แค่สายๆ วันนี้ (15 ธ.ค.) ก็คงจะได้รู้กันแล้วว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาจากขั้วการเมืองฝั่งไหน ระหว่างขั้ว"ระบอบทักษิณ" ที่พยายามอำพรางตัวมาในนามรัฐบาลเพื่อชาติ โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ยอมรับบทเป็น"หุ่นเชิด"ให้
ส่วนอีกขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ กับอดีต 4 พรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มเพื่อนเนวิน ประกาศแถลงจุดยืนไปแล้วหลายรอบว่าให้การสนับสนุน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หากการเมืองเปลี่ยนขั้วจาก "แก๊งนอมินีทักษิณ" มาอยู่ในมือ"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" แรงกะเพื่อมทางการเมืองที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนต่างๆ ของบ้านเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หนึ่งในองค์กรที่คาดหมายกันว่าจะถูกจัดระเบียบใหม่อย่างฉับพลันทันที นั่นคือ "รัฐตำรวจ" เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดา"บิ๊กสีกากี" ต่างได้ดิบได้ดี เพราะไปอิงแอบแนบชิดกับฝ่ายการเมือง เป็นเด็กเส้นเด็กฝากของบรรรดานักการเมืองสายอำนาจเก่า ยอมปวารณาตัวเองเพื่อรับใช้ระบอบทักษิณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
เราลองมาไล่เรียงกันว่า ในบรรดาหัวขบวนของบิ๊กสีกากี มีใครกันบ้างที่อยู่ในขั้วอำนาจเก่า หรือมีสายสัมพันธ์แนบสนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบรรดานายพลพวกนี้ล้วนเติบโต พรวดพราด นั่งตำแหน่งสำคัญๆ กันถ้วนหน้า จึงไม่แปลกที่คนพวกนี้ยังพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อเปิดทางให้ "นายใหญ่" ได้กลับมายึดกุมอำนาจอีกครั้ง
แต่ถ้าการเมืองพลิกขั้ว ใครบ้างที่จะออกอาการสะบัดร้อน สะบัดหนาว
เริ่มกันที่ "บิ๊กอ๊อฟ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่อดีตภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรายนี้แม้ว่าจะไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆ โดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ค่อนข้างตัวเก็บเนื้อเก็บ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เองก็ได้รับอานิสงส์ จากระบอบทักษิณไม่น้อย เพราะการได้ติดยศ พล.ต.อ. ขึ้นแท่นรองผบ.ตร. นั้น เรียกได้ว่ารวดเร็วชนิดติดเทอร์โบ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 โดยข้ามหัวผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่มีอาวุโสสูงกว่า 6 คน รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. จนทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดฉากฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งตราบาปในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดภาพกลายเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนต่อมา"นายพลหน้าขาว" พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ที่ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ ยอมถอยทัพออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ นายพลผู้นี้ได้ออกมาฉุยฉายหน้าจอทีวี แทบทุกวัน โดยมีภาระกิจหลักในการไล่เช็คบิลกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเริ่มตั้งแต่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาฉกรรจ์ กรณีที่ยกพลยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งที่ผานมา พล.ต.อ.จงรัก พยายามงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ กฎหมายทุกฉบับ ทำทุกวิถีทาง เพื่อเอาผิดกับพันธมิตรฯให้ได้ มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์รายวัน เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คือผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ พกพาอาวุธร้ายแรงมาชุมนุม
สำหรับพฤติกรรมของนายตำรวจรายนี้ แม้ก่อนหน้านี้ จะไม่ได้ออกมายืนแถวหน้าประกาศตัวว่าเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา ก็สามารถสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกของนายพลผู้นี้ ที่หมายเอาผลงานในการจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหวังให้อานิสงส์แห่งการรับใช้ระบอบทักษิณ หนุนนำให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ของรั้วปทุมวัน โดยที่ไม่ได้สำเหนียกเลยว่า ด้วยคุณสมบัติที่มี อาทิ ลำดับอาวุโสของ พล.ต.อ.จงรัก หากเทียบกับ รอง ผบ.ตร. คนอื่นๆนั้น ยังอยู่อันดับบ๊วย ด้านความรู้ความสามารถก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่คงหวังว่าอานิสงส์แห่งการรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะช่วยเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้ขึ้นมาผงาดเหนือนายพลสีกากีคนอื่นๆ
อีกรายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ "เจ้าเบื๊อก" พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. รายนี้เรียกได้ว่าก้าวขึ้นมาเป็น "น.1" ได้ ทั้งที่เหลืออายุราชการเพียงแค่ปีเดียว เรียกว่าเหมือนถูกหวย เพราะถือเป็นตำรวจแก่ที่ใกล้หมดสภาพ แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยรับใช้ไว้วางใจกันมาก่อน จึงถูกเรียกใช้ งานนี้จึงเรียกว่า พล.ต.ท.สุชาติ เข้ามาเพื่อรับงานจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ หนามยอกอกรัฐบาล แทน "บิ๊กวิน" พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ถูกดันขึ้นนั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยผบ.ตร. เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในขณะนั้นมองว่า พล.ต.ท.อัศวิน อ่อนข้อให้กับพันธมิตรฯ มากเกินไป และหลังจากพล.ต.ท.สุชาติ รับตำแหน่งผบช.น. ได้ไม่กี่วัน ปฏิบัติการโหด 7 ตุลาเลือด ก็อุบัติขึ้น
อย่างไรก็ตาม เหตุความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมิใช่เพียง พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งเป็น ผู้บัญชาการในเหตุการณ์ แต่ยังมีผู้ช่วยคนสำคัญคือ "นวย นปช." พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ซึ่งรายนี้ เป็นอีกรายที่ยอมปวารณาตัวเพื่อรับใช้ นายใหญ่ นายหญิง
ว่ากันว่าที่ พล.ต.ต.อำนวย ได้ดิบได้ดี ขึ้นถึง รองผบช.น. เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่า พล.ต.ต.อำนวย ได้ติดยศ พล.ต.ต. ครั้งแรก เป็น ผบก.น.2 หลังดูแลรับใช้นายหญิงเฝ้าบ้านจันทร์ส่องหล้า สมัยเป็นรอง ผบก.น.7 นัยว่าผลงานเข้าตา จึงได้รับการปูนบำเหน็จแห่งความภักดี
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีนายตำรวจรายอื่นๆ ที่เข้าข่ายอยู่ในระบอบทักษิณ แม้จะไม่ออกหน้าออกตาเอิกเกริก มากนัก อาทิ พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร., พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ รอง ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ซึ่งที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมนายตำรวจรุ่นน้อง อีกจำนวนมาก ซึ่งเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว เชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องหนาวสะท้านกันบ้างไม่มากก็น้อย.
ส่วนอีกขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ กับอดีต 4 พรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มเพื่อนเนวิน ประกาศแถลงจุดยืนไปแล้วหลายรอบว่าให้การสนับสนุน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม หากการเมืองเปลี่ยนขั้วจาก "แก๊งนอมินีทักษิณ" มาอยู่ในมือ"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" แรงกะเพื่อมทางการเมืองที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนต่างๆ ของบ้านเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หนึ่งในองค์กรที่คาดหมายกันว่าจะถูกจัดระเบียบใหม่อย่างฉับพลันทันที นั่นคือ "รัฐตำรวจ" เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดา"บิ๊กสีกากี" ต่างได้ดิบได้ดี เพราะไปอิงแอบแนบชิดกับฝ่ายการเมือง เป็นเด็กเส้นเด็กฝากของบรรรดานักการเมืองสายอำนาจเก่า ยอมปวารณาตัวเองเพื่อรับใช้ระบอบทักษิณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
เราลองมาไล่เรียงกันว่า ในบรรดาหัวขบวนของบิ๊กสีกากี มีใครกันบ้างที่อยู่ในขั้วอำนาจเก่า หรือมีสายสัมพันธ์แนบสนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบรรดานายพลพวกนี้ล้วนเติบโต พรวดพราด นั่งตำแหน่งสำคัญๆ กันถ้วนหน้า จึงไม่แปลกที่คนพวกนี้ยังพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อเปิดทางให้ "นายใหญ่" ได้กลับมายึดกุมอำนาจอีกครั้ง
แต่ถ้าการเมืองพลิกขั้ว ใครบ้างที่จะออกอาการสะบัดร้อน สะบัดหนาว
เริ่มกันที่ "บิ๊กอ๊อฟ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่อดีตภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรายนี้แม้ว่าจะไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆ โดยที่ผ่านมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ค่อนข้างตัวเก็บเนื้อเก็บ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เองก็ได้รับอานิสงส์ จากระบอบทักษิณไม่น้อย เพราะการได้ติดยศ พล.ต.อ. ขึ้นแท่นรองผบ.