วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 5 มกราคม 2552 ยังอยู่ในเทศกาลปีใหม่ แต่เป็นวันเปิดทำการวันแรกของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ดังนั้นในวันนี้จึงควรเป็นเรื่องของความสุข ความดี ความงามในยามขึ้นปีใหม่ เพื่อพี่น้องผองไทยจะได้มีความสุข มีความเจริญถ้วนหน้ากัน
4-5 ปีมานี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีความคับข้องหมองใจ มีความทุกข์ร้อน มีความไม่ปลอดภัย มีความอึดอัดขัดใจจนกล่าวได้ว่าเป็นสภาพที่ประเทศไทยเป็นทุกข์ และคนไทยก็เป็นทุกข์
ทุกข์นั้นย่อมมีมาแต่เหตุ และเหตุแห่งทุกข์ดังกล่าวก็คือการที่มีรัฐบาลเป็นตัวปัญหาหรือตัวสร้างปัญหาเสียเอง ทั้งๆ ที่หน้าที่และภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือการทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง
อันควรที่รัฐบาลซึ่งได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่า "จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ" จะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างเต็มกำลังและอย่างเคร่งครัด
แต่เพราะการประพฤติปฏิบัติที่มิได้ถวายความจงรักภักดีให้สมกับคำถวายสัตย์ปฏิญาณ จึงมีการกระทำที่จาบจ้วงล่วงเกิน ละเมิด และบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องกว้างขวาง
เพราะมิได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จึงมีการกระทำที่คดในข้องอในกระดูก ทุจริตคอร์รัปชัน ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน แสวงหาประโยชน์ตนและพวกพ้องจากงบประมาณและผลประโยชน์แห่งชาติ แม้กระทั่งยอมขายอธิปไตยให้กับต่างชาติ จนสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับตนและพวกพ้อง ในขณะที่ชาติกำลังใกล้ล่มจม และประชาชนทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า
เพราะมิได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน จึงก่อให้เกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมือง ประชาชนแตกแยกแตกสามัคคีเป็นฝักฝ่าย และเข้าใจผิดคิดล้างผลาญกันเอง คนพวกหนึ่งถูกปลูกฝังข้อมูลผิดๆ และความคิดผิดๆ ให้คิดล้มล้างสถาบันสำคัญของชาติ และเห็นเพื่อนร่วมชาติเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ จนบ้านเมืองหวุดหวิดจะเกิดเป็นสงครามกลางเมือง คุณธรรม ศีลธรรม ถูกย่ำยี เยาวชนของชาติถูกเซ่นสังเวยและกลายเป็นเหยื่อของวัฒนธรมในระบบทุนสามานย์ ในขณะที่ศาสนาก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นผิดเป็นชอบ
เพราะมิได้รักษาและปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจ้องแต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นไปตามที่ต้องการ และเกิดการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญราวกับว่าเป็นเศษกระดาษ มีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยไม่แยแสใดๆ จนเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคการเมืองและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมาก
เหล่านี้คือสมุทัยหรือต้นเหตุของเภทภัยทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นในราชอาณาจักรนี้ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีมานี้
และในที่สุดประชาชนก็สุดจะทนต่อการกระทำที่ละเมิดต่อคำสัตย์ปฏิญาณของนักการเมืองได้ จึงได้เคลื่อนไหวต่อสู้กู้ชาติเป็นระยะเวลายาวนาน กลายเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประชาชาติไทย
ตลอดห้วงระยะเวลาดังกล่าวอาณาประชาราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นทุกข์เป็นร้อนเป็นเดือดเป็นเข็ญ ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ว่านั้นจึงไม่มีใครได้เห็นรอยแย้มพระสรวลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย
มีแต่ข่าวเรื่องเศร้าๆ ไม่ว่าข่าวอาการพระประชวรก็ดี ข่าวการเสด็จสู่สวรรคาลัยในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ก็ตาม
เพราะไพร่ฟ้าทุกข์จึงผ่านฟ้าทุกข์โทมนัส และเพราะผ่านฟ้าทุกข์โทมนัส ไพร่ฟ้าจึงทุกข์เข็ญ นี่เป็นสัจธรรม
มีคนเคยโต้แย้งว่าเพราะไพร่ฟ้าสุขจึงผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์ บ้างก็ว่าเพราะผ่านฟ้าสุขจึงไพร่ฟ้าสุขสมบูรณ์
นั่นเป็นการกล่าวเฉพาะด้านเดียว วลีในเรื่องนี้เป็นองค์เอกภาพเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ ต่างเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กันและกัน และเป็นวัฏฏะให้แก่กันและกัน ส่วนจะเริ่มวลีไหนก่อน วลีไหนหลังนั้นไม่สำคัญ
เพราะไพร่ฟ้าสุข จึงผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์
