ASTVผู้จัดการรายวัน - เงินช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวยังไม่นิ่ง เหตุสำนักงบประมาณ และสมาคมธนาคารไทย ทักท้วง หวั่นหนี้เอ็นพีแอลพุ่ง และรัฐไม่สามารถให้เงินอุดหนุนเอกชนได้ เตรียมเชิญปลัดกระทรวงคลัง และ สศช.หารืออีกครั้งสัปดาห์หน้า ด้าน "อภิสิทธิ์" ว่าที่นายกรัฐมนตรี นัดทานข้างเที่ยวกับเฟสต้าวันนี้
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุมโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองว่า ยังไม่สามารถสรุปได้ ซึ่งจะนักประชุมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยจะเชิญปลัดกระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือว่า มาตรการที่ กระทรวงการท่องเที่ยวได้ดำเนินการไปนั้น เป็นรูปแบบที่จะนำมาปฎิบัติได้จริง โดยไม่ผิดกฎการช่วยเหลือของกระทรวงการคลังหรือไม่ อย่างไร
ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะในที่ประชุมได้เกิดการทักทวงจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากสมาคมธนาคารไทย และสำนักงบประมาณที่ว่า โครงการที่กระทรวงได้จัดเตรียมไว้จะทำได้จริงหรือไม่ เช่น ในส่วนของการ อุดหนุนดอกเบี้ย 2% ในวงเงินกู้เก่ารวมเป็นเงินอุดหนุน 9,360 ล้านบาท และอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ 3% เป็นระยะเวลา 3 ปี โดย ผลสรุปที่ได้จะนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาได้ทันที เพื่อจะได้ช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้รวดเร็ว
โดยนายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในกลุ่มของ ธนาคารพาณิชย์ พร้อมที่จะช่วยเหลือ แต่มาตรการที่ออกมาต้องเป็นสิ่งที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะกระทรวงการคลังยอมรับได้ โดย ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบต้องอยู่ได้ ส่วนธนาคารพาณิชย์ก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน
สิ่งที่ธนาคารพาณิชย์มีความกังวล คือ ประเด็น การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบด้วยวิธีให้พักชำระคืนเงินต้น 1 ปี โดยเห็นว่า ไม่ควรระบุเป็นมาตรการมา เพราะในความเป็นจริง ไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะจะทำให้มียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล (เอ็นพีแอล) ในระบบเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองหนี้เพิ่ม แล้วปัญหาก็จะตามมา แต่ที่สำคัญคือในมาตรการนี้ ต้องระบุให้ชัดเจนว่า ธนาคารพาณิชย์จะเรียกเก็บเงินจากหน่วยงานใด เพราะ ตามหลักเกณฑ์จริง กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรัฐ จะไม่สามารถให้เงินอุดหนุนดอกเบี้ยได้
ทางด้านนายจุมพล ชฎาวัฒน์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า แม้สนามบินจะเปิดให้บริการแล้ว แต่ผลกระทบจากการปิดสนามบินที่ตามมา ทำให้ขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจากหลายตลาดหลัก เช่น จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง เป็นต้น ลดลง เหลือไม่ถึง 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน นักท่องเที่ยวจากยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย หายไปประมาณ 50% เป็นผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี อาจเหลือแค่ 13-14 ล้านคน จากเป้าหมาย ที่ททท.ตั้งไว้ที่ 15.7 ล้านคน
ขณะที่นายประประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) กล่าวว่า ขณะนี้ โรงแรมระดับ 5 ดาว ในเขตกรุงเทพอัตราเข้าพักเหลือเพียงหลักเดียวเฉลี่ย 1-7% ในบางโรงแรมจากปกติช่วงนี้ อัตราเข้าพักจะอยู่ราว 60-70% ส่วนที่ภูเก็ตอัตราเข้าพักลดเหลือ 50% จากทุกปีจะประมาณ กว่า 90% เชียงใหม่ อัตราเข้าพักเหลือที่ 25-30% จากทุกปี 85-90%
ดังนั้นการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในการขอให้ช่วยอุดหนุนดอกเบี้ย 2% ในวงเงินกู้เก่า และเงินกู้ใหม่ในอัตรา 3% ก็เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถประคองธุรกิจ ให้รอดพ้นจากสถานการณ์ช่วงนี้ไปได้ โดยไม่ต้องปลดพนักงาน ซึ่งภาคท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมต้นนำที่ก่อให้เกิดการจ้างงาน และรายได้ในหลายภาคส่วน
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(17 ธ.ค.) เวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่นายกรัฐมนตรี พร้อมทีมงาน 5 คน ได้นัดรับประทานอาหารกับสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) ซึ่งประกอบด้วย 6 สมาคมท่องเที่ยวหลัก ๆ ได้แก่ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว(ทีทีเอเอ) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ(สทน.) สมาคมโรงแรมไทย เป็นต้น ที่ ตึกวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นสำนักงานของแอตต้า คาดว่าจะหารือและร่วมรับฟังปัญหาในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต่อจากนั้นเวลา 15.30 น.นายอภิสิทธิ์ และคณะจะเดินทางไปหารือสถานการณ์เศรษฐกิจร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) ต่อด้วย
