ทันทีที่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ "พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2551 ทำให้นายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.)หลายคนถึงกับหมดหวัง สิ้นหวัง ที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในชีวิตข้าราชการตำรวจ
สำหรับ พล.ต.อ.พัชรวาท จะเกษียณอายุราชการในปี 2552 โดยปัจจุบัน ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 1 ได้แก่ "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" ถัดมาเป็น "พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์" แต่หลังจากเดือนกันยายน 2552 พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จะก้าวขึ้นมาครองอาวุโสอันดับ 1 แทน เนื่องจากชนะคดีที่ศาลปกครอง ที่เจ้าตัวฟ้องร้องหลังจากถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช)สั่งย้ายไปช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเสียช่วงหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ก็จะกลายเป็นแคนดิเดทที่จะเข้าชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองด้วยเช่นกัน
ภาพของ”บิ๊กอ๊อฟ”พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เมีย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรายนี้แม้ว่าจะไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆโดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ วางตัวเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เองก็ได้รับอานิสงส์ จากระบอบทักษิณ มากสุดๆ
เพราะการที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้ติดยศ พล.ต.อ.ขึ้นแท่นรองผบ.ตร.รวดเร็วชนิดติดเทอร์โบ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1โดดข้ามหัวผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสสูงกว่า 6 คน รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.จนทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดฉากฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งตราบาปในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดภาพกลายเป็นตำรวจในระบอบทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ทำให้โอกาสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จึงค่อนข้างริบหรี่ ที่จะได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ดั่งที่คาดหวัง
หันกลับไปมอง "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ"บ้าง โดยตลอดเวลาที่ พล.ต.อ.ปทีป รักษาราชการแทน ผบ.ตร.นั้น ค่อนข้างมีจุดยืนที่ชัดเจน โดยจะเห็นได้จาก การออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเปิดใจ โดยระบุว่า "ตำรวจต้องไม่ใช่สีหนึ่งสีใด ไม่ว่าสีเหลือง สีแดง แต่ต้องเป็นสีกากี" ที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของประชาชนทุกหมู่เหล่า พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะยังไม่มีการโยกย้ายล้างบางผู้ใต้บังคับบัญชา เฉกเช่นผู้มีอำนาจของสำนักงานตำรวจแแห่งชาติในครั้งที่ผ่านๆมา ที่จะต้องนำเด็ก นำคนของฝ่ายตนเองขึ้นมาเรืองอำนาจ ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าว ส่งผลให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกระเตื้องจากการที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำขึ้นมาบ้าง
นอกจากนี้ การปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างรักษาราชการแทน ผบ.ตร.นั้น ยังไม่มีอะไรที่ด่างพร้อย ทั้งที่ พล.ต.อ.ปทีป ก้าวเข้ามาระหว่างจุดแตกหักของขั้วการเมืองอธรรมกับประชาชน
ด้านตัวสอดแทรก“นายพลหน้าขาว” พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.ที่หลักฐานในห้วงสัปดาห์หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยอมถอยทัพออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ นายพลผู้นี้ได้ออกมาฉุยฉายหน้าจอทีวีแทบทุกวัน โดยมีภาระกิจหลักในการไล่เช็คบิลกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเริ่มตั้งแต่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาฉกรรจ์ กรณีที่ยกพลยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งที่ผานมา พล.ต.อ.จงรัก พยายามงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ กฎหมายทุกฉบับ ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาผิดกับพันธมิตรฯให้จงได้ มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์รายวัน เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คือ ผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ พกพาอาวุธร้ายแรงมาชุมนุม