เพราะผ่านฟ้าสุข จึงไพร่ฟ้าสุขสมบูรณ์
วลีชุดนี้จะเริ่มตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่มีเพียงวรรคเดียว วลีเดียว แต่เป็นวลีที่เป็นชุดต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย
เพราะเหตุนี้เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ จึงทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการว่า
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
หลายปีมานี้เพราะไพร่ฟ้าทุกข์เข็ญ จึงผ่านฟ้าทุกข์โทมนัส แต่ครั้นเมฆหมอกอันดำทะมึนได้คลี่คลายเคลื่อนย้ายออกไปจากราชอาณาจักรนี้ ความสว่างไสวและเบิกบานใจก็ปกแผ่เข้ามาแทนที่อีกครั้งหนึ่ง
ในวันที่ 17 ธันวาคม 2551 เวลาเย็น คนไทยได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มจากการแย้มพระสรวลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้งหนึ่ง จากกรณีที่นายชัย ชิดชอบ ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อนำชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ในวันนั้นใครที่ได้ดูรายการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ล้วนมีความรู้สึกตื้นตันใจจนหลายคนต้องน้ำตาไหลโดยไม่รู้สึกตัว
ภาพแรกที่เห็นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล อันเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพระเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร์ ทำให้คนไทยทั่วประเทศมีความสุขเป็นครั้งแรกในหลายปีมานี้
ภาพถัดมา คือภาพที่นายชัย ชิดชอบ คลานเข้าไปใกล้พระองค์ท่าน แล้วเอื้อมมือไปลูบพระบาท หมอบกราบนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งปรากฏข่าวเชิงลึกจากเว็บไซต์ www.paisalvision.com ว่านายชัย ชิดชอบ รู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหลซึม เพราะชั่วชีวิตไม่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเหมือนครั้งนี้ ถึงกับตั้งใจว่าจะตั้งหน้าทำคุณงามความดีไปตลอดอายุขัยที่เหลืออยู่
การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองและเกิดรัฐบาลผสมชุดใหม่ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในครั้งนี้ แม้ไม่มีใครได้สมหวังดังใจ แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีและมีความหวังกว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ มา
ดังนั้นในวันนี้บรรยากาศของความสุข ความสบายใจ ความโล่งโปร่งใจ จึงปกแผ่ทั่วไปในราชอาณาจักรแห่งนี้
เพราะไพร่ฟ้าสุข จึงผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์
ครั้นวันที่ 28 ธันวาคม 2551 ประชาชนชาวไทยก็ได้รู้เห็นข่าวใหญ่และสำคัญยิ่งต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ นั่นคือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ไปทอดพระเนตรการแข่งขันเรือยาวที่อ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
มีรายงานการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ ดังที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2551 ว่า
ไม่มีใครทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์จะเสด็จ โดยในวันที่ 26 ธันวาคม 2551 มีเจ้าหน้าที่จากพระตำหนักไกลกังวลมาขอรับโปรแกรมการแข่งขัน ซึ่งทำให้ตกใจอยู่แล้ว แต่พอค่ำวันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม 2551 ก็ได้รับแจ้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรเป็นการส่วนพระองค์
คณะผู้ร่วมจัดงานเตรียมเลื่อนเวลาเพื่อรอรับเสด็จฯ จากเวลา 14.00 น. เป็นเวลา 15.00 น. แต่มีพระราชดำรัสมาว่าพระองค์ท่านจะไม่ทำให้เสียเวลาและทรงเสด็จฯ เวลา 14.00 น. ตรง
ทุกคนรู้สึกตกใจแต่ก็ดีใจอย่างที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะเสด็จฯ มา ฝีพายทุกคนเลยพายกันชนิดสุดหัวใจ "ทุกคนมีความสุขมากครับ เพราะเห็นในหลวงมีความสุข"
"ถ้าใครได้เข้าเฝ้าฯ วันนี้ จะเห็นชัดว่าขณะที่เรือแข่งกันมาจากทางขวามือ ก่อนหน้าเรือจะผ่านที่ประทับราว 300 เมตร ทรงหันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรเรือทางขวา แต่สายตาของเหล่าพสกนิกรที่มาเข้าเฝ้าฯ และชมการแข่งขันกลับหันมาทางซ้ายของตัวเองเพื่อดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
"ทุกคนปลาบปลื้ม มีความสุขมากๆ ที่ได้เห็นพระองค์ท่านมีความสุข"
นายแล สังข์สุข อดีตครูใหญ่โรงเรียนเทศบาลบ้านเขาเต่า ได้พูดแทนใจไทยทุกดวงว่า "ความสุขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งนี้เป็นเสมือนของขวัญที่พระราชทานให้กับคนไทยทุกคน"
ขอเพื่อนผองพี่น้องไทยจงมีความปลอดภัย มีความสุข ตลอดปีใหม่และขอได้รับเอาของขวัญอันล้ำค่าดังพรรณนามานี้ทั่วกันเทอญ.
