การเลือกตั้งซ่อม ส.ส. 29 คน 26 เขตในวันที่ 11 ม.ค.นี้ มีความหมายเป็นการประลองกำลังครั้งสำคัญระหว่างรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน เพราะจะเป็นการชี้วัดขุมพลังทางการเมืองของสองขั้ว ว่าเครือข่ายอำนาจรัฐกับพลังทักษิณใครจะเป็นของจริง
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การเลือกตั้งครั้งนี้มีเดิมพันวางไว้สูง ด้วยว่าหากผลการเลือกตั้งออกมาว่าขั้วรัฐบาลเป็นฝ่ายปราชัย ก็จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล กระทั่งอาจทำให้รัฐบาลล้มคว่ำได้
ดังนั้น การเลือกตั้งซ่อมในวันอาทิตย์ที่ 11 ม.ค.นี้พรรคการเมืองทั้งสองขั้วจึงต้องทุ่มเทสรรพกำลังเข้าห่ำหั่นกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ "พรรคเพื่อไทย"บ้านใหม่ของสมุนทักษิณ ซึ่งส่งผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งครั้งแรกหวังจะได้แจ้งเกิดเต็มที่ จึงคาดว่าจะทุ่มเทกำลังทุกด้านเพื่อประกาศชัยชนะให้ได้ในการเลือกซ่อมครั้งนี้
สำหรับพรรคเพื่อไทย การต่อสู้ในพื้นที่ภาคอื่นอย่างเหนือและอีสาน มีโอกาสที่จะได้ที่นั่งส.ส.ไม่ยาก แต่ปัญหาศึกหนักอยู่ที่ภาคกลาง เพราะเจอกระดูกชิ้นโตอย่าง "พรรคชาติไทยพัฒนา" ของบรรหาร ศิลปอาชา เป็นไอ้เข้ขวางคลองอยู่ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้กันว่า งานนี้เตี้ยแพ้ไม่ได้
เพื่อหวังได้สูดกลิ่นชัยชนะ พรรคเพื่อไทยจึงจัดเน้นวางตัวขุนพลทหารระดับบิ๊กเนมลงกรำศึกภาคกลาง เลยเป็นภารกิจครั้งที่สองในรอบเวลาที่ห่างกันไม่นาน สำหรับ "โอลด์เติร์ก"อย่าง "พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี" ที่กลับมาทำพันธกิจการเมืองให้กับทักษิณ ชินวัตร อีกครั้ง
ด้วยการเข้ารับเป็นหน้าเสื่อคุมการเลือกตั้งในพื้นที่"ลพบุรี-สิงห์บุรี"ให้กับพรรคเพื่อไทยเพื่อต่อสู้กับผู้สมัครที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมคือชาติไทยพัฒนา
หลังจากก่อนหน้านี้ไม่นานเสธพัลลภเพิ่งจะรับหน้าที่โฆษกส่วนตัวออกมาการันตีให้ทักษิณ ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้
"มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน"
พลเอกพัลลภแสดงจุดยืนเช่นนี้ ถือเป็นการพลิกท่าทีการเมืองแบบ 360 องศา เพราะก่อนหน้าที่จะออกมาชี้แจงแทนทักษิณในเรื่องการไม่เคารพสถาบัน พัลลภเพิ่งจะขออาสาเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แทนพลตรีจำลอง ศรีเมือง เพื่อนรัก จปร.7 ในการชุมนุมประท้วงโค่นล้มระบอบทักษิณ และขับไล่รัฐบาลนอมินี
เป็นสัญญาใจว่า หากพลตรีจำลองถูกคุมขังไม่สามารถออกมาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลได้ พลเอกพัลลภก็ขออาสามาทำหน้าที่แทนเพื่อนรัก
ทว่า ในระหว่างมหาจำลองถูกควบคุมนั้น แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 1 ยังคงเดินหน้าขับไล่รัฐบาลทุนนิยมสามานย์ต่อไป โดยไม่เปิดประตูรับพลเอกพัลลภเข้ามาเสริมทัพ
ย่อมคาดเดาได้ว่า พลเอกพัลลภรู้สึกผิดหวัง เจ็บปวดอยู่ลึกๆ
อาจเป็นจังหวะพอดีที่เวลานั้นทักษิณต้องการดึงตัวทหาร/ตำรวจกลุ่มฮาร์ดคอร์เข้าร่วมกลยุทธ์ต่อสู้ขั้นรุนแรงกับพันธมิตรฯ ชื่อพลเอกพัลลภจึงติดอยู่อันดับต้นๆของคนที่ทักษิณต้องการ
ดังนั้น การเดินทางไปนั่งกินข้าวกับแบบวงเล็กๆ ในฮ่องกง ที่มีพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ,สุริยา ลาภวิสุทธิสิน และ พิเชษฐ์ สถิรชวาล ร่วมวงด้วยชนิดหลายคนที่เห็นภาพ "พัลลภกับทักษิณ"เปิดอกคุยกันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
และคงต้องลบความทรงจำในเรื่องคดีคาร์บอมบ์ที่มีคู่กรณีสำคัญคือทักษิณกับพัลลภ จนทำให้ทักษิณลงนามปลดพลเอกพัลลภจาก กอ.รมน.ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังได้รับรายงานการจับกุมผู้อยู่ในคดีคาร์บอมบ์ ที่ส่วนหนึ่งเป็นลูกน้องเก่าของพลเอกพัลลภใน กอ.รมน.
