เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ว่าที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กำหนดพบหารือกับเหล่าผู้นำของรัฐสภาสหรัฐฯเมื่อวานนี้ (5) เพื่อหารือเรื่องโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายแสนล้านดอลลาร์ ที่เดโมแครตหวังว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ ไม่นานนักหลังโอบามาเข้ารับตำแหน่งประมุขของประเทศ โดยสื่อหลายรายแพล็มออกมาว่า จะมีมาตรการลดภาษีให้ชนชั้นกลางและธุรกิจราว 300,000 – 310,000 ล้านดอลลาร์รวมอยู่ด้วย
การประชุมคราวนี้จะเป็นครั้งแรกที่โอบามาพบปะหารือกับบรรดาสมาชิกรัฐสภา ณ แคปปิตอล ฮิลล์ (ที่ตั้งอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ) นับตั้งแต่เขาชนะการเลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 4 พฤศจิกายนปีที่แล้ว บุคคลที่โอบามาจะหารือด้วยแน่ๆ ก็คือเหล่าผู้นำของทั้งสองสภา อย่างเช่น ผู้นำเสียงข้างมากของเดโมแครตในวุฒิสภา แฮร์รี รีด และประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เปโลซี ซึ่งก็เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตเช่นกัน
นอกจากนี้ ก็อาจจะมีผู้นำของรีพับลิกันทั้งในสภาล่างและวุฒิสภาเข้าร่วม อาทิ จอห์น โบเอห์เนอร์ ผู้นำรีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร์ และมิทช์ แมคคอนแนล ผู้นำรีพับลิกันในสภาสูง แต่ทางฝ่ายรีพับลิกันเองยังไม่ยืนยันตารางนัดหมายนี้
สำหรับเนื้อหาของการหารือนั้น จะเน้นที่แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นนโยบายเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลโอบามา
ทีมเศรษฐกิจของโอบามาได้หารือกันเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูนี้เป็นเวลาหลายสัปดาห์มาแล้ว ว่าที่รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน บอกในการให้สัมภาษณ์ว่า การหารือและเจรจาต่อรองกันทำกันไปเกือบหมดแล้วในช่วงก่อนคริสมาส
บรรดาสื่อของสหรัฐฯรายงานว่า แผนกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะเสนอออกมาในรูปของร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะต้องให้รัฐสภาอนุมัตินั้น น่าจะมีมูลค่าเกิน 850,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่บางคนบอกว่าอาจจะถึงล้านล้านดอลลาร์เสียด้วยซ้ำ
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างงานจำนวน 3 ล้านตำแหน่ง โดยที่ 80% จะอยู่ในตลาดแรงงานภาคเอกชน ซึ่งทีมเศรษฐกิจของโอบามาก็หวังว่าจะสามารถฉุดดึงเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ให้ฟื้นคืนสู่การเติบโตได้อีกครั้ง
ลอเรนซ์ ซัมเมอร์ส ซึ่งจะเป็นประธานสภาที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจแห่งชาติคนใหม่เปิดเผยว่า แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะพยายามเน้นอัดฉีดเงินไปที่โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งโครงการสร้างงานทั้งหลาย มากกว่าเน้นที่กุศโลบายกระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย
ด้วยสภาพที่สหรัฐฯถูกพยากรณ์ว่าในปีนี้จะมีอัตราการว่างงานสูงถึง 10% และเศรษฐกิจก็จะถดถอยรุนแรงขึ้นอีก จนน่าที่จะเป็น “ทิศทางอนาคตทางเศรษฐกิจอันมืดมนที่สุดตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา” ซัมเมอร์สบอกว่า การสร้างงานให้ได้ 3 ล้านตำแหน่ง จึงต้องถือเป็น “เสาหลัก” ในแผนการของโอบามา
”ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตนี้ การทำน้อยเกินไปจะส่งผลเสียมหาศาลยิ่งกว่าการทำมากเกินไป” ซัมเมอร์สเขียนในหน้าบทความของวอชิงตัน โพสต์เมื่อช่วงสิ้นปี
”ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใด ๆที่จะได้ผลภายใต้บริบทปัจจุบันนี้ จะต้องมุ่งตรงไปที่ทั้งการสร้างงานซึ่งชาวอเมริกันต้องการ และการทำงานให้ได้ผลอย่างที่เศรษฐกิจของเราต้องการ”
ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์อ้างการเปิดเผยของผู้ช่วยคนหนึ่งของทางฝ่ายพรรคเดโมแครตว่า ในแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้ จะมีมาตรการด้านการลดภาษีให้แก่พวกธุรกิจและคนทำงานที่เป็นชนชั้นกลางรวมเป็นมูลค่า 310,000 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับประมาณ 40% ของมูลค่าทั้งแผนการนี้ซึ่งอยู่ที่ 775,000 ล้านดอลลาร์
ทว่ารอยเตอร์ก็อ้างคำพูดของผู้ช่วยอีกคนหนึ่งในพรรคเดโมแครตเช่นกันที่ว่า “ยังไม่มีอะไรที่ถึงขั้นเป็นบทสรุปแล้ว”
ส่วนสำนักข่าวเอเอฟพีก็อ้างหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล ที่รายงานไว้ในฉบับวานนี้ว่า โอบามาวางแผนจะรวมเอาแผนลดภาษีมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้ด้วย
ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯหวังว่าการลดภาษีสำหรับประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี รวมทั้งการยกเว้นภาษี 1 ปีแก่บริษัทที่จ้างงานพนักงานเพิ่ม ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นมูลค่าราว 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์ จะช่วยสร้างงานที่หดหายไปได้ 3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2011
โรเบิร์ต กิบส์ โฆษกของโอบามากล่าวว่า การหารือกันในวันจันทร์นี้มุ่งให้สามารถได้เสียงสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน และเพื่อส่งสารออกไปว่าตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นอยู่ในภาวะฉุกเฉินแล้ว
กิบส์ยังเห็นพ้องกับที่หลายๆ คนออกมาคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า “ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง” ที่แผนกระตุ้นฟื้นฟูนี้จะเสร็จทันวันที่ 20 มกราคมอันเป็นวันที่โอบามาเข้าทำงานวันแรก ดังที่ทีมงานของโอบามาเคยคาดหวังไว้
สเตนี ฮอยเออร์ ส.ส.เดโมแครตที่เป็นผู้นำเสียงข้างในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็บอกกับรายงานทีวี “ฟอกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ว่า โอบามาคงจะได้ลงนามในกฎหมายฉบับนี้กันเมื่อเข้าสู่กลางเดือนกุมภาพันธ์แล้ว
การประชุมคราวนี้จะเป็นครั้งแรกที่โอบามาพบปะหารือกับบรรดาสมาชิกรัฐสภา ณ แคปปิตอล ฮิลล์ (ที่ตั้งอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ) นับตั้งแต่เขาชนะการเลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 4 พฤศจิกายนปีที่แล้ว บุคคลที่โอบามาจะหารือด้วยแน่ๆ ก็คือเหล่าผู้นำของทั้งสองสภา อย่างเช่น ผู้นำเสียงข้างมากของเดโมแครตในวุฒิสภา แฮร์รี รีด และประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เปโลซี ซึ่งก็เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตเช่นกัน
นอกจากนี้ ก็อาจจะมีผู้นำของรีพับลิกันทั้งในสภาล่างและวุฒิสภาเข้าร่วม อาทิ จอห์น โบเอห์เนอร์ ผู้นำรีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร์ และมิทช์ แมคคอนแนล ผู้นำรีพับลิกันในสภาสูง แต่ทางฝ่ายรีพับลิกันเองยังไม่ยืนยันตารางนัดหมายนี้
สำหรับเนื้อหาของการหารือนั้น จะเน้นที่แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นนโยบายเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลโอบามา
ทีมเศรษฐกิจของโอบามาได้หารือกันเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูนี้เป็นเวลาหลายสัปดาห์มาแล้ว ว่าที่รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน บอกในการให้สัมภาษณ์ว่า การหารือและเจรจาต่อรองกันทำกันไปเกือบหมดแล้วในช่วงก่อนคริสมาส
บรรดาสื่อของสหรัฐฯรายงานว่า แผนกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะเสนอออกมาในรูปของร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่จะต้องให้รัฐสภาอนุมัตินั้น น่าจะมีมูลค่าเกิน 850,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่บางคนบอกว่าอาจจะถึงล้านล้านดอลลาร์เสียด้วยซ้ำ
