การจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ แม้ว่าดูเหมือนนิ่งสนิทแล้ว แต่เป็นธรรมดาของการเมืองน้ำเน่าในบ้านเรา ที่บรรดาผู้เสพติดอำนาจยังคงพยายามทุกวิถีทางที่จะยื้อยุดฉุดอำนาจต่อไป จึงทำให้ฝุ่นการเมืองยังคงคละคลุ้งอยู่ต่อไป
มันจะส่งกลิ่นเน่าเหม็นต่อไป และกว่าฝุ่นตลบทางการเมืองจะจางหายก็ต่อเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญแล้ว และเลือกนายกรัฐมนตรีกันเสร็จแล้ว
สถานการณ์ในขณะนี้ได้บ่งชี้ว่าการประมาณสถานการณ์ของกลุ่มอำนาจเดิมที่ว่าจะเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 8 หรือวันที่ 9 ธันวาคม 2551 นั้นล้มเหลว และกลายเป็นหมอกควันที่หายไปกับสายลมต้นฤดูหนาวแล้ว บ่งบอกถึงอำนาจที่กำลังเปลี่ยนขั้วอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นในระหว่างนี้จึงเหมาะที่จะได้สำรวจแนวรบของระบอบทักษิณว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แนวรบด้านต่างๆ ที่หมายยึดครองประเทศไทยเป็นประการใดแล้ว
เดิมทีนั้นมีการกล่าวขวัญถึงยุทธการคีมเหล็กเพื่อยึดครองประเทศไทยไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันเลยทีเดียว
มีการคุยโวว่ายุทธการคีมเหล็กประกอบด้วย 2 ยุทธศาสตร์หลัก คือยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ และยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง
ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้การเคลื่อนไหวในทางสากลหรือนานาชาติให้เสริมพลังอำนาจหนุนช่วยระบอบทุนสามานย์ และบังคับกดดันกระทั่งบ่อนทำลายสถาบันต่างๆ ในประเทศไทย
การเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์นี้เป็นไปอย่างคึกคัก แต่ในที่สุดความจริงก็ได้เปิดเผยให้โลกและชาวไทยได้รู้ว่าเป็นแค่มายาภาพหรือเสือกระดาษเท่านั้น ไม่มีคุณค่าทางความเป็นจริงใดๆ เลย
อังกฤษได้เพิกถอนวีซ่าของคุณทักษิณและภริยาให้เป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก ส่งผลต่อเครือจักรภพอังกฤษและประเทศกลุ่มอียู ตลอดจนสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของอังกฤษด้วย
การเพิกถอนวีซ่าดังกล่าวยังติดตามมาด้วยข่าวคราวสำนักฟอกเงินอายัดเงินจำนวนราว 150,000 ล้านบาท ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการยอมรับหรือปฏิเสธข่าวดังกล่าวเลย
ประเทศต่างๆ ที่เคยถูกอ้างชื่อว่าเชื้อเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาหรือให้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์หรือให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พากันออกแถลงการณ์ปฏิเสธเป็นทิวแถว
สมทบด้วยข่าวจีนแนะนำให้เดินทางออกนอกประเทศจีน เพื่อมิให้มีการใช้ดินแดนจีนเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะที่เป็นปรปักษ์กับราชอาณาจักรไทย
เป็นอันว่ายุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไม่มีอยู่จริง ที่แล้วมาเป็นแค่มายาภาพลวงโลกเท่านั้น หรือแม้จะมีความจริงอยู่บ้าง วันนี้ก็ต้องถือว่ายุทธศาสตร์นี้ล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่าแล้ว
ยุทธการคีมเหล็กจึงเหลืออยู่เพียงขาเดียว คือยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง และย่อมเห็นเป็นเบื้องต้นได้แล้วว่าคีมที่มีขาเดียวนั้น จะคีบจะกดจะตัดอะไรจะได้หรือ?
ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องตรวจดูกันเสียหน่อยว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองนั้นมีสภาพเป็นประการใดในสถานการณ์ปัจจุบัน
อันสิ่งที่เรียกว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองของระบอบทุนสามานย์นั้น เมื่อประมวลจากความเคลื่อนไหวและการขับเคลื่อน ตลอดจนการแสดงออกในห้วงเวลาที่ผ่านมาก็อาจสรุปได้ว่าประกอบขึ้นด้วยสี่แนวรบหลัก และขณะนี้แต่ละแนวรบตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสนใจ
แนวรบแรก คือการยึดครองอำนาจรัฐไว้ให้ได้ตลอดไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดๆ
ที่ผ่านมาผลปรากฏว่าแม้สามารถตั้งรัฐบาลได้ถึง 2 ชุด คือรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช กับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถรักษาอำนาจรัฐไว้ได้
รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นตัวของตัวเอง 60% เป็นหุ่นเชิดเสีย 40% และได้ใช้ความเก๋าทางการเมืองเด้งเชือกข้างสนามไปมาระยะหนึ่งก็อยู่ได้แค่ 7 เดือน ก็มีอันเป็นไป
รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นหุ่นเชิดทั้ง 100% มีฐานะเป็นแค่สากกะเบือที่ทิ่มกระแทกครกตามใจผู้บงการ ผลที่สุดก็อยู่ได้แค่ 2 เดือนโดยไม่มีโอกาสนั่งในทำเนียบรัฐบาลเลยแม้แต่วันเดียว
มิหนำซ้ำ พรรคการเมืองอันเป็นฐานอำนาจรัฐและพรรคร่วมอีก 2 พรรคก็ต้องถูกยุบ และถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองดับเดี้ยงไปพร้อมกัน ในขณะที่ชนักปักหลังและขวากหนามสุมรุมติดตัวชนิดที่สลัดไม่หลุด
การจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่มีทีท่าว่าอำนาจรัฐจะหลุดมือไปสู่พรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เกิดการสั่นไหวและเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจแก่บรรดาผู้เสพติดอำนาจอย่างรุนแรง จนหลายคนเพ้อคลั่ง
โดยเฉพาะสมุนบริวารจำพวก “ได้ข้าวที่เขาขุน และเศษบุญที่เปรอปรน เห่าโฮ่งจนลืมตน จนลืมตัวและลืมตาย” ก็ต้องคำนึงถึงชะตากรรมที่กำลังใกล้มาถึงตัว ไม่ว่าปัญหาความปลอดภัยและคดีความต่างๆ จนไม่เป็นอันกินอันนอนไปแล้ว
แนวรบอำนาจรัฐจึงสั่นคลอนและร่อแร่ใกล้ดับสูญเต็มที และเนื่องจากแนวรบนี้เป็นแนวรบสำคัญ ส่งผลต่อแนวรบอื่นๆ ด้วย จึงทำให้แนวรบอื่นๆ กระทบกระเทือนและอาจล้มเป็นโดมิโนต่อไป
แนวรบที่สอง ได้แก่แนวรบสื่อมวลชนที่ซื้อหาว่าจ้างเอาสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งลงเป็นสมุนบริวาร ทำหน้าที่กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว และปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ จนทำให้ความถูกผิดชั่วดีในบ้านเมืองวิปริตผันแปรไปสิ้น
แต่กระแสแห่งสัจจะนั้นไม่มีสิ่งใดกลบฝังหรือทำลายล้างได้ ดังนั้นสื่อทางเลือกแบบเอเอสทีวี วิทยุชุมชน และหนังสือพิมพ์ทางเลือกอีกไม่กี่ฉบับกลับสามารถตีโต้ม่านมายาแห่งความเท็จให้ทะลุทะลวงไปได้
ความตื่นตัวของมหาชนทำให้แนวรบด้านสื่อมวลชนได้ผลไม่ถึงครึ่ง และกำลังถูกท้าทายตีโต้รุกกลับอย่างหนักหน่วง ดังนั้นเมื่ออำนาจรัฐผันแปรไป แนวรบสื่อมวลชนที่อาศัยกลไกรัฐมาเป็นกลไกพรรครับใช้การเมืองจึงอยู่ในวิสัยที่จะถูกทำลายไป
และเมื่อนั้นแสงสว่างแห่งธรรมจะโชติช่วงรุ่งโรจน์สว่างไสว ความจริงก็จะยืนตระหง่านขึ้นในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง และนั่นคือสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของปวงชนย่อมเบ่งบานตาม
