xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.รุกการันตี กองบอนด์ยังเจ๋ง แม้ดบ.ลดลงอีก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- ผลตอบแทนการลงทุนตราสารหนี้หนีไม่พ้นปรับตัวลดลง บรรดาผู้จัดการกองทุนคาด 14 ม.ค.นี้ ที่ประชุมกนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกแน่ ตามกระแสเศรษฐกิจโลก แต่มั่นใจลูกค้าไม่โยกเงินหนีลงทุนหุ้น ซึ่งยังผันผวนสูง ดังนั้นภาพรวมจึงไม่กระทบเม็ดเงินกองทุนบอนด์มากนัก ขณะเดียวกันราคาตราสารหนี้จะได้รับอานิสงส์ปรับตัวเพิ่ม ส่วนภาวะเงินเฟ้อเชื่อมั่นจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของประเทศในปีนี้

นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มกราคมนี้ บริษัทคาดว่าผลการประชุมของกนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50-0.75% โดยจะทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับในการลงทุนในตราสารหนี้ปรับตัวลดลง

ทั้งนี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบให้มีมากขึ้น เพราะถ้าหากอัตราดอกเบี้ยต่ำจะทำให้มีเงินล้นเข้ามาในระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งการปรับเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยถือว่าเป็นหลักของระบบเศรษฐกิจในเรื่องของซัพพลายและดีมานด์

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งของ กนง.นั้น บริษัทมองว่านักลงทุนจะยังไม่กลับไปลงทุนในกองทุนหุ้น เนื่องจากว่ามุมมองของตลาดหุ้นในช่วงนี้ไม่น่าที่จะดีมากนัก แต่สำหรับในช่วงที่ผ่านมาที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมานั้น อาจจะมาจากการที่ตลาดหุ้นมีแรงซื้อเข้ามาจึงทำให้ดัชนีดีดตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับการลงทุนนั้น เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าสู่การลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงเสมอ

ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่ต่ำ โดยจากการประชุมของกนง.อาจจะมีการปรับลดลงไปได้อีก ซึ่งจากตรงนี้อาจจะทำให้นักลงทุนย้ายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นได้ ขณะเดียวกัน สถานะการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากปีที่แล้ว โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2551 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.4% สำหรับในปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงมากจนอาจะจะติดลบกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้การที่เศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อจะส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆปรับตัวลดลง รวมไปถึงราคาค่าก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวลดลงตามเงินเฟ้อด้วย

นายอาสา กล่าวอีกว่า ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรปที่จะเกิดขึ้นในเร็วนี้ โดยมีแนวโน้มจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งก่อนหน้านี้ทั่วโลกได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากว่าเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัว จึงทำให้ทั่วโลกได้มีการลดดอกเบี้ยลงเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ

นายศิระ คล่องวิชา ผู้จัดการกองทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า บริษัทได้คาดการณ์เกี่ยวกับผลประชุมของกนง.ในครั้งนี้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 0.75-1% โดยหลังจากที่มีการปรับลดดอกเบี้ยลงนั้น ไม่ได้กระทบต่อตลาดตราสารหนี้มากนัก โดยตลาดตราสารหนี้ได้ปรับตัวลดมารอผลการประชุมของกนง.แล้ว

ดังนั้นผลการประชุมในครั้งนี้หากมีการปรับลดดอกเบี้ยลงก็ไม่อาจกระทบต่อตราสารหนี้ หรือหากมีผลกระทบอาจะทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะไม่ทำให้นักลงทุนย้ายการลงทุนจากตราสารหนี้ไปลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นจะต้องรอความชัดเจนของสภาพเศรษฐกิจให้มากกว่าขณะนี้ อีกทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างที่จะมีความเสี่ยงของการลงทุนมากเพราะตลาดหุ้นค่อนข้างที่จะผันผวนทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นจึงมีความเสี่ยงสูงสำหรับนักลงทุนด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุมของธนาคารกลางยุโรป คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงตามประเทศต่างๆทั่วโลก เนื่องจากว่าเศรษฐกิจไม่ดีจึงทำให้มีการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับประเทศของตน โดยคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ลงเพียง 0.50%

