xs
xsm
sm
md
lg

ฟันธง!ส่งออกปี 52โตติดลบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ส่งออกหืดจับ! ฟันธงปีฉลู(52) ขยายตัวติดลบแน่ เอกชนยอมรับจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้แค่ว่าไตรมาส 1 และ 2 ส่งออกชะลอตัว ส่วนครึ่งปีหลังยังตอบไม่ได้ ขณะที่"พาณิชย์"ยังหวังโตขั้นต่ำ 0-5% เตรียมอัดมาตรการเสริมเต็มที่

ในปี 2551 ภาคการส่งออกถือเป็นพระเอกที่ช่วยดึงให้เศรษฐกิจไทยยังคงมีอัตราการขยายตัวได้ เพราะเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวอื่นๆ ทั้งภาคการลงทุน การท่องเที่ยว กระทั่งการบริโภคภายในประเทศต่างหยุดชะงักหมด โดยภาคการส่งออก แม้จะไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจโตได้อย่างมากมายตามที่หลายฝ่ายได้คาดหวังเอาไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นปัจจัยบวกที่เหลืออยู่ตัวเดียวจริงๆ

ทว่าในปี 2552 การส่งออกที่ใครเคยตั้งความหวังไว้ว่า จะเป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวสำคัญ คงจะฝากความหวังไว้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในยุโรป เอเชีย ทำให้ความหวังที่จะใช้การส่งออกเป็นกลจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต้องหยุดชะงักลงทันที

ภาพการส่งออกในปี 2552 จะแตกต่างจากปี 2551 อย่างมาก เพราะคาดว่าปี 2551 หากดูตัวเลขทั้งปี การส่งออกจะมีมูลค่าประมาณ 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18% แต่ปี 2552 การส่งออกจะขยายตัวเท่าใด ยังเป็นคำถาม ที่ยังหาคำตอบไม่ได้

**“พาณิชย์”หวังส่งออกโต 0-5%

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมส่งเสริมการส่งออกได้รับรายงานตัวเลขผลการประเมินเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 มาแล้ว ซึ่งในหลักการเห็นด้วยที่จะตั้งเป้าหมายการส่งออกให้โต 0-5% แม้ว่าภาคเอกชนในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรมจะประเมินว่า การส่งออกในจะขยายตัวติดลบ แต่กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนด้านการส่งออก ก็ต้องผลักดันให้การส่งออกขยายตัวให้ได้ ซึ่งจะมีการเพิ่มมาตรการในการกระตุ้นให้มากขึ้น

"เอกชนมองว่า การส่งออกภาพรวมจะติดลบ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องใช้ความพยายามให้มากที่สุด ให้ลบน้อยที่สุด และต้องเป็นบวกให้ได้ การประเมินส่งออกว่าจะติดลบ เป็นการมองในแง่ร้ายสุดๆ แต่ผมไม่เชื่อว่าการส่งออกจะแย่ขนาดนั้น ผมยังมองว่าส่งออกน่าจะโตได้ อย่างไม่ดีสุดน่าจะเป็น 0% หรือถ้าดีก็น่าจะ 5% หรืออยู่ระหว่าง 0-5%"นายศิริพลกล่าว

ในการประเมินผลการส่งออกร่วมกับกลุ่มสินค้าต่างๆ พบว่า สินค้ายานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเลกทรอนิกส์ ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงว่าการส่งออกในปีนี้จะชะลอตัวลง จากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ห่วง เพราะสินค้าเหล่านี้มีสัดส่วน 37% ของการส่งออกรวมทั้งหมด สอดคล้องกับความเห็นของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ระบุว่า การส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนในปี 2552 มีโอกาสจะขยายตัวติดลบสูงถึง 20%

อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เหลือ เช่น สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง เม็ดพลาสติก สิ่งพิมพ์ เครื่องหนัง รองเท้า เครื่องใช้เครื่องตกแต่ง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์ เครื่องกีฬา และของเล่น รวมถึงสินค้าเกษตร และอาหาร จะยังส่งออกได้ดีขึ้น

นายศิริพล กล่าวว่าได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ทั่วโลก ไปดำเนินมาตรการผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น และขอให้เข้าถึงผู้นำเข้าในประเทศที่ตนเองประจำอยู่ และมีการติดตามสถานการณ์สินค้าไทยอย่างใกล้ชิด โดยจะต้องประเมินว่า สินค้าไทยรายการไหนมีโอกาสในการบุกเจาะตลาด เพื่อหาช่องทางในการส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องเร่งชี้แจงและทำความมั่นใจให้เกิดขึ้นว่าสถานการณ์ในไทยเป็นปกติแล้ว และจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก

