"ทีเอส ไลฟ์สไตล์" มั่นใจ "อภิสิทธิ์" ควักกระเป๋าเพิ่มงบลงทุนทันใจอีก 5% จากเดิมวางไว้ 15% พร้อมเพิ่มสินค้าใหม่อีก 10 แบรนด์ทะลวงศึกของเล่นเด็กปี52 คอนเฟิร์มปีหน้ากวาดรายได้โตแน่ 30%
นางสาวลดา เพ็ญสิทธิพร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ กลุ่มของเล่น บริษัท ทีเอส ไลฟ์สไตล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าของเล่นแบรนด์ แฮสโบร์, เบน เทน และโมโนโพลี่ เป็นต้นเปิดเผยว่า หลังจากที่ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายลง โดยขณะนี้ประเทศไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ทางบริษัทฯมั่นใจว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นจากเดิมตามแผนการลงทุนในปีหน้าที่วางงบไว้ 15% ของยอดขาย ซึ่งเป็นงบลงทุนเท่าปีก่อน ทางบริษัทฯได้เพิ่มงบการลงทุนอีก 5% รวมเป็น 20% จากยอดขาย เพื่อใช้ในการลงทุนในปีหน้าทั้งหมด โดยงบประมาณครั้งนี้กว่า 70%จะใช้สำหรับการส่งเสริมการ ณ จุดขาย รวมถึงจะมีการจัดโดโชว์เสริมอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งปีก่อนใช้เพียง 60% เท่านั้น นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนนำเข้าของเล่นใหม่อีกประมาณ 10 แบรนด์ด้วย
ขณะที่ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น ทางบริษัทฯจะให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น ทั้งช่องทางเก่าและใหม่ โดยจะเพิ่มช่องทางขายใหม่ไปยังร้านบีทูเอส และคาร์ฟูร์เพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้กลยุทธ์ไดเรกเซลล์ เช่น โรงเรียนนานาชาติ รวมถึงการขายผ่านเว็บไซต์ มั่นใจว่าจากกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายในปี 2552 นี้ เติบโตขึ้นอีกประมาณ 30%
อย่างไรก็ตามในส่วนของรายได้ในปีนี้ พบว่ายอดขายไตรมาส1 โต 12% ส่วนไตรมาส2 โตถึง 40% ซึ่งมีปัจจัยบวกจากภาพยนตร์เรื่อง อินเดียน่า โจนส์, ไอรอน แมน และอินเครดิเบิ้ล ฮัก ส่วนไตรมาส3โต 25% ดังนั้นเมื่อรวม 3 ไตรมาสเข้าด้วยกันแล้วเฉลี่ยโตกว่า 40% ทั้งนี้หากนับตั้งแต่ม.ค.-พ.ย.แล้ว พบว่ามีรายได้เฉลี่ยโตขึ้น 28% ขณะที่ในเดือนธ.ค.นี้ คาดว่าจะโตเพียง 10% เท่านั้น
ปัจจุบันบริษัทฯมีจุดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 75 สาขา โดยปีนี้เปิดเพิ่มไป 10สาขา ขณะที่ยอดขายนั้น 60%มาจากกลุ่มของเล่นสำหรับเด็กชาย อีก 30% มาจากของเล่นของเด็กหญิง และอีก 10% มาจากของเล่นเพื่อการศึกษา
นางสาวลดา เพ็ญสิทธิพร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ กลุ่มของเล่น บริษัท ทีเอส ไลฟ์สไตล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าของเล่นแบรนด์ แฮสโบร์, เบน เทน และโมโนโพลี่ เป็นต้นเปิดเผยว่า หลังจากที่ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายลง โดยขณะนี้ประเทศไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ทางบริษัทฯมั่นใจว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นจากเดิมตามแผนการลงทุนในปีหน้าที่วางงบไว้ 15% ของยอดขาย ซึ่งเป็นงบลงทุนเท่าปีก่อน ทางบริษัทฯได้เพิ่มงบการลงทุนอีก 5% รวมเป็น 20% จากยอดขาย เพื่อใช้ในการลงทุนในปีหน้าทั้งหมด โดยงบประมาณครั้งนี้กว่า 70%จะใช้สำหรับการส่งเสริมการ ณ จุดขาย รวมถึงจะมีการจัดโดโชว์เสริมอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งปีก่อนใช้เพียง 60% เท่านั้น นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนนำเข้าของเล่นใหม่อีกประมาณ 10 แบรนด์ด้วย
ขณะที่ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น ทางบริษัทฯจะให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น ทั้งช่องทางเก่าและใหม่ โดยจะเพิ่มช่องทางขายใหม่ไปยังร้านบีทูเอส และคาร์ฟูร์เพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้กลยุทธ์ไดเรกเซลล์ เช่น โรงเรียนนานาชาติ รวมถึงการขายผ่านเว็บไซต์ มั่นใจว่าจากกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายในปี 2552 นี้ เติบโตขึ้นอีกประมาณ 30%
อย่างไรก็ตามในส่วนของรายได้ในปีนี้ พบว่ายอดขายไตรมาส1 โต 12% ส่วนไตรมาส2 โตถึง 40% ซึ่งมีปัจจัยบวกจากภาพยนตร์เรื่อง อินเดียน่า โจนส์, ไอรอน แมน และอินเครดิเบิ้ล ฮัก ส่วนไตรมาส3โต 25% ดังนั้นเมื่อรวม 3 ไตรมาสเข้าด้วยกันแล้วเฉลี่ยโตกว่า 40% ทั้งนี้หากนับตั้งแต่ม.ค.-พ.ย.แล้ว พบว่ามีรายได้เฉลี่ยโตขึ้น 28% ขณะที่ในเดือนธ.ค.นี้ คาดว่าจะโตเพียง 10% เท่านั้น
ปัจจุบันบริษัทฯมีจุดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 75 สาขา โดยปีนี้เปิดเพิ่มไป 10สาขา ขณะที่ยอดขายนั้น 60%มาจากกลุ่มของเล่นสำหรับเด็กชาย อีก 30% มาจากของเล่นของเด็กหญิง และอีก 10% มาจากของเล่นเพื่อการศึกษา
