กลายเป็นอุณหภูมิที่ร้อนแรงขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นในช่วงนี้ กับประเด็นการจับขั้วทางการเมือง "เสียบเพื่อชาติ" เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ภายหลังพรรคพลังประชาชนถึงคราวชะตาขาด แพ้ภัยตัวเอง ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ปิดตำนาน "นอมินีภาค 2" ถูกลบออกจากสารบบการเมืองไทยอีกครั้ง
แต่ว่ากันว่า ”เชื้อชั่วย่อมไม่มีวันตาย” แม้พรรคเก่าจะถูกยุบประกาศิตนายใหญ่ได้สั่งการกวาดต้อนบรรดา ส.ส.แพแตกเข้ามาสู่รังใหม่ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งการพยายามดิ้นรนครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้พรรคนอมินีภาค 3 พรรคนี้ กลับมาผงาดบนสังเวียนการเมือง สานต่อภารกิจปูพรมแดงให้นายใหญ่กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง
แต่จนถึงชั่วโมงนี้ วินาทีนี้ ดูเหมือนว่าทั้งนายใหญ่ นายหญิง และบรรดาลูกสมุน จะต้องผิดหวังครั้งใหญ่ หลัง "ยี้ห้อย" เนวิน ชิดชอบ ยกพลพรรคอดีต.ส.ส.พลังประชาชน มาซบอกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ปชป.กลายเป็นพรรคที่มีภาษีดีที่สุดในขณะนี้ที่จะมีโอกาสเข้าวิน หลังล่าสุดมีจำนวนเสียงส.ส.มากที่สุดในสภาหินอ่อน
อย่างไรก็ตามแต่เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว แรงกะเพื่อมทางการเมืองที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนต่างๆ ของบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม่กระทั่งแวดวงสีกากี ที่ขณะนี้เรียกได้ว่าบรรดาบิ๊กสีกากีใหญ่น้อย ต่างเฝ้าเกาะติดสถานการณ์ทางการเมือง อย่างไม่กระพริบตา โดยเฉพาะพวกที่ได้ดิบได้ดี เพราะไปอิงแอบแนบชิดกับฝ่ายการเมือง เด็กเส้นเด็กฝากของบรรรดานักการเมืองสายอำนาจเก่า หรือตำรวจบางพวกที่ยอมปวารณาตัวเองเพื่อรับใช้นายใหญ่อย่างไม่ลืมหูลืมตา
เราลองมาลองไล่เรียงกันว่าในแวดวงสีกากีมีใครกันบ้างที่อยู่ในขั้วอำนาจเก่า หรือมีสายสัมพันธ์แนบสนิทกับ “บิ๊กแม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งบรรดาตำรวจพวกนี้ในครั้งที่นายใหญ่ยังอยู่ ต่างได้ดิบได้ดี นั่งตำแหน่งสำคัญๆ กันถ้วนหน้า จึงไม่แปลกที่คนพวกนี้ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดทางให้นายใหญ่ ที่ต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดนได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
เริ่มกันที่ ”บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เมียพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรายนี้แม้ว่าจะไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆ โดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ วางตัวเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เองก็ได้รับอานิสงส์ จากระบอบทักษิณไม่น้อย
เพราะการที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผู้นี้ ได้ติดยศพล.ต.อ.ขึ้นแท่นรองผบ.ตร.รวดเร็วชนิดติดเทอร์โบ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 โดดข้ามหัวผู้ช่วยผบ.ตร.ที่มีอาวุโสสูงกว่า 6 คน รวมถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. จนทำให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดฉากฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งตราบาปในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดภาพกลายเป็นตำรวจในระบอบทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนต่อมา “นายพลหน้าขาว” พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ที่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ ยอมถอยทัพออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ นายพลผู้นี้ได้ออกมาฉุยฉายหน้าจอทีวีแทบทุกวัน โดยมีภาระกิจหลักในการไล่เช็คบิลกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเริ่มตั้งแต่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาฉกรรจ์ กรณีที่ยกพลยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งที่ผานมา พล.ต.อ.จงรัก พยายามงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ กฎหมายทุกฉบับ ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาผิดกับพันธมิตรฯให้จงได้ มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์รายวัน เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คือ ผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ พกพาอาวุธร้ายแรงมาชุมนุม
สำหรับพฤติกรรมของนายตำรวจรายนี้แม้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ออกตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา กฌสามารถสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกของนายพลผู้นี้ ที่หมายเอาผลงานที่สามารถจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯได้ เพื่อหวังให้อานิสงส์แห่งการรับใช้ระบอบทักษิณ หนุนนำให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ของรั้วปทุมวัน โดยที่ไม่ได้สำเหนียกเลยว่า ด้วยคุณสมบัติที่มี อาทิ ลำดับอาวุโสของ พล.ต.อ.จงรัก หากเทียบกับ รองผบ.ตร.คนอื่นๆ อยู่อันดับบ๊วย ด้านความรู้ความสามารถก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่คงหวังว่าอานิสงส์แห่งการรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะช่วยเป็นแรงผลักดัน ให้ตัวเองได้เข้าวิน
อีกรายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ “เจ้าเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. รายนี้เรียกได้ว่าก้าวขึ้นมาเป็น น.1 ได้ ทั้งที่เหลืออายุราชการเพียงปีเดียว เรียกว่าเหมือนถูกหวย เพราะถือเป็นตำรวจแก่ที่ใกล้หมดอายุ แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนรต.26 ของพ.ต.ท.ทักษิณ เคยรับใช้ไว้วางใจกันมาก่อน จึงถุกเรียกใช้ งานนี้จึงเรียกว่าพล.ต.ท.สุชาติ เข้ามาเพื่อรับงานจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯหนามยอกอกรัฐบาล แทนบิ๊กวิน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ถูกดันขึ้นนั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยผบ.ตร. เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในขณะนั้นมองว่า พล.ต.ท.อัศวิน อ่อนข้อให้กับม็อบมากเกินไป หลังจากนั้นไม่นาน ปฏิบัติการโหด 7 ตุลาเลือด จึงได้อุบัติขึ้น
อย่างไรก็ตามเหตุความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมิใช่เพียง พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งเป็นผบ.เหตุการณ์ แต่ยังมีผู้ช่วยมือทอง “นวยนปช.”พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ซึ่งรายนี้ เป็นอีกรายที่ยอมปวารณาตัวเพื่อรับใช้ นายใหญ่ นายหญิง แต่จะว่าก็ว่า ที่ได้ดิบได้ดีทุกวันนี้ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่ามีที่มาอย่างไร พล.ต.ต.อำนวย ได้ติดยศ พล.ต.ต. ครั้งแรกเป็นผบก.น.2 หลังดูแลรับใช้นายหญิงเฝ้าบ้านจันทร์ส่องหล้า สมัยเป็นรองผบก.น.7 นัยว่าผลงานเข้าตา...ด้วยบุญคุณที่เกื้อหนุนกันมา จึงไม่แปลกที่ พล.ต.ต.อำนวย ผู้นี้ จึงเป็นอีกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารับใช้ นายใหญ่และรัฐบาลนอมินี่ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีนายตำรวจรายอื่นๆที่อยู่ในระบอบทักษิณ แต่บทบาทที่ผ่านมา ยังไม่ชัดเจนมากนัก อาทิ พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รองผบ.ตร. พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วยผบ.ตร.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล รองจตช. พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ รองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ซึ่งที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนรต.26 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมนายตำรวจรุ่นพี่รุ่นน้องที่ยอมก้มหัวให้กับขั้วการเมืองกลุ่มอำนาจเก่าอีกจำนวนมาก...ซึ่งเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว เชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องหนาวสะท้านกันบ้างไม่มากก็น้อย...
แต่ว่ากันว่า ”เชื้อชั่วย่อมไม่มีวันตาย” แม้พรรคเก่าจะถูกยุบประกาศิตนายใหญ่ได้สั่งการกวาดต้อนบรรดา ส.ส.แพแตกเข้ามาสู่รังใหม่ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งการพยายามดิ้นรนครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้พรรคนอมินีภาค 3 พรรคนี้ กลับมาผงาดบนสังเวียนการเมือง สานต่อภารกิจปูพรมแดงให้นายใหญ่กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง
แต่จนถึงชั่วโมงนี้ วินาทีนี้ ดูเหมือนว่าทั้งนายใหญ่ นายหญิง และบรรดาลูกสมุน จะต้องผิดหวังครั้งใหญ่ หลัง "ยี้ห้อย" เนวิน ชิดชอบ ยกพลพรรคอดีต.ส.ส.พลังประชาชน มาซบอกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ปชป.กลายเป็นพรรคที่มีภาษีดีที่สุดในขณะนี้ที่จะมีโอกาสเข้าวิน หลังล่าสุดมีจำนวนเสียงส.ส.มากที่สุดในสภาหินอ่อน
อย่างไรก็ตามแต่เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว แรงกะเพื่อมทางการเมืองที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนต่างๆ ของบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม่กระทั่งแวดวงสีกากี ที่ขณะนี้เรียกได้ว่าบรรดาบิ๊กสีกากีใหญ่น้อย ต่างเฝ้าเกาะติดสถานการณ์ทางการเมือง อย่างไม่กระพริบตา โดยเฉพาะพวกที่ได้ดิบได้ดี เพราะไปอิงแอบแนบชิดกับฝ่ายการเมือง เด็กเส้นเด็กฝากของบรรรดานักการเมืองสายอำนาจเก่า หรือตำรวจบางพวกที่ยอมปวารณาตัวเองเพื่อรับใช้นายใหญ่อย่างไม่ลืมหูลืมตา
เราลองมาลองไล่เรียงกันว่าในแวดวงสีกากีมีใครกันบ้างที่อยู่ในขั้วอำนาจเก่า หรือมีสายสัมพันธ์แนบสนิทกับ “บิ๊กแม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งบรรดาตำรวจพวกนี้ในครั้งที่นายใหญ่ยังอยู่ ต่างได้ดิบได้ดี นั่งตำแหน่งสำคัญๆ กันถ้วนหน้า จึงไม่แปลกที่คนพวกนี้ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดทางให้นายใหญ่ ที่ต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดนได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
เริ่มกันที่ ”บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร.ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เมียพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรายนี้แม้ว่าจะไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆ โดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ วางตัวเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เองก็ได้รับอานิสงส์ จากระบอบทักษิณไม่น้อย