นายศิระ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงถือเป็นข้อดี เพราะจะทำให้ความต้องการใช้ในสินค้าต่างๆลดน้อยลงไปด้วย อีกทั้งยังส่งผลให้ราคาสินค้าคงที่ไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งจะมีแต่ปรับตัวลดลง โดยคาดว่าทั้งปีอัตราเงินเฟ้อจะคงอยู่ที่ 1-2%

นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ผลการประชุมของกนง.น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่ต่ำกว่า 0.50% โดยถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะไม่ทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ลดลงไปมากนัก แต่เมื่อพิจารณาให้ดีจะพบว่าการลงทุนในตราสารหนี้ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารทุน ทั้งนี้มาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงพร้อมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่สูงมากนักทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับยังคงอยู่ในระดับดี อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลดนั้นไม่ได้ปรับลดเฉพาะในไทย แต่เป็นการปรับลดไปทั่วโลก อัตราดอกเบี้ยของไทยถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดลงก็ถือได้ว่ายังดีกว่าประเทศอื่นๆที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปจนเกือบเหลือ 0%

นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง.ในครั้งนี้ จะทำให้ราคาของตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา โดยในไตรมาสแรกจนถึงครึ่งปีแรกของปีนี้ การลงทุนในตราสารทุนค่อนข้างที่จะหนัก เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกได้อยู่ในภาวะการชะลอตัว แต่สำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลังนั้น มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นาย กรณ์ จาติกวณิช ที่มีแผนการเพิ่มงบประมาณกลางปีเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง เมื่อนาย โอบามาได้เข้ามาบริหาร และมีการออกมาตรการต่างๆมาเพื่อช่วยกระตุ้นเสณษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากตรงนี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนอีกครั้ง

นายธีระพันธ์ กล่าวอีกว่า การใช้จ่ายในภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจดีขึ้นนั้น รัฐบาลจะต้องมีการกระจายสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม โดยจากเลือกที่จะกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มรากหญ้าและกลุ่มเมกะโปรเจกต์จะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วและยาวนาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีการผสมผสานสัดส่วนการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆให้ดีจึงจะเกิดประโยชน์ อีกทั้งจะต้องเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

หากมีการกระจายสัดส่วนการลงทุนที่ดี จะทำให้มีภาคเอกชนกลับเข้ามาลงทุน โดยเมื่อมีการกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งจะส่งผลให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ธนาคารพาณิชย์ต่างๆก็จะมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นหลังจากที่ชะลอการปล่อยสินเชื่อ และในเมื่อธนาคารมีความมั้นใจปล่อยสินเชื่อให้เอกชนกู้ไปลงทุนจะทำให้มีเม็ดเงินใหลในระบบมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย

ด้านผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรปหรือ (ECB)ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ บริษัทคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยภาวะเศรษฐกิจของยุโรปในขณะนี้ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกามากนัก ดังนั้นเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ECB จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยใช้ระบบการใช้จ่ายในภาครัฐเข้ามาช่วยในการปรับการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือจีดีพีของประเทศให้ดีขึ้น ทั้งนี้เมื่อมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว จะจับตามองการบริหารนโยบายภาครัฐว่าจะเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหรือไม่ หรืออาจจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ในส่วนของสถานการณ์เงินเฟ้อหลังจากนี้ บริษัทมองว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้การใช้จ่ายของประชาชนลดน้อยลงไปด้วย อีกทั้งราคาน้ำมันได้มีการปรับตัวลดลงพร้อมทั้งสินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์ หรือคอมอดิตีจะมีแต่ปรับตัวลดลงไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าปัญหาในเรื่องเงินเฟ้อนั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในขณะนี้อย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น