การกลับมาญาติดีกันของทักษิณกับพัลลภ พบว่าผ่านตัวประสานอย่าง "เสี่ยหมา"พิเชษฐ์ สถิรชวาล ที่แนบแน่นกับทักษิณและพจมานมาหลายสิบปี
ตั้งแต่พิเชษฐยังเป็น ผอ.ขสมก.และทักษิณเข้าประมูลทำวิทยุบนรถเมล์จนสายสัมพันธ์แน่นเกลียว ถึงขั้นทักษิณส่งพิเชษฐ์ไปเป็นตัวคุมค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้กับทักษิณในพรรคความหวังใหม่ก่อนที่จะมีการยุบความหวังใหม่มารวมกับไทยรักไทยเสียเลย เพราะอย่างไรก็ใช้กระเป๋าเงินเดียวกันอยู่แล้ว
และก็เป็น "พิเชษฐ-พัลลภ"สองนักการเมืองนักการทหารยี่ห้อ "พ"นำหน้า ที่ดูเหมือนจะถูกโฉลกกันเสียจริงๆในยุคนี้ เพราะทั้งสองคนเดินเข้ามาพรรคเพื่อไทยในเวลาพร้อมกันเสียด้วย เพื่อไทยมอบงานแรกให้พลเอกพัลลภ คือเป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งให้กับสองผู้สมัครพรรคเพื่อไทย คือ ประสงค์ สอนมานะ ผู้สมัครส.ส.ลพบุรี เขต 1 และพายัพ ปั้นเกตุ ที่สิงห์บุรี
แต่เพื่อไทยจะให้พัลลภ เน้นหนักในพื้นที่ลพบุรีมากเป็นพิเศษ
เพราะลพบุรีเป็นจังหวัดที่มีค่ายทหารสำคัญๆจำนวนมากในพื้นที่ และเป็นที่รู้กันว่าอดีตทหารระดับบิ๊กหลายคนที่ยังมีบทบาททางการเมืองมีอิทธิพลในเขตนี้ อย่างพลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน เติบโตในพื้นที่แห่งนี้ ถึงขั้นเคยมีข่าวว่าเจ้าตัวจะลงสมัคร ส.ว.แบบเลือกตั้งที่ลพบุรีเพื่อเตรียมเป็นประธานวุฒิสภา
ในช่วงก่อนเลือกตั้งปี 50 มีข่าวว่าพลเอกสนธิจะลาออกจากรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มาลงสมัคร ส.ส.ลพบุรี ในพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นหลายคนมองไปที่เพื่อแผ่นดิน แต่สุดท้ายทุกข่าวลือก็ไม่เป็นความจริง
แต่ที่จริงก็คือผลการเลือกตั้งในลพบุรี ซึ่งก่อนนั้นประชาธิปัตย์แทบไม่มีลุ้นในพื้นที่แห่งนี้เลย ก็ปรากฏว่าสามารถเบียดเข้ามาได้หนึ่งเสียงคือผ่องศรี ธาราภูมิ
โดยตอนนั้นทีมพลังประชาชนในลพบุรีออกมาโวยวายตลอดว่าโดนคมช.และทหารบล็อกทุกจุดและทุกความเคลื่อนไหว
เป็นบทเรียนที่สำคัญของส.ส.พลังประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีสามหัวหอกคือสุชาติ ลายน้ำเงิน,อำนวย คลังผา และนิยม วรปัญญาว่าเขตนี้ "ทหารแรง"
ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เมื่อพัลลภเข้ามารับตำแหน่งผอ.คุมการเลือกตั้งซ่อมให้กับพรรคเพื่อไทยในเขตนี้ ก็วิจารณ์กันได้ทันทีว่าคือแผนการของเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตร ในการดึงมือทหารแก่-พัลลภมาชนกับทหาร
เพื่อให้เพื่อไทยเบียดแย่งพื้นที่ได้เพิ่มอีกหนึ่งเสียงในลพบุรี หลังจากเขตเลือกตั้งนี้ของกมล จิระพันธ์วานิช อดีต ส.ส.หลายสมัยของพรรคชาติไทยผูกขาดมานาน อันแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยที่ส่งประสงค์ สอนมานะให้ความสำคัญกับพื้นที่นี้มากเป็นพิเศษ
