“การเมือง” ได้สร้างความเสียหายกับชาติบ้านเมืองมาตลอดระยะเวลา 8-9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งว่าไปแล้ว เราจะไปโทษ “การเมือง” ก็คงไม่น่าจะได้ ถ้าจะโทษจริงๆ ก็ต้องโทษ “นักการเมือง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นายทุนการเมือง-นายใหญ่” และ “นักธุรกิจการเมือง”
ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนทอดยาวมาถึงสัปดาห์นี้ “ธุรกิจการเมือง” น่าจะอู้ฟู้อย่างมาก แอบได้ยินข่าวมาว่า “เงินปลิวว่อน” จะมีใครได้รับกันไปหรือปฏิเสธไม่สามารถรู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ “การเจรจาต่อรอง-การเสนอ” ค่าตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพื่อให้เข้ามาสังกัดกับ “กลุ่มขั้วอำนาจเดิม” ประมาณไม่น้อยกว่า 30-40 ล้านบาทต่อหัว
ส่วนจะมีใครรับหรือไม่รับนั้น ไม่กล้าฟันธง แต่อย่างน้อยน่าจะมีการเสนอและรับกันไปบ้างแล้ว ไม่น้อยกว่า 10-15 คน “ฟาดไปเหนาะๆ!” น่าจะ 500-600 ล้านบาท
ก็เพราะ “เงินทุน” เป็นปัจจัยหลักทางการเมืองมานมนานแล้ว แต่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ มัน “ดับเบิ้ล-ทริปเปิ้ล” หรือคูณสองคูณสามอาจจะคูณสี่มากกว่าสมัยก่อนเยอะ ที่ส.ส.เพียงคนเดียว อาจใช้เงินแค่ 3-5 ล้านเท่านั้น ก็เดินปร๋อเข้าสภาผู้แทนราษฎรกันได้ ถ้าจะลงทุนเพิ่มเข้าไปสังกัดก๊กก๊วนเพื่อให้ได้โควตารองรับตำแหน่งรัฐมนตรี อย่างน้อยก็อาจจะ 2-3 ล้านบาทแถมเงินเดือน ก็ลงทุนทำ “ธุรกิจการเมือง” เพียงแค่ไม่เกินหัวละ 5-7 ล้านเป็นอย่างมาก
แต่พอมาช่วงการเลือกตั้งปี 2544 เป็นต้นมา “ปัจจัยเงินทุน” ไต่เพดานมาจนถึงหลักหลายสิบล้าน อย่างน้อยต้องมี 10 ล้านขึ้นไป ตั้งแต่เตาะแตะได้เป็น ส.ส. ถ้าอยู่ในระบบก๊กก๊วนเพื่อให้ได้โควตา และไม่สำคัญเท่ากับสังกัด “พรรคแกนนำ” น่าจะฟาดเข้ากระเป๋าไปอีก 10 ล้านบาท แถมเงินเดือนอีกต่างหาก 5 หมื่นถึงหนึ่งแสนบาทต่อเดือนต่อหัว
หรือ ส.ส.บางคนมีอำนาจต่อรองเยอะอยู่ใน “สังกัดก๊กใหญ่” ก็อาจจะได้มากมายก่ายกองถึงหลัก 30 ล้านบาทต่อคน ซึ่งอย่างน้อยก๊กใหญ่ๆ ในลักษณะนี้ ต้องมีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือในกลุ่มต้องไม่ต่ำกว่า 35 คนขึ้นไป
ดังนั้น “ธุรกิจการเมือง” ในยุค 2544-2551 นั้น ส.ส.แต่ละคนจะได้เหนาะๆ อย่างต่ำต้องเกือบถึง 40-50 ล้านบาท ก็ต้องถามว่า “จะไปทำมาหากินได้ที่ไหน ที่จะได้เงินก้อนโตเพียงนี้”
เท่านั้นยังไม่พอ “เบี้ยบ้ายรายทาง!” จากค่าเบี้ยประชุม ค่ายกมือ เงินเดือน บวกกับ “ค่าทำงาน-ค่าเดินงาน” หรือ “ค่าเค-ค่าอาหาร” แต่ละโปรเจกต์อีกจำนวนเท่าไหร่ มิน่าใครต่อใครถึงอยากลงสู่สนามการเมือง เพราะได้ทั้ง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์”
ดังที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาโดยตลอด ถ้าใครได้ “ลิ้มลอง” กับเวทีการเมืองแล้ว เป็นต้อง “เสพติด” กันแทบทุกคน โดยเฉพาะเจ้าพวกนักการเมืองที่ “บกพร่อง” ด้าน “คุณธรรม-จริยธรรม” หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็จำพวก “หน้าด้าน” และ “ไร้ยางอาย” ไม่รู้จักกับคำว่า “หิริโอตตัปปะ”
ในขณะนี้ที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ ยังไม่ทราบผลของ “การจัดตั้งรัฐบาล” ว่าเป็นไปตามข่าวคราวช่วงสุดสัปดาห์หรือไม่ ที่ “ขั้วอำนาจประชาธิปัตย์” บวกกับ “กลุ่มพรรคการเมืองเดิม” ที่เคยอยู่กับอดีตพรรคพลังประชาชน ว่ายังเหนียวแน่นกันอยู่หรือไม่ หรือว่า “ถูกสลาย” เรียบร้อยโรงเรียนคุณหญิงไปแล้วกับ “การเอาเงินฟาด!”