แนวรบที่สาม ได้แก่แนวรบทางวิชาการ ซึ่งมีการจ้างวานเปรอปรนนักวิชาการเข้ามาเป็นสมุนบริวารเกือบ 400 คน บ้างก็เปิดตัวล่อนจ้อน บ้างก็กึ่งปิดกึ่งเปิด บ้างก็เป็นอีแอบแฝงตัวอยู่ในมุมมืด ทำหน้าที่หลอกลวงปวงชนโดยอาศัยเสื้อคลุมผู้ทรงภูมิปัญญาวิชาคุณ
แต่ทว่าแนวรบนี้ก็ถูกตีโต้และเปิดโปงอย่างหนักหน่วง จนหลายคนเปลี่ยนสภาพจากนักวิชาการเป็นนักวิชากินหรือนักวิชาเกิน เปลี่ยนสภาพจากอาจารย์เป็นอาเจียนหรืออาจม ที่ลูกศิษย์พากันขยะแขยงเป็นทิวแถว
แนวรบที่สี่ ได้แก่แนวรบมวลชนโดยเฉพาะกลุ่มอิทธิพลอำนาจมืด ที่ทำลายทำร้ายข่มเหง ข่มขู่ บังคับประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ ทุกรูปแบบ แม้กระทั่งการใช้อาวุธสงคราม
แนวรบนี้ดูเหมือนว่าจะสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น แต่ผลจริงกลับปรากฏว่าไม่สามารถกดข่มจิตใจเสียสละกล้าหาญของประชาชนได้เลย จึงไม่สามารถหยุดยั้งความเติบโตของการต่อสู้ของประชาชนในขอบเขตทั่วประเทศได้
ผลร้ายของความรุนแรงติดตามมาคุกคามหลอกหลอนบรรดาผู้เป็นแก่นแกนแห่งอำนาจ ตลอดจนนักการเมืองและเครือข่าย จนกระทั่งต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะภาพหลอนแห่งความกลัวว่าจะถูกปองร้ายตามกฎแห่งกรรมกำลังตามสนองอย่างใกล้ชิด
ความรุนแรงเป็นสิ่งที่วิญญูชนและผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวงไม่สามารถยอมรับได้ จึงเกิดความตื่นตัวทั่วด้านตั้งแต่ดินถึงฟ้าทุกทั่วสารทิศ คิดหยุดยั้งความรุนแรงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
พิเคราะห์ดูแล้วแนวรบหลักทั้งสี่แนวของยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองหาได้มีความเข้มแข็งยิ่งใหญ่ตามที่คุยโวหรือสร้างภาพกันแต่ประการใดไม่ มิหนำซ้ำกำลังเสื่อมทรุดและกำลังตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับอำนาจรัฐที่กำลังจะหลุดมือไปทุกทีแล้ว
เพราะสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การในฟากฟ้านภากาศจึงบ่งบอกเค้าลางให้ได้เห็นกันทั่วทั้งแผ่นดิน นั่นคือปรากฏการณ์พระจันทร์ยิ้มไงล่ะ!
มันจะส่งกลิ่นเน่าเหม็นต่อไป และกว่าฝุ่นตลบทางการเมืองจะจางหายก็ต่อเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญแล้ว และเลือกนายกรัฐมนตรีกันเสร็จแล้ว
สถานการณ์ในขณะนี้ได้บ่งชี้ว่าการประมาณสถานการณ์ของกลุ่มอำนาจเดิมที่ว่าจะเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 8 หรือวันที่ 9 ธันวาคม 2551 นั้นล้มเหลว และกลายเป็นหมอกควันที่หายไปกับสายลมต้นฤดูหนาวแล้ว บ่งบอกถึงอำนาจที่กำลังเปลี่ยนขั้วอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นในระหว่างนี้จึงเหมาะที่จะได้สำรวจแนวรบของระบอบทักษิณว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น แนวรบด้านต่างๆ ที่หมายยึดครองประเทศไทยเป็นประการใดแล้ว
เดิมทีนั้นมีการกล่าวขวัญถึงยุทธการคีมเหล็กเพื่อยึดครองประเทศไทยไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันเลยทีเดียว
มีการคุยโวว่ายุทธการคีมเหล็กประกอบด้วย 2 ยุทธศาสตร์หลัก คือยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ และยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง
ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้การเคลื่อนไหวในทางสากลหรือนานาชาติให้เสริมพลังอำนาจหนุนช่วยระบอบทุนสามานย์ และบังคับกดดันกระทั่งบ่อนทำลายสถาบันต่างๆ ในประเทศไทย
การเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์นี้เป็นไปอย่างคึกคัก แต่ในที่สุดความจริงก็ได้เปิดเผยให้โลกและชาวไทยได้รู้ว่าเป็นแค่มายาภาพหรือเสือกระดาษเท่านั้น ไม่มีคุณค่าทางความเป็นจริงใดๆ เลย