ทั้งที่ในเขตภาคกลางก็ยังมีอีกหลายแห่งที่เมื่อดูตัวผู้สมัครของเพื่อไทยแล้ว ก็น่าจะพอเบียดแย่งได้แบบสูสี เช่นสิงห์บุรี ซึ่งเพื่อไทยส่งพายัพ ปั้นเกตุ อดีต ส.ส.สิงห์บุรีของไทยรักไทยลงสมัครแข่งกับโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ของประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ แห่งชาติไทยที่โดนตัดสิทธิ
หรืออ่างทอง ที่เพื่อไทยส่ง เพ็ญชิสา หงส์อุปถัมภ์ชัย อดีต ส.ส.ไทยรักไทยชนกับภคิน ปริศนานันทกุล พรรคชาติไทยพัฒนา ลูกชายอีกคนหนึ่งของสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต รมว.เกษตรฯ แต่กลับปรากฏว่าแกนนำเพื่อไทยแทบไม่ให้ความสำคัญกับสองพื้นที่นี้มากนัก ซึ่งนอกจากเป็นเพราะอาจประเมินว่ายากที่จะเอาชนะ
เช่นอ่างทอง ซึ่งอาจมีคะแนนสงสาร "เสี่ยตือ"สมศักดิ์ ที่โดนคดียุบพรรคทำให้ลูกชายที่ลงสมัครแทนอาจได้รับชัยชนะไม่ยาก
ส่วนสิงห์บุรี ก็พบว่าแกนนำเพื่อไทยก็ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะตัวพายัพเองด้วย ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างโลเล หลังไทยรักไทยถูกยุบ เพราะตอนแรกก็ไปอยู่กับพรรคมัชฌิมาธิปไตย แต่สุดท้ายก็ลาออกจากมัชฌิมาฯไปอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดินในเวลาไม่กี่วันก่อนเปิดรับสมัครเลือกตั้งปี 50 ทำให้แกนนำเพื่อไทยเลยไม่ได้ทุ่มเทให้กับสิงห์บุรีและอ่างทองมากเท่ากับลพบุรี
เพราะเห็นว่าโอกาสจะเบียดชนะนั้นยากกว่า จึงมามุ่งเน้นที่ลพบุรีเป็นหลักและต้องเรียกใช้บริการพลเอกพัลลภ ซึ่งรู้พื้นที่ในลพบุรีเป็นอย่างดี
เสธพัลลภเปิดอกถึงการกลับมาช่วยงานคุมการเลือกตั้งว่า "ผมกลับบ้านที่เคยอยู่ เพราะมีส่วนร่วมในการก่อสร้างพรรคไทยรักไทยมาก่อน ซึ่งช่วงนี้พรรคมีปัญหานิดหน่อย คนที่พรรคเคยสร้างให้เกียรติยศชื่อเสียง พากันหนีออกจากพรรคไปแสวงหาโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงเห็นว่าจำเป็นต้องกลับบ้านเก่า เป็นเพราะคำขอจาก พ.ต.ท.ทักษิณ วันที่ผมเดินทางไปพบท่านที่ปักกิ่ง ซึ่งท่านพูดคำหนึ่งว่า พี่กลับบ้านเราเถอะ ผมจึงพูดว่าครับ"
เป็นคำกล่าวอธิบายการกลับเข้ามาเพื่อไทยของ"ทหารแก่ไม่มีวันตาย"ซึ่ง ไม่มีใครรู้ได้ว่า สัญญาใจระหว่างทักษิณ-พัลลภ คืออะไร หลังจากเจ้าตัววืดในตำแหน่งต่าง ๆที่มีการคาดการกันไว้เมื่อตอนที่พัลลภ ประกาศยืนเคียงข้างทักษิณและรัฐบาลพลังประชาชน ทั้งรองนายกรัฐมนตรี-รมช.กลาโหม-รองผอ.กอ.รมน.
หรือจะเป็นเพราะพัลลภต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่"ทหารแก่"ที่ไร้พิษสง และเมื่อเขาแทงหวยอยู่กับข้างทักษิณ ขณะที่จำลอง ศรีเมืองอยู่เป็นแกนนำพันธมิตรฯ เขาก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตอนจบของสงครามครั้งนี้ เป็นพัลลภที่เลือกข้างถูกหาใช่จำลอง ศรีเมือง
อีกด้านหนึ่ง เชื่อกันว่าการเน้นเพื่อเอาชนะให้ได้ในจ.ลพบุรี เป็นอีกหมากการเมืองที่ทักษิณหวังสั่งสอนบรรหาร ศิลปอาชาและชาติไทยพัฒนา ที่ไปเปลี่ยนขั้วอยู่กับประชาธิปัตย์
หากคว้าชัย ทักษิณคงสะใจมากที่สุด และถอนแค้นกับบรรหารได้จะเป็นยาวิเศษขนานหนึ่งที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเขา แต่ระวังจะโดน "เตี้ยสุพรรณ"ย้ำแค้นอีกที