ตร. นั้น เรียกได้ว่ารวดเร็วชนิดติดเทอร์โบ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 โดยข้ามหัวผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่มีอาวุโสสูงกว่า 6 คน รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. จนทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดฉากฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งตราบาปในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดภาพกลายเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนต่อมา"นายพลหน้าขาว" พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ที่ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ ยอมถอยทัพออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ นายพลผู้นี้ได้ออกมาฉุยฉายหน้าจอทีวี แทบทุกวัน โดยมีภาระกิจหลักในการไล่เช็คบิลกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเริ่มตั้งแต่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อหาฉกรรจ์ กรณีที่ยกพลยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ซึ่งที่ผานมา พล.ต.อ.จงรัก พยายามงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ กฎหมายทุกฉบับ ทำทุกวิถีทาง เพื่อเอาผิดกับพันธมิตรฯให้ได้ มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์รายวัน เพื่อตอกย้ำกับสังคมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ คือผู้ก่อการร้ายตัวฉกาจ พกพาอาวุธร้ายแรงมาชุมนุม
สำหรับพฤติกรรมของนายตำรวจรายนี้ แม้ก่อนหน้านี้ จะไม่ได้ออกมายืนแถวหน้าประกาศตัวว่าเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา ก็สามารถสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกของนายพลผู้นี้ ที่หมายเอาผลงานในการจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหวังให้อานิสงส์แห่งการรับใช้ระบอบทักษิณ หนุนนำให้ตัวเองก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ของรั้วปทุมวัน โดยที่ไม่ได้สำเหนียกเลยว่า ด้วยคุณสมบัติที่มี อาทิ ลำดับอาวุโสของ พล.ต.อ.จงรัก หากเทียบกับ รอง ผบ.ตร. คนอื่นๆนั้น ยังอยู่อันดับบ๊วย ด้านความรู้ความสามารถก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่คงหวังว่าอานิสงส์แห่งการรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะช่วยเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้ขึ้นมาผงาดเหนือนายพลสีกากีคนอื่นๆ
อีกรายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ "เจ้าเบื๊อก" พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. รายนี้เรียกได้ว่าก้าวขึ้นมาเป็น "น.1" ได้ ทั้งที่เหลืออายุราชการเพียงแค่ปีเดียว เรียกว่าเหมือนถูกหวย เพราะถือเป็นตำรวจแก่ที่ใกล้หมดสภาพ แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยรับใช้ไว้วางใจกันมาก่อน จึงถูกเรียกใช้ งานนี้จึงเรียกว่า พล.ต.ท.สุชาติ เข้ามาเพื่อรับงานจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ หนามยอกอกรัฐบาล แทน "บิ๊กวิน" พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ถูกดันขึ้นนั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยผบ.ตร. เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในขณะนั้นมองว่า พล.ต.ท.อัศวิน อ่อนข้อให้กับพันธมิตรฯ มากเกินไป และหลังจากพล.ต.ท.สุชาติ รับตำแหน่งผบช.น. ได้ไม่กี่วัน ปฏิบัติการโหด 7 ตุลาเลือด ก็อุบัติขึ้น
อย่างไรก็ตาม เหตุความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมิใช่เพียง พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งเป็น ผู้บัญชาการในเหตุการณ์ แต่ยังมีผู้ช่วยคนสำคัญคือ "นวย นปช." พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ซึ่งรายนี้ เป็นอีกรายที่ยอมปวารณาตัวเพื่อรับใช้ นายใหญ่ นายหญิง
ว่ากันว่าที่ พล.ต.ต.อำนวย ได้ดิบได้ดี ขึ้นถึง รองผบช.น. เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่า พล.ต.ต.อำนวย ได้ติดยศ พล.ต.ต. ครั้งแรก เป็น ผบก.น.2 หลังดูแลรับใช้นายหญิงเฝ้าบ้านจันทร์ส่องหล้า สมัยเป็นรอง ผบก.น.7 นัยว่าผลงานเข้าตา จึงได้รับการปูนบำเหน็จแห่งความภักดี
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีนายตำรวจรายอื่นๆ ที่เข้าข่ายอยู่ในระบอบทักษิณ แม้จะไม่ออกหน้าออกตาเอิกเกริก มากนัก อาทิ พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร., พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ รอง ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ซึ่งที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.26 ของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมนายตำรวจรุ่นน้อง อีกจำนวนมาก ซึ่งเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว เชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องหนาวสะท้านกันบ้างไม่มากก็น้อย.