อังกฤษได้เพิกถอนวีซ่าของคุณทักษิณและภริยาให้เป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก ส่งผลต่อเครือจักรภพอังกฤษและประเทศกลุ่มอียู ตลอดจนสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของอังกฤษด้วย
การเพิกถอนวีซ่าดังกล่าวยังติดตามมาด้วยข่าวคราวสำนักฟอกเงินอายัดเงินจำนวนราว 150,000 ล้านบาท ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการยอมรับหรือปฏิเสธข่าวดังกล่าวเลย
ประเทศต่างๆ ที่เคยถูกอ้างชื่อว่าเชื้อเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาหรือให้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์หรือให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พากันออกแถลงการณ์ปฏิเสธเป็นทิวแถว
สมทบด้วยข่าวจีนแนะนำให้เดินทางออกนอกประเทศจีน เพื่อมิให้มีการใช้ดินแดนจีนเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะที่เป็นปรปักษ์กับราชอาณาจักรไทย
เป็นอันว่ายุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไม่มีอยู่จริง ที่แล้วมาเป็นแค่มายาภาพลวงโลกเท่านั้น หรือแม้จะมีความจริงอยู่บ้าง วันนี้ก็ต้องถือว่ายุทธศาสตร์นี้ล้มครืนลงอย่างไม่เป็นท่าแล้ว
ยุทธการคีมเหล็กจึงเหลืออยู่เพียงขาเดียว คือยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง และย่อมเห็นเป็นเบื้องต้นได้แล้วว่าคีมที่มีขาเดียวนั้น จะคีบจะกดจะตัดอะไรจะได้หรือ?
ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องตรวจดูกันเสียหน่อยว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองนั้นมีสภาพเป็นประการใดในสถานการณ์ปัจจุบัน
อันสิ่งที่เรียกว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองของระบอบทุนสามานย์นั้น เมื่อประมวลจากความเคลื่อนไหวและการขับเคลื่อน ตลอดจนการแสดงออกในห้วงเวลาที่ผ่านมาก็อาจสรุปได้ว่าประกอบขึ้นด้วยสี่แนวรบหลัก และขณะนี้แต่ละแนวรบตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสนใจ
แนวรบแรก คือการยึดครองอำนาจรัฐไว้ให้ได้ตลอดไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดๆ
ที่ผ่านมาผลปรากฏว่าแม้สามารถตั้งรัฐบาลได้ถึง 2 ชุด คือรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช กับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถรักษาอำนาจรัฐไว้ได้
รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นตัวของตัวเอง 60% เป็นหุ่นเชิดเสีย 40% และได้ใช้ความเก๋าทางการเมืองเด้งเชือกข้างสนามไปมาระยะหนึ่งก็อยู่ได้แค่ 7 เดือน ก็มีอันเป็นไป
รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นหุ่นเชิดทั้ง 100% มีฐานะเป็นแค่สากกะเบือที่ทิ่มกระแทกครกตามใจผู้บงการ ผลที่สุดก็อยู่ได้แค่ 2 เดือนโดยไม่มีโอกาสนั่งในทำเนียบรัฐบาลเลยแม้แต่วันเดียว
มิหนำซ้ำ พรรคการเมืองอันเป็นฐานอำนาจรัฐและพรรคร่วมอีก 2 พรรคก็ต้องถูกยุบ และถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองดับเดี้ยงไปพร้อมกัน ในขณะที่ชนักปักหลังและขวากหนามสุมรุมติดตัวชนิดที่สลัดไม่หลุด
การจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่มีทีท่าว่าอำนาจรัฐจะหลุดมือไปสู่พรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เกิดการสั่นไหวและเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจแก่บรรดาผู้เสพติดอำนาจอย่างรุนแรง จนหลายคนเพ้อคลั่ง