นอกจากนี้ ยังได้ขอให้กรมส่งเสริมการส่งออกไปพิจารณาว่าจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมเพื่อเข้ามาช่วยส่งเสริมการส่งออก นอกเหนือจากกิจกรรมที่มีแผนในการดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งให้หาทางช่วยเหลือผู้ส่งออกในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น

นายศิริพล กล่าวว่า กระทรวงฯ อยากจะขอเตือนไปยังผู้ประกอบการส่งออกต่างๆ อย่าได้อาศัยสถานการณ์ในขณะนี้ที่มีการประเมินว่าการส่งออกในปีหน้าจะขยายตัวติดลบ หรือประเมินว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบ แล้วหาทางปลดคนงานออก เพื่อลดต้นทุน เพราะการดำเนินการเช่นนี้ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศตามมาอีกมากมาย

"อย่าเอาประเด็นส่งออกชะลอตัว บริษัทไม่มีกำไร แล้วไล่คนออกหรือหาทางไล่คนออก แล้วเอาเครื่องจักรเข้ามาแทน ซึ่งผู้ประกอบการควรจะหาทางช่วยกัน อะไรช่วยได้ก็ควรจะช่วย แต่ก็ยอมรับว่าบางสินค้าอาจได้รับผลกระทบจริง แต่ก็ไม่ควรหาทางออกด้วยการปลดคนงาน ควรจะใช้วิธีการอื่นๆ แทน" นายศิริพลกล่าว

**ข้อมูลวงในส่งออกติดลบ 8%

แม้กระทรวงพาณิชย์จะมีการมองภาพการส่งออกในปี 2552 ไม่เลวร้ายอย่างที่ภาคเอกชนได้ประเมินเอาไว้ แต่รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่าข้อมูลที่กรมส่งเสริมการส่งออกได้หารือกับภาคเอกชนทุกกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น มีข้อมูลที่แท้จริงว่า การส่งออกจะขยายตัวติดลบแทบทุกรายการสินค้า บ้างก็ว่าการส่งออกภาพรวมจะติดลบตัวเลข 2 หลัก แต่กระทรวงพาณิชย์ไม่อยากให้ภาพออกมาเช่นนี้ จึงได้ข้อสรุปว่า การส่งออกภาพรวมจะติดลบตัวเลขหลักเดียว เพื่อให้ภาพออกมาดี

ทั้งนี้ ได้มีการเสนอให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาเป้าหมายการส่งออกในปี 2552 ว่า การส่งออกทั้งปี 2552 จะขยายตัวติดลบที่ 8% ซึ่งเป็นตัวเลขหลักเดียว แต่ในแง่การทำงานหากกระทรวงพาณิชย์ออกมาระบุว่า การส่งออกปี 2552 จะขยายตัวติดลบ ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่อง เพราะจะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง สถาบันการเงินชะลอการปล่อยกู้ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศ

**รัฐมนตรีป้ายแดงขอกู้ยอดส่งออก

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ และมีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาทำงาน นายศิริพลได้มีการรายงานตัวเลขเป้าหมายการส่งออกที่เป็นข้อมูลที่แท้จริงให้ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์คนใหม่รับทราบ และได้ขอทราบแนวทางในการสนับสนุนการส่งออก

นางพรทิวา กล่าวว่า ในด้านการส่งออก มีนโยบายที่จะดำเนินการประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องให้กับผู้ส่งออก ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และสถานบันการเงิน เพื่อตอบสนองในด้านสินเชื่อให้กับผู้ส่งออก รวมทั้งจะช่วยหาตลาดใหม่ๆ ให้กับผู้ส่งออกไทย เพื่อผลักดันการส่งออก

ส่วนตัวเลขเป้าหมายการส่งออกในปี 2552 ขอหารือร่วมกับผู้บริหารและภาคเอกชนอีกครั้งก่อน ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ แต่จะพยายามทำให้การส่งออกขยายตัวให้ได้

นั่นแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ตัวรัฐมนตรีเอง ก็ไม่กล้าที่จะระบุว่า ตัวเลขเป้าหมายการส่งออกในปี 2552 จะเป็นอย่างไร

**“อลงกรณ์”มั่นใจมีแผนทำส่งออกโตได้

นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า มีแผนรองรับที่จะช่วยผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ 5% แม้ว่าเอกชนจะมองว่าการส่งออกจะติดลบก็ตาม โดยได้มีการหารือกับ รมว.พาณิชย์ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณ 1,000 ล้านบาท จากงบประมาณกลางที่ครม.อนุมัติเพิ่มเติมในงบ 1 แสนล้านบาท มาดำเนินการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการค้าเพิ่มเติมอีก 50 แห่ง โดยเน้นในตลาดใหม่ๆ เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง รัสเซีย และกลุ่มประเทศ CIS จากเดิมที่มีสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศแล้ว 60 แห่ง

