เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (17 ธ.ค.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ นางนฤมล ธารดำรงค์ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตนพร้อมเพื่อน ส.ส. จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบสมาชิกภาพของ นายชัย ชิดชอบ ส.ส.สัดส่วน อดีตพรรคพลังประชาชน ว่าได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคพลังประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 94 , 95 , 36 , 41 , 46 และ47 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.- ส.ว. ซึ่งทำให้ความเป็นส.ส.สัดส่วนของนายชัย ต้องพ้นสภาพไปด้วย ดังนั้น การประชุมสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่15 ธ.ค. น่าจะเป็นโมฆะ
ทั้งนี้ ตนได้รับข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่เป็นทนายความได้ส่งรายละเอียดเพื่อให้ตีความด้านกฎหมายมาให้ เพราะการเลือกส.ส.สัดส่วน เป็นการเลือกพรรคไม่ใช่เลือกตัวบุคคล เหมือนส.ส.เขต ดังนั้น เมื่อพรรคถูกยุ ก็ต้องสิ้นสภาพลงโดยปริยาย
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่าการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่นายกรัฐมนตรี ได้ตระเวนเดินสายไปพบนายเนวิน ชิดชอบ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตหัวหน้าพรรคมัฌชิมาธิปไตย นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แสดงให้เห็นว่ามีการตกลง หรือสัญญาว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ถือว่ามีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความผิด หรือเหตุได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่อง่ายที่ กกต.จะวินิจฉัยโดยที่ไม่ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนอีก อย่างไรก็ตาม ถือว่าตำแหน่งว่าที่นายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ ถือว่าเป็นโมฆะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายชัย สิ้นสภาพ ก็ถือว่าส.ส.สัดส่วนของพรรคเพื่อไทย ก็ต้องหมดสภาพด้วย นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ความจริงก็คือความจริง กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
เมื่อถามว่า เหตุใดไม่ยื่นก่อนหน้านั้น เป็นเพราะต้องการให้มีการพลิกขั้วกลับมาจัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เหตุมันเพิ่งเกิด ต้องให้เหตุเกิดก่อนถึงจะดำเนินการ เหมือนกับการจับผู้ร้ายก็ต้องรอให้ผู้ร้ายกระทำความผิดก่อน หากมีการตีปลาหน้าไซ ก็จะไม่ได้ผล
ต่อข้อถามถึง กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน ที่สนามศุภชลาศัย ที่มีส.ส.พรรคเพื่อไทยร่วมด้วยจะต้องถูกร้องกลับเหมือนกันนายสุรพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์แตกต่างกัน ซึ่งการโฟนอิน ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการพูดกับประชาชนที่ชื่นชอบพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการส่วนตัวเท่านั้นเองไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่ถ้ามีคิดว่ามีความผิด ก็ให้อีกฝ่ายเอาเอกสารหลักฐานมาร้องเรียนได้
**กกต.โยนศาลรธน.ตีความ
ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ส. สัดส่วนของพรรคที่ถูกยุบว่า ความเห็นส่วนตัวมองว่าเรื่องคุณสมบัตินั้น น่าจะเป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องทำความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
ส่วนครั้งที่ผ่านมาซึ่งประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณานั้น อาจทำผิดกระบวนการ เพราะทำเป็นเพียงเรื่องหารือเท่านั้น ดังนั้นทางสภาควรทำเรื่องเสนอไปใหม่ ส่วนจะให้กกต. พิจารณาหรือไม่นั้น แม้ว่าจะมีผู้ร้องเข้ามา แต่ขณะนี้ยังไม่เข้าสู่วาระการประชุม ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ มีปัญหา เพราะมีแนวคิดออกเป็นสองฝ่าย โดยเฉพาะส.ส. สัดส่วน หากย้ายไปพรรคที่ไม่มี ส.ส.สัดส่วนอยู่ก็คงไม่มีปัญหา แต่หากย้ายไปอยู่พรรคที่มีส.ส. สัดส่วนอยู่แล้ว ก็อาจจะมีปัญหา เพราะจะทำให้สัดส่วนของพรรคนั้นเพิ่มขึ้น แต่เรื่องนี้ตนเข้าใจว่าพ้นจากหน้าที่ของกกต. ที่จะพิจารณาไปแล้ว
นายสุเมธ กล่าวถึงกรณีที่กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลว่า ขณะนี้ กกต.ได้ให้ด้านกิจการพรรคการเมืองไปศึกษากฎหมาย และทำความเห็นเสนอต่อที่ประชุม กกต. ส่วนเรื่องจะเหมาะสมหรือไม่นั้น เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดเอาไว้ จึงมีการพูดถึงเรื่องความเหมาะสม แต่เท่าที่มีกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบจะทำอะไรไม่ได้บ้างนั้น กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 97 ก็ได้ระบุเอาไว้ เช่น การห้ามจดตั้งพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้น กกต.จึงให้ฝ่ายกฎหมายไปตรวจสอบเสียก่อน ส่วนการจะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ก็ต้องไปศึกษากฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้เมื่อ กกต. เห็นแล้วจะหยิบขึ้นมาพิจารณาเองได้หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า หากเราเห็นและหยิบมาพิจารณาเอง เขาจะมองว่าเราลำเอียง ดังนั้นการพิจารณาอะไรต้องหาข้อมูลและหลักฐานเสียก่อน อย่าเพิ่งให้ตนแสดงความคิดเห็นเลย