สำหรับพฤติกรรมของนายตำรวจรายนี้แม้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ออกตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา ก็สามารถสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกของนายพลผู้นี้ ที่หมายเอาผลงานที่สามารถจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯได้ เพื่อหวังให้อานิสงส์แห่งการรับใช้ระบอบทักษิณ หนุนนำให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ของรั้วปทุมวัน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า ด้วยคุณสมบัติที่มี อาทิ ลำดับอาวุโสของ พล.ต.อ.จงรัก หากเทียบกับ รองผบ.ตร.คนอื่นๆ อยู่อันดับบ๊วย ด้านความรู้ความสามารถก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่คงหวังว่าอานิสงส์แห่งการรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะช่วยเป็นแรงผลักดัน ให้ตัวเองได้เข้าวิน
วันนี้หากจะทำนายดวงชะตาชีวิตของ พล.ต.อ.จงรัก ที่สร้างภาพว่าตนเองมีกำลังภายในสูงส่ง แต่ก็เชื่อว่าจะไม่สามารถเสียดทาน"ความดี"ขึ้นมาสร้างฝันนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้อีกแน่ ขณะที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ใครๆก็รู้ว่า พล.ต.อ.จงรัก ผู้นี้ ท่านกระสันที่จะนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.เช่นไร และหากให้รู้ดี รู้ลึกในความรู้สึกของตำรวจทั่วประเทศ สำนักโพลล์ต่างๆ น่าจะลองไปสอบถามความคิดเห็นกับเหล่าข้าราชการตำรวจดูว่า อยากให้ พล.ต.อ.จงรัก ขึ้นเป็น ผบ.ตร.หรือไม่ เชื่อขนมกินได้เลยว่า ร้อยละ 80 คงไม่เอา เพราะคนที่ ไม่ง้อนาย ไม่เอาเพื่อน ไม่สนลูกน้อง ไม่มองประชาชนนั้น จะขึ้นเป็น ผบ.ตร.ได้อย่างไร
สุดท้าย ย้อนกลับไปที่ตัว พล.ต.อ.พัชรวาท แม้ววันนี้จะได้กลับมาสู่อำนาจ ผบ.ตร.อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่แน่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะอยู่ถึงเกษียณอายุราชการอีกหรือไม่ เนื่องจาก ต้องไม่ลืมว่า พล.ต.อ.พัชรวาท นั้น มีชื่อตกเป็น"ผู้ถูกร้อง"ในสำนวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในข้อหา "ฆ่าและพยายามฆ่า"ร่วมกับตำรวจอีกหลายนาย เป็น"ชนัก"ติดหลัง ที่สำนวนถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กรณีสลายการชุมนุม 7 ตุลาเลือดแล้ว
ทั้งนี้ กฎหมาย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 55 ระบุไว้ว่า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล และข้อกล่าวหานั้น เป็นเรื่องที่ประธานวุฒิสภาส่งมาตามมาตรา 43 (1) หรือผู้เสียหายอื่นยื่นคำร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 43 (2) นับแต่วันที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาแล้วแต่กรณี
ดังนั้น หาก พล.ต.อ.พัชรวาท ถูกหวยด้วย ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ทำให้ห้วงเวลานี้ ผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนต่อไป "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" น่าจะมีความเหมาะสมที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้
สำหรับ พล.ต.อ.พัชรวาท จะเกษียณอายุราชการในปี 2552 โดยปัจจุบัน ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสเป็นอันดับ 1 ได้แก่ "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" ถัดมาเป็น "พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์" แต่หลังจากเดือนกันยายน 2552 พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จะก้าวขึ้นมาครองอาวุโสอันดับ 1 แทน เนื่องจากชนะคดีที่ศาลปกครอง ที่เจ้าตัวฟ้องร้องหลังจากถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช)สั่งย้ายไปช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเสียช่วงหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ก็จะกลายเป็นแคนดิเดทที่จะเข้าชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองด้วยเช่นกัน
ภาพของ”บิ๊กอ๊อฟ”พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เมีย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรายนี้แม้ว่าจะไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆโดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ วางตัวเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เองก็ได้รับอานิสงส์ จากระบอบทักษิณ มากสุดๆ
เพราะการที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้ติดยศ พล.ต.อ.ขึ้นแท่นรองผบ.ตร.รวดเร็วชนิดติดเทอร์โบ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1โดดข้ามหัวผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสสูงกว่า 6 คน รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.จนทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดฉากฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งตราบาปในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดภาพกลายเป็นตำรวจในระบอบทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ทำให้โอกาสของ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จึงค่อนข้างริบหรี่ ที่จะได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ดั่งที่คาดหวัง