น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุมโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองว่า ยังไม่สามารถสรุปได้ ซึ่งจะนักประชุมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยจะเชิญปลัดกระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือว่า มาตรการที่ กระทรวงการท่องเที่ยวได้ดำเนินการไปนั้น เป็นรูปแบบที่จะนำมาปฎิบัติได้จริง โดยไม่ผิดกฎการช่วยเหลือของกระทรวงการคลังหรือไม่ อย่างไร
ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะในที่ประชุมได้เกิดการทักทวงจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากสมาคมธนาคารไทย และสำนักงบประมาณที่ว่า โครงการที่กระทรวงได้จัดเตรียมไว้จะทำได้จริงหรือไม่ เช่น ในส่วนของการ อุดหนุนดอกเบี้ย 2% ในวงเงินกู้เก่ารวมเป็นเงินอุดหนุน 9,360 ล้านบาท และอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ 3% เป็นระยะเวลา 3 ปี โดย ผลสรุปที่ได้จะนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาได้ทันที เพื่อจะได้ช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้รวดเร็ว
โดยนายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในกลุ่มของ ธนาคารพาณิชย์ พร้อมที่จะช่วยเหลือ แต่มาตรการที่ออกมาต้องเป็นสิ่งที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะกระทรวงการคลังยอมรับได้ โดย ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบต้องอยู่ได้ ส่วนธนาคารพาณิชย์ก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน
สิ่งที่ธนาคารพาณิชย์มีความกังวล คือ ประเด็น การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบด้วยวิธีให้พักชำระคืนเงินต้น 1 ปี โดยเห็นว่า ไม่ควรระบุเป็นมาตรการมา เพราะในความเป็นจริง ไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะจะทำให้มียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล (เอ็นพีแอล) ในระบบเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองหนี้เพิ่ม แล้วปัญหาก็จะตามมา แต่ที่สำคัญคือในมาตรการนี้ ต้องระบุให้ชัดเจนว่า ธนาคารพาณิชย์จะเรียกเก็บเงินจากหน่วยงานใด เพราะ ตามหลักเกณฑ์จริง กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรัฐ จะไม่สามารถให้เงินอุดหนุนดอกเบี้ยได้
ทางด้านนายจุมพล ชฎาวัฒน์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า แม้สนามบินจะเปิดให้บริการแล้ว แต่ผลกระทบจากการปิดสนามบินที่ตามมา ทำให้ขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจากหลายตลาดหลัก เช่น จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง เป็นต้น ลดลง เหลือไม่ถึง 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน นักท่องเที่ยวจากยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย หายไปประมาณ 50% เป็นผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี อาจเหลือแค่ 13-14 ล้านคน จากเป้าหมาย ที่ททท.ตั้งไว้ที่ 15.7 ล้านคน
ขณะที่นายประประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) กล่าวว่า ขณะนี้ โรงแรมระดับ 5 ดาว ในเขตกรุงเทพอัตราเข้าพักเหลือเพียงหลักเดียวเฉลี่ย 1-7% ในบางโรงแรมจากปกติช่วงนี้ อัตราเข้าพักจะอยู่ราว 60-70% ส่วนที่ภูเก็ตอัตราเข้าพักลดเหลือ 50% จากทุกปีจะประมาณ กว่า 90% เชียงใหม่ อัตราเข้าพักเหลือที่ 25-30% จากทุกปี 85-90%
ดังนั้นการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในการขอให้ช่วยอุดหนุนดอกเบี้ย 2% ในวงเงินกู้เก่า และเงินกู้ใหม่ในอัตรา 3% ก็เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถประคองธุรกิจ ให้รอดพ้นจากสถานการณ์ช่วงนี้ไปได้ โดยไม่ต้องปลดพนักงาน ซึ่งภาคท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมต้นนำที่ก่อให้เกิดการจ้างงาน และรายได้ในหลายภาคส่วน
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(17 ธ.ค.) เวลา 12.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่นายกรัฐมนตรี พร้อมทีมงาน 5 คน ได้นัดรับประทานอาหารกับสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) ซึ่งประกอบด้วย 6 สมาคมท่องเที่ยวหลัก ๆ ได้แก่ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว(ทีทีเอเอ) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ(สทน.) สมาคมโรงแรมไทย เป็นต้น ที่ ตึกวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นสำนักงานของแอตต้า คาดว่าจะหารือและร่วมรับฟังปัญหาในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต่อจากนั้นเวลา 15.30 น.นายอภิสิทธิ์ และคณะจะเดินทางไปหารือสถานการณ์เศรษฐกิจร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) ต่อด้วย