โดยเฉพาะสมุนบริวารจำพวก “ได้ข้าวที่เขาขุน และเศษบุญที่เปรอปรน เห่าโฮ่งจนลืมตน จนลืมตัวและลืมตาย” ก็ต้องคำนึงถึงชะตากรรมที่กำลังใกล้มาถึงตัว ไม่ว่าปัญหาความปลอดภัยและคดีความต่างๆ จนไม่เป็นอันกินอันนอนไปแล้ว
แนวรบอำนาจรัฐจึงสั่นคลอนและร่อแร่ใกล้ดับสูญเต็มที และเนื่องจากแนวรบนี้เป็นแนวรบสำคัญ ส่งผลต่อแนวรบอื่นๆ ด้วย จึงทำให้แนวรบอื่นๆ กระทบกระเทือนและอาจล้มเป็นโดมิโนต่อไป
แนวรบที่สอง ได้แก่แนวรบสื่อมวลชนที่ซื้อหาว่าจ้างเอาสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งลงเป็นสมุนบริวาร ทำหน้าที่กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว และปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ จนทำให้ความถูกผิดชั่วดีในบ้านเมืองวิปริตผันแปรไปสิ้น
แต่กระแสแห่งสัจจะนั้นไม่มีสิ่งใดกลบฝังหรือทำลายล้างได้ ดังนั้นสื่อทางเลือกแบบเอเอสทีวี วิทยุชุมชน และหนังสือพิมพ์ทางเลือกอีกไม่กี่ฉบับกลับสามารถตีโต้ม่านมายาแห่งความเท็จให้ทะลุทะลวงไปได้
ความตื่นตัวของมหาชนทำให้แนวรบด้านสื่อมวลชนได้ผลไม่ถึงครึ่ง และกำลังถูกท้าทายตีโต้รุกกลับอย่างหนักหน่วง ดังนั้นเมื่ออำนาจรัฐผันแปรไป แนวรบสื่อมวลชนที่อาศัยกลไกรัฐมาเป็นกลไกพรรครับใช้การเมืองจึงอยู่ในวิสัยที่จะถูกทำลายไป
และเมื่อนั้นแสงสว่างแห่งธรรมจะโชติช่วงรุ่งโรจน์สว่างไสว ความจริงก็จะยืนตระหง่านขึ้นในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง และนั่นคือสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของปวงชนย่อมเบ่งบานตาม
แนวรบที่สาม ได้แก่แนวรบทางวิชาการ ซึ่งมีการจ้างวานเปรอปรนนักวิชาการเข้ามาเป็นสมุนบริวารเกือบ 400 คน บ้างก็เปิดตัวล่อนจ้อน บ้างก็กึ่งปิดกึ่งเปิด บ้างก็เป็นอีแอบแฝงตัวอยู่ในมุมมืด ทำหน้าที่หลอกลวงปวงชนโดยอาศัยเสื้อคลุมผู้ทรงภูมิปัญญาวิชาคุณ
แต่ทว่าแนวรบนี้ก็ถูกตีโต้และเปิดโปงอย่างหนักหน่วง จนหลายคนเปลี่ยนสภาพจากนักวิชาการเป็นนักวิชากินหรือนักวิชาเกิน เปลี่ยนสภาพจากอาจารย์เป็นอาเจียนหรืออาจม ที่ลูกศิษย์พากันขยะแขยงเป็นทิวแถว
แนวรบที่สี่ ได้แก่แนวรบมวลชนโดยเฉพาะกลุ่มอิทธิพลอำนาจมืด ที่ทำลายทำร้ายข่มเหง ข่มขู่ บังคับประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ ทุกรูปแบบ แม้กระทั่งการใช้อาวุธสงคราม
แนวรบนี้ดูเหมือนว่าจะสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น แต่ผลจริงกลับปรากฏว่าไม่สามารถกดข่มจิตใจเสียสละกล้าหาญของประชาชนได้เลย จึงไม่สามารถหยุดยั้งความเติบโตของการต่อสู้ของประชาชนในขอบเขตทั่วประเทศได้
ผลร้ายของความรุนแรงติดตามมาคุกคามหลอกหลอนบรรดาผู้เป็นแก่นแกนแห่งอำนาจ ตลอดจนนักการเมืองและเครือข่าย จนกระทั่งต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะภาพหลอนแห่งความกลัวว่าจะถูกปองร้ายตามกฎแห่งกรรมกำลังตามสนองอย่างใกล้ชิด
ความรุนแรงเป็นสิ่งที่วิญญูชนและผู้รักความเป็นธรรมทั้งปวงไม่สามารถยอมรับได้ จึงเกิดความตื่นตัวทั่วด้านตั้งแต่ดินถึงฟ้าทุกทั่วสารทิศ คิดหยุดยั้งความรุนแรงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
พิเคราะห์ดูแล้วแนวรบหลักทั้งสี่แนวของยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองหาได้มีความเข้มแข็งยิ่งใหญ่ตามที่คุยโวหรือสร้างภาพกันแต่ประการใดไม่ มิหนำซ้ำกำลังเสื่อมทรุดและกำลังตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับอำนาจรัฐที่กำลังจะหลุดมือไปทุกทีแล้ว
เพราะสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การในฟากฟ้านภากาศจึงบ่งบอกเค้าลางให้ได้เห็นกันทั่วทั้งแผ่นดิน นั่นคือปรากฏการณ์พระจันทร์ยิ้มไงล่ะ!