หันกลับไปมอง "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ"บ้าง โดยตลอดเวลาที่ พล.ต.อ.ปทีป รักษาราชการแทน ผบ.ตร.นั้น ค่อนข้างมีจุดยืนที่ชัดเจน โดยจะเห็นได้จาก การออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเปิดใจ โดยระบุว่า "ตำรวจต้องไม่ใช่สีหนึ่งสีใด ไม่ว่าสีเหลือง สีแดง แต่ต้องเป็นสีกากี" ที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของประชาชนทุกหมู่เหล่า พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะยังไม่มีการโยกย้ายล้างบางผู้ใต้บังคับบัญชา เฉกเช่นผู้มีอำนาจของสำนักงานตำรวจแแห่งชาติในครั้งที่ผ่านๆมา ที่จะต้องนำเด็ก นำคนของฝ่ายตนเองขึ้นมาเรืองอำนาจ ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าว ส่งผลให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกระเตื้องจากการที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำขึ้นมาบ้าง
นอกจากนี้ การปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างรักษาราชการแทน ผบ.ตร.นั้น ยังไม่มีอะไรที่ด่างพร้อย ทั้งที่ พล.ต.อ.ปทีป ก้าวเข้ามาระหว่างจุดแตกหักของขั้วการเมืองอธรรมกับประชาชน
ด้านตัวสอดแทรก“นายพลหน้าขาว” พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.ที่หลักฐานในห้วงสัปดาห์หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยอมถอยทัพออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ นายพลผู้นี้ได้ออกมาฉุยฉายหน้าจอทีวีแทบทุกวัน โดยมีภาระกิจหลักในการไล่เช็คบิลกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเริ่มตั้งแต่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาฉกรรจ์ กรณีที่ยกพลยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งที่ผานมา พล.ต.อ.จงรัก พยายามงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ กฎหมายทุกฉบับ ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาผิดกับพันธมิตรฯให้จงได้ มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์รายวัน เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คือ ผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ พกพาอาวุธร้ายแรงมาชุมนุม
สำหรับพฤติกรรมของนายตำรวจรายนี้แม้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ออกตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา ก็สามารถสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกของนายพลผู้นี้ ที่หมายเอาผลงานที่สามารถจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯได้ เพื่อหวังให้อานิสงส์แห่งการรับใช้ระบอบทักษิณ หนุนนำให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ของรั้วปทุมวัน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า ด้วยคุณสมบัติที่มี อาทิ ลำดับอาวุโสของ พล.ต.อ.จงรัก หากเทียบกับ รองผบ.ตร.คนอื่นๆ อยู่อันดับบ๊วย ด้านความรู้ความสามารถก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่คงหวังว่าอานิสงส์แห่งการรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะช่วยเป็นแรงผลักดัน ให้ตัวเองได้เข้าวิน
วันนี้หากจะทำนายดวงชะตาชีวิตของ พล.ต.อ.จงรัก ที่สร้างภาพว่าตนเองมีกำลังภายในสูงส่ง แต่ก็เชื่อว่าจะไม่สามารถเสียดทาน"ความดี"ขึ้นมาสร้างฝันนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้อีกแน่ ขณะที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ใครๆก็รู้ว่า พล.ต.อ.จงรัก ผู้นี้ ท่านกระสันที่จะนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.เช่นไร และหากให้รู้ดี รู้ลึกในความรู้สึกของตำรวจทั่วประเทศ สำนักโพลล์ต่างๆ น่าจะลองไปสอบถามความคิดเห็นกับเหล่าข้าราชการตำรวจดูว่า อยากให้ พล.ต.อ.จงรัก ขึ้นเป็น ผบ.ตร.หรือไม่ เชื่อขนมกินได้เลยว่า ร้อยละ 80 คงไม่เอา เพราะคนที่ ไม่ง้อนาย ไม่เอาเพื่อน ไม่สนลูกน้อง ไม่มองประชาชนนั้น จะขึ้นเป็น ผบ.ตร.ได้อย่างไร
สุดท้าย ย้อนกลับไปที่ตัว พล.ต.อ.พัชรวาท แม้ววันนี้จะได้กลับมาสู่อำนาจ ผบ.ตร.อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่แน่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะอยู่ถึงเกษียณอายุราชการอีกหรือไม่ เนื่องจาก ต้องไม่ลืมว่า พล.ต.อ.พัชรวาท นั้น มีชื่อตกเป็น"ผู้ถูกร้อง"ในสำนวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในข้อหา "ฆ่าและพยายามฆ่า"ร่วมกับตำรวจอีกหลายนาย เป็น"ชนัก"ติดหลัง ที่สำนวนถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กรณีสลายการชุมนุม 7 ตุลาเลือดแล้ว
ทั้งนี้ กฎหมาย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 55 ระบุไว้ว่า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล และข้อกล่าวหานั้น เป็นเรื่องที่ประธานวุฒิสภาส่งมาตามมาตรา 43 (1) หรือผู้เสียหายอื่นยื่นคำร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 43 (2) นับแต่วันที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาแล้วแต่กรณี
ดังนั้น หาก พล.ต.อ.พัชรวาท ถูกหวยด้วย ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ทำให้ห้วงเวลานี้ ผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนต่อไป "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" น่าจะมีความเหมาะสมที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้