หรือว่าจะเปิดสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญได้ภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกัน แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า การเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการขอเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญน่าจะเร็วที่สุดก็ภายในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออย่างช้าสุดก็ต้นสัปดาห์หน้า ดังนั้น ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ “ฝุ่นตลบ-เงินสะพัด!”
อย่างไรก็ตาม เป็นกรณีที่แปลกอย่างมากที่ “แสงแดด” ดูหมิ่นดูแคลนนักการเมืองมาโดยตลอด ทั้งนี้ นักการเมืองดีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็น “สัตว์สงวน!” แทบทั้งหมด เนื่องด้วยนักการเมืองดีจะมีสติสัมปชัญญะ รู้บาปบุญคุณโทษ และไม่สำคัญเท่ากับ “ใจไม่ด้าน-หน้าไม่ด้านพอ!” ที่จะทนอยู่กับ “สภาพน้ำเน่า” เช่นนั้นได้ บ้านเมืองเราเละมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะเรามี “นักการเมืองเลว” มากกว่า “นักการเมืองดี” มิน่าคนดีๆ มีความรู้ความสามารถถึงไม่กล้าก้าวเท้าลงสู่สนาม!
จากข้อมูลที่กล่าวข้างต้น ว่าแปลกกรณีมีกลุ่มนักการเมืองจากการเกาะกลุ่มกับขั้วอำนาจเดิมได้ปรับสลับข้างมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ในการเป็นขั้วแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจากกลุ่มพรรคชาติไทยเดิม พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย และอาจจะบวกกับ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” บางคนที่รู้สึกสำนึกและหวั่นเกรง “วิกฤตการเมือง” จะอุบัติเหมือนเดิมอีก ถ้าจับขั้วกับ “พรรคเพื่อไทย” ในการจัดตั้งรัฐบาล
แล้วจริงๆ ก็เช่นนั้น ถ้าพรรคการเมืองขั้วเดิมยังเกาะกันเหนียวแน่นเช่นเดิม ชาติบ้านเมืองก็จะต้องประสบปัญหาวิกฤตและอาจแก้ไขเยียวยาได้ยากกว่าเดิม พูดง่ายๆ คือ “กลุ่มพันธมิตรฯ-เสื้อเหลือง” บวกกับ “กลุ่มพลังเงียบ!” จะออกมาขับไล่ “รัฐบาลเหล้าเก่า-ขวดเก่า” ที่คนไทยส่วนใหญ่ที่รู้เช่นเห็นชาติต่างประหวั่นพรั่นพรึงว่า “วิกฤต” อีกแล้ว!