ทั้งนี้ ตนได้รับข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่เป็นทนายความได้ส่งรายละเอียดเพื่อให้ตีความด้านกฎหมายมาให้ เพราะการเลือกส.ส.สัดส่วน เป็นการเลือกพรรคไม่ใช่เลือกตัวบุคคล เหมือนส.ส.เขต ดังนั้น เมื่อพรรคถูกยุ ก็ต้องสิ้นสภาพลงโดยปริยาย
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่าการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่นายกรัฐมนตรี ได้ตระเวนเดินสายไปพบนายเนวิน ชิดชอบ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตหัวหน้าพรรคมัฌชิมาธิปไตย นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แสดงให้เห็นว่ามีการตกลง หรือสัญญาว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ถือว่ามีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความผิด หรือเหตุได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่อง่ายที่ กกต.จะวินิจฉัยโดยที่ไม่ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนอีก อย่างไรก็ตาม ถือว่าตำแหน่งว่าที่นายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ ถือว่าเป็นโมฆะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายชัย สิ้นสภาพ ก็ถือว่าส.ส.สัดส่วนของพรรคเพื่อไทย ก็ต้องหมดสภาพด้วย นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ความจริงก็คือความจริง กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
เมื่อถามว่า เหตุใดไม่ยื่นก่อนหน้านั้น เป็นเพราะต้องการให้มีการพลิกขั้วกลับมาจัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เหตุมันเพิ่งเกิด ต้องให้เหตุเกิดก่อนถึงจะดำเนินการ เหมือนกับการจับผู้ร้ายก็ต้องรอให้ผู้ร้ายกระทำความผิดก่อน หากมีการตีปลาหน้าไซ ก็จะไม่ได้ผล
ต่อข้อถามถึง กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน ที่สนามศุภชลาศัย ที่มีส.ส.พรรคเพื่อไทยร่วมด้วยจะต้องถูกร้องกลับเหมือนกันนายสุรพงษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์แตกต่างกัน ซึ่งการโฟนอิน ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการพูดกับประชาชนที่ชื่นชอบพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการส่วนตัวเท่านั้นเองไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่ถ้ามีคิดว่ามีความผิด ก็ให้อีกฝ่ายเอาเอกสารหลักฐานมาร้องเรียนได้
**กกต.โยนศาลรธน.ตีความ
ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ส. สัดส่วนของพรรคที่ถูกยุบว่า ความเห็นส่วนตัวมองว่าเรื่องคุณสมบัตินั้น น่าจะเป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องทำความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
ส่วนครั้งที่ผ่านมาซึ่งประธานวุฒิสภา ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณานั้น อาจทำผิดกระบวนการ เพราะทำเป็นเพียงเรื่องหารือเท่านั้น ดังนั้นทางสภาควรทำเรื่องเสนอไปใหม่ ส่วนจะให้กกต. พิจารณาหรือไม่นั้น แม้ว่าจะมีผู้ร้องเข้ามา แต่ขณะนี้ยังไม่เข้าสู่วาระการประชุม ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ มีปัญหา เพราะมีแนวคิดออกเป็นสองฝ่าย โดยเฉพาะส.ส. สัดส่วน หากย้ายไปพรรคที่ไม่มี ส.ส.สัดส่วนอยู่ก็คงไม่มีปัญหา แต่หากย้ายไปอยู่พรรคที่มีส.ส. สัดส่วนอยู่แล้ว ก็อาจจะมีปัญหา เพราะจะทำให้สัดส่วนของพรรคนั้นเพิ่มขึ้น แต่เรื่องนี้ตนเข้าใจว่าพ้นจากหน้าที่ของกกต. ที่จะพิจารณาไปแล้ว
นายสุเมธ กล่าวถึงกรณีที่กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลว่า ขณะนี้ กกต.ได้ให้ด้านกิจการพรรคการเมืองไปศึกษากฎหมาย และทำความเห็นเสนอต่อที่ประชุม กกต. ส่วนเรื่องจะเหมาะสมหรือไม่นั้น เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดเอาไว้ จึงมีการพูดถึงเรื่องความเหมาะสม แต่เท่าที่มีกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบจะทำอะไรไม่ได้บ้างนั้น กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 97 ก็ได้ระบุเอาไว้ เช่น การห้ามจดตั้งพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้น กกต.จึงให้ฝ่ายกฎหมายไปตรวจสอบเสียก่อน ส่วนการจะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ก็ต้องไปศึกษากฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้เมื่อ กกต. เห็นแล้วจะหยิบขึ้นมาพิจารณาเองได้หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า หากเราเห็นและหยิบมาพิจารณาเอง เขาจะมองว่าเราลำเอียง ดังนั้นการพิจารณาอะไรต้องหาข้อมูลและหลักฐานเสียก่อน อย่าเพิ่งให้ตนแสดงความคิดเห็นเลย