรับดังกล่าวไปจะมีแนวรับถัดไปที่ 840 จุด ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามนอกเหนือจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ และราคาน้ำมันดิบ ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยอดขายบ้านใหม่ ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำขาย เพื่อลดความเสี่ยงหากดัชนีหลุดแนวรับ 852 จุด ขณะเดียวกันหากดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นแต่ไม่ผ่านแนวต้าน 863 จุด แนะนำขายทำกำไร
กำลังโหลดความคิดเห็น