การที่กลุ่มนักการเมืองจากขั้วเดิมมาเริ่มต้นกันใหม่กับพรรคประชาธิปัตย์ ประการแรกต้องขอ “ชมเชย!” เลยว่า “มีสำนึกรักชาติ!” และว่าไปแล้ว แต่ละคนที่สังกัดพรรคชาติไทยเดิม พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยฯ และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ต่างล้วนเป็น “มังกรการเมือง” ทั้งสิ้น “ตระหนัก-รู้ซึ้ง” ถึง “ทางตันประเทศไทย” ถ้ายังอยู่กับขั้วอำนาจเดิม หนำซ้ำจะถูกสังคม “ประณาม” และ “หมดสภาพ” ในอนาคตแน่นอน เพราะรู้ทั้งรู้ว่า จับกลุ่มขั้วอำนาจเดิมมีแต่ “ซ้ำเติม” ประเทศชาติ
มีการปล่อยข่าวมาว่า “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ที่เข้าซบร่วมขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกขานกันว่า “ลับ ลวง พราง” เพื่อไปปฏิบัติการ “ล้วงลูก” ตลอดจน “สายลับ-สอดแนม” การทำงานของรัฐบาล พร้อมทั้งคอยสกัดกั้น “การถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ” จากค่ายประชาธิปัตย์
“แสงแดด” ฟังดูแล้วต้องขอตะโกนดังๆ เลยว่า “บ้า!” แถมหัวร่อกลิ้งอีกต่างหาก ที่คนคิดเพ้อเจ้อถึง “แผนการชั่วร้าย” นี้ ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพื่อ “ความเป็นธรรม” และ “ความจริง” แล้ว “กลุ่มเพื่อนเนวิน” น่าจะถูกจัดวางให้ “เสียสละเพื่อความสงบสุข” ของชาติบ้านเมือง ในลักษณะ “ขอความร่วมมือ” หรืออาจถึงขั้น “ขอร้องแกมบังคับ!” ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องขอชมเชยว่าคุณเนวิน ชิดชอบ ในที่สุดก็ “บรรลุ” ถึงความเป็นนักการเมืองที่รักห่วงใยชาติบ้านเมือง และที่สำคัญที่สุด “ภาพพจน์-ภาพลักษณ์” จะดูหล่อเหลามากกว่าเดิม “ภาพยี้!” จะค่อยๆ หายไปพร้อมกับการยอมรับจากสังคม
ในขณะนี้ การเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญฯ เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ค่อยมั่นใจว่า บทความนี้ออกสู่สายตาท่านผู้อ่าน สภาฯ จะเปิดได้หรือยัง หรืออย่างน้อยก็ภายใน 2 วันนี้ แต่ทว่า “แสงแดด” อยากให้มีการเปิดสภาฯ โดยเร็วที่สุด เนื่องด้วย “การยื้อยุดฉุดกระชาก” และ “การซื้อตัวส.ส.” ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา “ฝุ่นตลบ-เงินปลิวว่อน!” จนขั้วประชาธิปัตย์ที่จับมือกันกับพรรคร่วมกลุ่มเก่านั้น “ดูท่าจะไขว้เขว!”
การเจรจาต่อรองทั้งหมดเกิดจาก “การหยิบยื่นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรี” ตลอดจนการเสนอเงินก้อนโต จนทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสับสนวุ่นวายมาก จนประชาชนขณะนี้มีเป็นจำนวนมากที่ไม่สบายใจกับข่าวคราวในลักษณะนี้
ถามว่า “นักการเมือง” เหล่านี้ ตระหนักดีหรือไม่ว่า ถ้าพรรคการเมืองเดิมยังจับกลุ่มขั้วเดิมๆ ชาติบ้านเมืองจะวุ่นวายอีกหรือไม่ ตอบว่า “ตระหนัก-รู้ดี” ที่สุดแต่ “หน้ามืดตามัว” เพราะ “สีม่วง-สีเทา-สีแดง”
และถ้านักการเมืองกับพรรคการเมืองต่างๆ เหล่านี้ ที่จับมือแถลงข่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลแล้วมา “ตระบัดสัตย์!” ดังข่าวก็ต้องขอประณามใน “การทำลาย-ทำร้าย” ประเทศชาติต่อไป เหตุผลเพราะ “เงิน” เท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม ขอฟันธงเลยว่า “พรรคเพื่อไทย” ได้เป็นฝ่ายค้าน และในที่สุดก็จะเป็น “ฝ่ายแค้น” อย่างแน่นอน!
ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนทอดยาวมาถึงสัปดาห์นี้ “ธุรกิจการเมือง” น่าจะอู้ฟู้อย่างมาก แอบได้ยินข่าวมาว่า “เงินปลิวว่อน” จะมีใครได้รับกันไปหรือปฏิเสธไม่สามารถรู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ “การเจรจาต่อรอง-การเสนอ” ค่าตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพื่อให้เข้ามาสังกัดกับ “กลุ่มขั้วอำนาจเดิม” ประมาณไม่น้อยกว่า 30-40 ล้านบาทต่อหัว
ส่วนจะมีใครรับหรือไม่รับนั้น ไม่กล้าฟันธง แต่อย่างน้อยน่าจะมีการเสนอและรับกันไปบ้างแล้ว ไม่น้อยกว่า 10-15 คน “ฟาดไปเหนาะๆ!” น่าจะ 500-600 ล้านบาท
ก็เพราะ “เงินทุน” เป็นปัจจัยหลักทางการเมืองมานมนานแล้ว แต่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ มัน “ดับเบิ้ล-ทริปเปิ้ล” หรือคูณสองคูณสามอาจจะคูณสี่มากกว่าสมัยก่อนเยอะ ที่ส.ส.เพียงคนเดียว อาจใช้เงินแค่ 3-5 ล้านเท่านั้น ก็เดินปร๋อเข้าสภาผู้แทนราษฎรกันได้ ถ้าจะลงทุนเพิ่มเข้าไปสังกัดก๊กก๊วนเพื่อให้ได้โควตารองรับตำแหน่งรัฐมนตรี อย่างน้อยก็อาจจะ 2-3 ล้านบาทแถมเงินเดือน ก็ลงทุนทำ “ธุรกิจการเมือง” เพียงแค่ไม่เกินหัวละ 5-7 ล้านเป็นอย่างมาก
แต่พอมาช่วงการเลือกตั้งปี 2544 เป็นต้นมา “ปัจจัยเงินทุน” ไต่เพดานมาจนถึงหลักหลายสิบล้าน อย่างน้อยต้องมี 10 ล้านขึ้นไป ตั้งแต่เตาะแตะได้เป็น ส.ส. ถ้าอยู่ในระบบก๊กก๊วนเพื่อให้ได้โควตา และไม่สำคัญเท่ากับสังกัด “พรรคแกนนำ” น่าจะฟาดเข้ากระเป๋าไปอีก 10 ล้านบาท แถมเงินเดือนอีกต่างหาก 5 หมื่นถึงหนึ่งแสนบาทต่อเดือนต่อหัว
หรือ ส.ส.บางคนมีอำนาจต่อรองเยอะอยู่ใน “สังกัดก๊กใหญ่” ก็อาจจะได้มากมายก่ายกองถึงหลัก 30 ล้านบาทต่อคน ซึ่งอย่างน้อยก๊กใหญ่ๆ ในลักษณะนี้ ต้องมีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือในกลุ่มต้องไม่ต่ำกว่า 35 คนขึ้นไป
ดังนั้น “ธุรกิจการเมือง” ในยุค 2544-2551 นั้น ส.ส.แต่ละคนจะได้เหนาะๆ อย่างต่ำต้องเกือบถึง 40-50 ล้านบาท ก็ต้องถามว่า “จะไปทำมาหากินได้ที่ไหน ที่จะได้เงินก้อนโตเพียงนี้”
เท่านั้นยังไม่พอ “เบี้ยบ้ายรายทาง!” จากค่าเบี้ยประชุม ค่ายกมือ เงินเดือน บวกกับ “ค่าทำงาน-ค่าเดินงาน” หรือ “ค่าเค-ค่าอาหาร” แต่ละโปรเจกต์อีกจำนวนเท่าไหร่ มิน่าใครต่อใครถึงอยากลงสู่สนามการเมือง เพราะได้ทั้ง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์”
ดังที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาโดยตลอด ถ้าใครได้ “ลิ้มลอง” กับเวทีการเมืองแล้ว เป็นต้อง “เสพติด” กันแทบทุกคน โดยเฉพาะเจ้าพวกนักการเมืองที่ “บกพร่อง” ด้าน “คุณธรรม-จริยธรรม” หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็จำพวก “หน้าด้าน” และ “ไร้ยางอาย” ไม่รู้จักกับคำว่า “หิริโอตตัปปะ”
ในขณะนี้ที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ ยังไม่ทราบผลของ “การจัดตั้งรัฐบาล” ว่าเป็นไปตามข่าวคราวช่วงสุดสัปดาห์หรือไม่ ที่ “ขั้วอำนาจประชาธิปัตย์” บวกกับ “กลุ่มพรรคการเมืองเดิม” ที่เคยอยู่กับอดีตพรรคพลังประชาชน ว่ายังเหนียวแน่นกันอยู่หรือไม่ หรือว่า “ถูกสลาย” เรียบร้อยโรงเรียนคุณหญิงไปแล้วกับ “การเอาเงินฟาด!”