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างงานจำนวน 3 ล้านตำแหน่ง โดยที่ 80% จะอยู่ในตลาดแรงงานภาคเอกชน ซึ่งทีมเศรษฐกิจของโอบามาก็หวังว่าจะสามารถฉุดดึงเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ให้ฟื้นคืนสู่การเติบโตได้อีกครั้ง
ลอเรนซ์ ซัมเมอร์ส ซึ่งจะเป็นประธานสภาที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจแห่งชาติคนใหม่เปิดเผยว่า แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะพยายามเน้นอัดฉีดเงินไปที่โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งโครงการสร้างงานทั้งหลาย มากกว่าเน้นที่กุศโลบายกระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย
ด้วยสภาพที่สหรัฐฯถูกพยากรณ์ว่าในปีนี้จะมีอัตราการว่างงานสูงถึง 10% และเศรษฐกิจก็จะถดถอยรุนแรงขึ้นอีก จนน่าที่จะเป็น “ทิศทางอนาคตทางเศรษฐกิจอันมืดมนที่สุดตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา” ซัมเมอร์สบอกว่า การสร้างงานให้ได้ 3 ล้านตำแหน่ง จึงต้องถือเป็น “เสาหลัก” ในแผนการของโอบามา
”ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตนี้ การทำน้อยเกินไปจะส่งผลเสียมหาศาลยิ่งกว่าการทำมากเกินไป” ซัมเมอร์สเขียนในหน้าบทความของวอชิงตัน โพสต์เมื่อช่วงสิ้นปี
”ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใด ๆที่จะได้ผลภายใต้บริบทปัจจุบันนี้ จะต้องมุ่งตรงไปที่ทั้งการสร้างงานซึ่งชาวอเมริกันต้องการ และการทำงานให้ได้ผลอย่างที่เศรษฐกิจของเราต้องการ”
ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์อ้างการเปิดเผยของผู้ช่วยคนหนึ่งของทางฝ่ายพรรคเดโมแครตว่า ในแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้ จะมีมาตรการด้านการลดภาษีให้แก่พวกธุรกิจและคนทำงานที่เป็นชนชั้นกลางรวมเป็นมูลค่า 310,000 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับประมาณ 40% ของมูลค่าทั้งแผนการนี้ซึ่งอยู่ที่ 775,000 ล้านดอลลาร์
ทว่ารอยเตอร์ก็อ้างคำพูดของผู้ช่วยอีกคนหนึ่งในพรรคเดโมแครตเช่นกันที่ว่า “ยังไม่มีอะไรที่ถึงขั้นเป็นบทสรุปแล้ว”
ส่วนสำนักข่าวเอเอฟพีก็อ้างหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล ที่รายงานไว้ในฉบับวานนี้ว่า โอบามาวางแผนจะรวมเอาแผนลดภาษีมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคราวนี้ด้วย
ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯหวังว่าการลดภาษีสำหรับประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี รวมทั้งการยกเว้นภาษี 1 ปีแก่บริษัทที่จ้างงานพนักงานเพิ่ม ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นมูลค่าราว 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์ จะช่วยสร้างงานที่หดหายไปได้ 3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2011
โรเบิร์ต กิบส์ โฆษกของโอบามากล่าวว่า การหารือกันในวันจันทร์นี้มุ่งให้สามารถได้เสียงสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน และเพื่อส่งสารออกไปว่าตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นอยู่ในภาวะฉุกเฉินแล้ว
กิบส์ยังเห็นพ้องกับที่หลายๆ คนออกมาคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า “ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง” ที่แผนกระตุ้นฟื้นฟูนี้จะเสร็จทันวันที่ 20 มกราคมอันเป็นวันที่โอบามาเข้าทำงานวันแรก ดังที่ทีมงานของโอบามาเคยคาดหวังไว้
สเตนี ฮอยเออร์ ส.ส.เดโมแครตที่เป็นผู้นำเสียงข้างในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็บอกกับรายงานทีวี “ฟอกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ว่า โอบามาคงจะได้ลงนามในกฎหมายฉบับนี้กันเมื่อเข้าสู่กลางเดือนกุมภาพันธ์แล้ว