4-5 ปีมานี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีความคับข้องหมองใจ มีความทุกข์ร้อน มีความไม่ปลอดภัย มีความอึดอัดขัดใจจนกล่าวได้ว่าเป็นสภาพที่ประเทศไทยเป็นทุกข์ และคนไทยก็เป็นทุกข์
ทุกข์นั้นย่อมมีมาแต่เหตุ และเหตุแห่งทุกข์ดังกล่าวก็คือการที่มีรัฐบาลเป็นตัวปัญหาหรือตัวสร้างปัญหาเสียเอง ทั้งๆ ที่หน้าที่และภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือการทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง
อันควรที่รัฐบาลซึ่งได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่า "จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ" จะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างเต็มกำลังและอย่างเคร่งครัด
แต่เพราะการประพฤติปฏิบัติที่มิได้ถวายความจงรักภักดีให้สมกับคำถวายสัตย์ปฏิญาณ จึงมีการกระทำที่จาบจ้วงล่วงเกิน ละเมิด และบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องกว้างขวาง
เพราะมิได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จึงมีการกระทำที่คดในข้องอในกระดูก ทุจริตคอร์รัปชัน ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน แสวงหาประโยชน์ตนและพวกพ้องจากงบประมาณและผลประโยชน์แห่งชาติ แม้กระทั่งยอมขายอธิปไตยให้กับต่างชาติ จนสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับตนและพวกพ้อง ในขณะที่ชาติกำลังใกล้ล่มจม และประชาชนทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า
เพราะมิได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน จึงก่อให้เกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมือง ประชาชนแตกแยกแตกสามัคคีเป็นฝักฝ่าย และเข้าใจผิดคิดล้างผลาญกันเอง คนพวกหนึ่งถูกปลูกฝังข้อมูลผิดๆ และความคิดผิดๆ ให้คิดล้มล้างสถาบันสำคัญของชาติ และเห็นเพื่อนร่วมชาติเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ จนบ้านเมืองหวุดหวิดจะเกิดเป็นสงครามกลางเมือง คุณธรรม ศีลธรรม ถูกย่ำยี เยาวชนของชาติถูกเซ่นสังเวยและกลายเป็นเหยื่อของวัฒนธรมในระบบทุนสามานย์ ในขณะที่ศาสนาก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นผิดเป็นชอบ
เพราะมิได้รักษาและปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจ้องแต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นไปตามที่ต้องการ และเกิดการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญราวกับว่าเป็นเศษกระดาษ มีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยไม่แยแสใดๆ จนเป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคการเมืองและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมาก
เหล่านี้คือสมุทัยหรือต้นเหตุของเภทภัยทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นในราชอาณาจักรนี้ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีมานี้
และในที่สุดประชาชนก็สุดจะทนต่อการกระทำที่ละเมิดต่อคำสัตย์ปฏิญาณของนักการเมืองได้ จึงได้เคลื่อนไหวต่อสู้กู้ชาติเป็นระยะเวลายาวนาน กลายเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประชาชาติไทย
ตลอดห้วงระยะเวลาดังกล่าวอาณาประชาราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นทุกข์เป็นร้อนเป็นเดือดเป็นเข็ญ ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ว่านั้นจึงไม่มีใครได้เห็นรอยแย้มพระสรวลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย
มีแต่ข่าวเรื่องเศร้าๆ ไม่ว่าข่าวอาการพระประชวรก็ดี ข่าวการเสด็จสู่สวรรคาลัยในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ก็ตาม
เพราะไพร่ฟ้าทุกข์จึงผ่านฟ้าทุกข์โทมนัส และเพราะผ่านฟ้าทุกข์โทมนัส ไพร่ฟ้าจึงทุกข์เข็ญ นี่เป็นสัจธรรม
มีคนเคยโต้แย้งว่าเพราะไพร่ฟ้าสุขจึงผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์ บ้างก็ว่าเพราะผ่านฟ้าสุขจึงไพร่ฟ้าสุขสมบูรณ์
นั่นเป็นการกล่าวเฉพาะด้านเดียว วลีในเรื่องนี้เป็นองค์เอกภาพเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ ต่างเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กันและกัน และเป็นวัฏฏะให้แก่กันและกัน ส่วนจะเริ่มวลีไหนก่อน วลีไหนหลังนั้นไม่สำคัญ
เพราะไพร่ฟ้าสุข จึงผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์
เพราะผ่านฟ้าสุข จึงไพร่ฟ้าสุขสมบูรณ์
วลีชุดนี้จะเริ่มตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่มีเพียงวรรคเดียว วลีเดียว แต่เป็นวลีที่เป็นชุดต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย
เพราะเหตุนี้เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ จึงทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการว่า
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
หลายปีมานี้เพราะไพร่ฟ้าทุกข์เข็ญ จึงผ่านฟ้าทุกข์โทมนัส แต่ครั้นเมฆหมอกอันดำทะมึนได้คลี่คลายเคลื่อนย้ายออกไปจากราชอาณาจักรนี้ ความสว่างไสวและเบิกบานใจก็ปกแผ่เข้ามาแทนที่อีกครั้งหนึ่ง
ในวันที่ 17 ธันวาคม 2551 เวลาเย็น คนไทยได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มจากการแย้มพระสรวลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้งหนึ่ง จากกรณีที่นายชัย ชิดชอบ ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อนำชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ในวันนั้นใครที่ได้ดูรายการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ล้วนมีความรู้สึกตื้นตันใจจนหลายคนต้องน้ำตาไหลโดยไม่รู้สึกตัว
ภาพแรกที่เห็นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล อันเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพระเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร์ ทำให้คนไทยทั่วประเทศมีความสุขเป็นครั้งแรกในหลายปีมานี้
ภาพถัดมา คือภาพที่นายชัย ชิดชอบ คลานเข้าไปใกล้พระองค์ท่าน แล้วเอื้อมมือไปลูบพระบาท หมอบกราบนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งปรากฏข่าวเชิงลึกจากเว็บไซต์ www.paisalvision.com ว่านายชัย ชิดชอบ รู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหลซึม เพราะชั่วชีวิตไม่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเหมือนครั้งนี้ ถึงกับตั้งใจว่าจะตั้งหน้าทำคุณงามความดีไปตลอดอายุขัยที่เหลืออยู่
การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองและเกิดรัฐบาลผสมชุดใหม่ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในครั้งนี้ แม้ไม่มีใครได้สมหวังดังใจ แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีและมีความหวังกว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ มา
ดังนั้นในวันนี้บรรยากาศของความสุข ความสบายใจ ความโล่งโปร่งใจ จึงปกแผ่ทั่วไปในราชอาณาจักรแห่งนี้
เพราะไพร่ฟ้าสุข จึงผ่านฟ้าสุขสมบูรณ์
ครั้นวันที่ 28 ธันวาคม 2551 ประชาชนชาวไทยก็ได้รู้เห็นข่าวใหญ่และสำคัญยิ่งต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ นั่นคือการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ไปทอดพระเนตรการแข่งขันเรือยาวที่อ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
มีรายงานการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ ดังที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2551 ว่า
ไม่มีใครทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์จะเสด็จ โดยในวันที่ 26 ธันวาคม 2551 มีเจ้าหน้าที่จากพระตำหนักไกลกังวลมาขอรับโปรแกรมการแข่งขัน ซึ่งทำให้ตกใจอยู่แล้ว แต่พอค่ำวันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม 2551 ก็ได้รับแจ้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรเป็นการส่วนพระองค์
คณะผู้ร่วมจัดงานเตรียมเลื่อนเวลาเพื่อรอรับเสด็จฯ จากเวลา 14.00 น. เป็นเวลา 15.00 น. แต่มีพระราชดำรัสมาว่าพระองค์ท่านจะไม่ทำให้เสียเวลาและทรงเสด็จฯ เวลา 14.00 น. ตรง
ทุกคนรู้สึกตกใจแต่ก็ดีใจอย่างที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะเสด็จฯ มา ฝีพายทุกคนเลยพายกันชนิดสุดหัวใจ "ทุกคนมีความสุขมากครับ เพราะเห็นในหลวงมีความสุข"
"ถ้าใครได้เข้าเฝ้าฯ วันนี้ จะเห็นชัดว่าขณะที่เรือแข่งกันมาจากทางขวามือ ก่อนหน้าเรือจะผ่านที่ประทับราว 300 เมตร ทรงหันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรเรือทางขวา แต่สายตาของเหล่าพสกนิกรที่มาเข้าเฝ้าฯ และชมการแข่งขันกลับหันมาทางซ้ายของตัวเองเพื่อดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
"ทุกคนปลาบปลื้ม มีความสุขมากๆ ที่ได้เห็นพระองค์ท่านมีความสุข"
นายแล สังข์สุข อดีตครูใหญ่โรงเรียนเทศบาลบ้านเขาเต่า ได้พูดแทนใจไทยทุกดวงว่า "ความสุขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งนี้เป็นเสมือนของขวัญที่พระราชทานให้กับคนไทยทุกคน"
ขอเพื่อนผองพี่น้องไทยจงมีความปลอดภัย มีความสุข ตลอดปีใหม่และขอได้รับเอาของขวัญอันล้ำค่าดังพรรณนามานี้ทั่วกันเทอญ.