วิธีการที่จะดำเนินการ จะไปเช่าสถานที่ทำสำนักงานฯ ชั่วคราว แล้วส่งคนไปทำงาน หากประสบความสำเร็จ และช่วยเพิ่มยอดการส่งออกให้สินค้าไทยได้ ก็จะผลักดันให้เป็นสำนักงานฯถาวร และมีทูตพาณิชย์ไปประจำต่อไป

ขณะเดียวกัน จะหาทางเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ส่งออก โดยจะผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นแกนหลักในการจัดทำแพ็กกิ้ง เครดิต วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมสนับสนุน เพื่อปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนไทยในการทำการค้าการลงทุน และจะผลักดันรัฐบาลอนุมัติวงเงิน 5,000 ล้านบาท ให้กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เพื่อใช้ประกันความเสี่ยงให้กับผู้ส่งออก

**เตือนระวังปัญหาสภาพคล่องตึงตัว

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) กล่าวว่า เมื่อเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับการขยายตัวของการส่งออก ต้องมาดูว่า ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 35% เป็นอย่างไร หากส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้แย่ ภาพรวมการส่งออกก็จะแย่ตามไปด้วย โดยสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าไอที ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกล เพราะสินค้าเหล่านี้ 55% ผลิตจากบริษัทขนาดใหญ่ และเป็นบริษัทลงทุนข้ามชาติจากสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น

ขณะที่สินค้าที่เป็นของคนไทย และใช้วัตถุดิบในประเทศมาก เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งปลาทูน่ากระป๋อง เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกยังมีปัญหาสภาพคล่องตึงตัว จากการที่ผู้ซื้อไม่ชำระค่าสินค้า ปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน แต่ทุกคนก็ต้องปรับตัว เช่น การทำประกันการส่งออก การดูแลระดับการผลิต การลดสินค้าคงคลังการถือหนังสือรับรองเครดิต (แอลซี) ให้สั้นลง ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นมากกว่านี้ อย่างเกาหลีใต้ค่าเงินวอนลดค่า 30% ออสเตรเลียค่าเงินลดลงไป 30% แต่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไม่ถึง3%

**เอกชนยอมรับส่งออกลำบาก

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การส่งออกปี 2552 จะติดลบถึงไม่ขยายตัวเลย เพราะตลาดส่งออกหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ประกอบกับความเชื่อมั่นของลูกค้าที่จะสั่งซื้อสินค้าไทยหายไปจากการปิดสนามบิน ทำให้คำสั่งซื้อในไตรมาสแรกของปี 2552 แทบไม่มีเลย แต่หากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้จะทำให้เศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ฟื้นตัวตาม กำลังซื้อในประเทศนั้นๆ จะกลับมา และทำให้การส่งออกไทยขยายตัวได้ในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2552 ส่วนทั้งปีอาจขยายตัวเป็น 0 หรือบวกเล็กน้อย

ส่วนการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ จะต้องพยายามช่วยผู้ส่งออกหาตลาดใหม่ เพื่อทดแทนกำลังซื้อในตลาดหลักที่หดตัว แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะหาลูกค้าใหม่ๆ ได้ในเวลาสั้นๆ เพราะกว่าจะได้ลูกค้าแต่ละราย ต้องทำความรู้จัก คุ้นเคยกันนาน กว่าจะเชื่อใจ เชื่อฝีมือ และสั่งซื้อสินค้า

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกภาคอุตสาหกรรมในปี 2552 จะไม่เติบโตได้เท่ากับปี 2551 โดย ส.อ.ท.มองว่าไม่ให้เติบโตลดลงก็ถือว่าโชคดีแล้ว ในสถานการณ์ที่ประเทศหลักๆ ทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่นเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ทำให้กำลังซื้อลดลง

"ปีนี้ผู้ส่งออกต้องใช้กลยุทธ์หลากหลาย เพราะตลาดแข่งขันรุนแรง จากการที่หลายประเทศพลาดหวังจากสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ก็ต้องแห่เข้าหาตลาดใหม่ๆ เหมือนไทย รัฐบาลจะต้องไขลานการทำงานของหน่วยงานด้านการส่งออกของภาครัฐให้ช่วยภาคเอกชนอย่างเต็มที่ หลังจากปล่อยให้เกียร์ว่างมานาน ผู้ส่งออกก็ต้องดิ้นรนหาตลาดใหม่ด้วย แม้จะพูดง่าย ทำยาก ก็ต้องพยายาม เปรียบเสมือนมีเค้กอยู่ก้อนเดียว แต่คนแย่งกันกิน" นายสันติกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น