เพราะการที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผู้นี้ ได้ติดยศพล.ต.อ.ขึ้นแท่นรองผบ.ตร.รวดเร็วชนิดติดเทอร์โบ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 โดดข้ามหัวผู้ช่วยผบ.ตร.ที่มีอาวุโสสูงกว่า 6 คน รวมถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. จนทำให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดฉากฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งตราบาปในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดภาพกลายเป็นตำรวจในระบอบทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนต่อมา “นายพลหน้าขาว” พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ที่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ ยอมถอยทัพออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ นายพลผู้นี้ได้ออกมาฉุยฉายหน้าจอทีวีแทบทุกวัน โดยมีภาระกิจหลักในการไล่เช็คบิลกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเริ่มตั้งแต่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาฉกรรจ์ กรณีที่ยกพลยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งที่ผานมา พล.ต.อ.จงรัก พยายามงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ กฎหมายทุกฉบับ ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาผิดกับพันธมิตรฯให้จงได้ มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์รายวัน เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คือ ผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ พกพาอาวุธร้ายแรงมาชุมนุม
สำหรับพฤติกรรมของนายตำรวจรายนี้แม้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ออกตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา กฌสามารถสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกของนายพลผู้นี้ ที่หมายเอาผลงานที่สามารถจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯได้ เพื่อหวังให้อานิสงส์แห่งการรับใช้ระบอบทักษิณ หนุนนำให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ของรั้วปทุมวัน โดยที่ไม่ได้สำเหนียกเลยว่า ด้วยคุณสมบัติที่มี อาทิ ลำดับอาวุโสของ พล.ต.อ.จงรัก หากเทียบกับ รองผบ.ตร.คนอื่นๆ อยู่อันดับบ๊วย ด้านความรู้ความสามารถก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่คงหวังว่าอานิสงส์แห่งการรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะช่วยเป็นแรงผลักดัน ให้ตัวเองได้เข้าวิน
อีกรายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ “เจ้าเบื๊อก” พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. รายนี้เรียกได้ว่าก้าวขึ้นมาเป็น น.1 ได้ ทั้งที่เหลืออายุราชการเพียงปีเดียว เรียกว่าเหมือนถูกหวย เพราะถือเป็นตำรวจแก่ที่ใกล้หมดอายุ แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนรต.26 ของพ.ต.ท.ทักษิณ เคยรับใช้ไว้วางใจกันมาก่อน จึงถุกเรียกใช้ งานนี้จึงเรียกว่าพล.ต.ท.สุชาติ เข้ามาเพื่อรับงานจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯหนามยอกอกรัฐบาล แทนบิ๊กวิน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ถูกดันขึ้นนั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยผบ.ตร. เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในขณะนั้นมองว่า พล.ต.ท.อัศวิน อ่อนข้อให้กับม็อบมากเกินไป หลังจากนั้นไม่นาน ปฏิบัติการโหด 7 ตุลาเลือด จึงได้อุบัติขึ้น
อย่างไรก็ตามเหตุความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมิใช่เพียง พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งเป็นผบ.เหตุการณ์ แต่ยังมีผู้ช่วยมือทอง “นวยนปช.”พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ซึ่งรายนี้ เป็นอีกรายที่ยอมปวารณาตัวเพื่อรับใช้ นายใหญ่ นายหญิง แต่จะว่าก็ว่า ที่ได้ดิบได้ดีทุกวันนี้ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่ามีที่มาอย่างไร พล.ต.ต.อำนวย ได้ติดยศ พล.ต.ต. ครั้งแรกเป็นผบก.น.2 หลังดูแลรับใช้นายหญิงเฝ้าบ้านจันทร์ส่องหล้า สมัยเป็นรองผบก.น.7 นัยว่าผลงานเข้าตา...ด้วยบุญคุณที่เกื้อหนุนกันมา จึงไม่แปลกที่ พล.ต.ต.อำนวย ผู้นี้ จึงเป็นอีกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารับใช้ นายใหญ่และรัฐบาลนอมินี่ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีนายตำรวจรายอื่นๆที่อยู่ในระบอบทักษิณ แต่บทบาทที่ผ่านมา ยังไม่ชัดเจนมากนัก อาทิ พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รองผบ.ตร. พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วยผบ.ตร.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล รองจตช. พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ รองผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ซึ่งที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนรต.26 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมนายตำรวจรุ่นพี่รุ่นน้องที่ยอมก้มหัวให้กับขั้วการเมืองกลุ่มอำนาจเก่าอีกจำนวนมาก...ซึ่งเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว เชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องหนาวสะท้านกันบ้างไม่มากก็น้อย...