หรือว่าจะเปิดสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญได้ภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกัน แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า การเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการขอเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญน่าจะเร็วที่สุดก็ภายในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออย่างช้าสุดก็ต้นสัปดาห์หน้า ดังนั้น ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ “ฝุ่นตลบ-เงินสะพัด!”
อย่างไรก็ตาม เป็นกรณีที่แปลกอย่างมากที่ “แสงแดด” ดูหมิ่นดูแคลนนักการเมืองมาโดยตลอด ทั้งนี้ นักการเมืองดีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็น “สัตว์สงวน!” แทบทั้งหมด เนื่องด้วยนักการเมืองดีจะมีสติสัมปชัญญะ รู้บาปบุญคุณโทษ และไม่สำคัญเท่ากับ “ใจไม่ด้าน-หน้าไม่ด้านพอ!” ที่จะทนอยู่กับ “สภาพน้ำเน่า” เช่นนั้นได้ บ้านเมืองเราเละมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะเรามี “นักการเมืองเลว” มากกว่า “นักการเมืองดี” มิน่าคนดีๆ มีความรู้ความสามารถถึงไม่กล้าก้าวเท้าลงสู่สนาม!
จากข้อมูลที่กล่าวข้างต้น ว่าแปลกกรณีมีกลุ่มนักการเมืองจากการเกาะกลุ่มกับขั้วอำนาจเดิมได้ปรับสลับข้างมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ในการเป็นขั้วแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจากกลุ่มพรรคชาติไทยเดิม พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย และอาจจะบวกกับ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” บางคนที่รู้สึกสำนึกและหวั่นเกรง “วิกฤตการเมือง” จะอุบัติเหมือนเดิมอีก ถ้าจับขั้วกับ “พรรคเพื่อไทย” ในการจัดตั้งรัฐบาล
แล้วจริงๆ ก็เช่นนั้น ถ้าพรรคการเมืองขั้วเดิมยังเกาะกันเหนียวแน่นเช่นเดิม ชาติบ้านเมืองก็จะต้องประสบปัญหาวิกฤตและอาจแก้ไขเยียวยาได้ยากกว่าเดิม พูดง่ายๆ คือ “กลุ่มพันธมิตรฯ-เสื้อเหลือง” บวกกับ “กลุ่มพลังเงียบ!” จะออกมาขับไล่ “รัฐบาลเหล้าเก่า-ขวดเก่า” ที่คนไทยส่วนใหญ่ที่รู้เช่นเห็นชาติต่างประหวั่นพรั่นพรึงว่า “วิกฤต” อีกแล้ว!
การที่กลุ่มนักการเมืองจากขั้วเดิมมาเริ่มต้นกันใหม่กับพรรคประชาธิปัตย์ ประการแรกต้องขอ “ชมเชย!” เลยว่า “มีสำนึกรักชาติ!” และว่าไปแล้ว แต่ละคนที่สังกัดพรรคชาติไทยเดิม พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยฯ และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ต่างล้วนเป็น “มังกรการเมือง” ทั้งสิ้น “ตระหนัก-รู้ซึ้ง” ถึง “ทางตันประเทศไทย” ถ้ายังอยู่กับขั้วอำนาจเดิม หนำซ้ำจะถูกสังคม “ประณาม” และ “หมดสภาพ” ในอนาคตแน่นอน เพราะรู้ทั้งรู้ว่า จับกลุ่มขั้วอำนาจเดิมมีแต่ “ซ้ำเติม” ประเทศชาติ
มีการปล่อยข่าวมาว่า “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ที่เข้าซบร่วมขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกขานกันว่า “ลับ ลวง พราง” เพื่อไปปฏิบัติการ “ล้วงลูก” ตลอดจน “สายลับ-สอดแนม” การทำงานของรัฐบาล พร้อมทั้งคอยสกัดกั้น “การถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ” จากค่ายประชาธิปัตย์
“แสงแดด” ฟังดูแล้วต้องขอตะโกนดังๆ เลยว่า “บ้า!” แถมหัวร่อกลิ้งอีกต่างหาก ที่คนคิดเพ้อเจ้อถึง “แผนการชั่วร้าย” นี้ ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพื่อ “ความเป็นธรรม” และ “ความจริง” แล้ว “กลุ่มเพื่อนเนวิน” น่าจะถูกจัดวางให้ “เสียสละเพื่อความสงบสุข” ของชาติบ้านเมือง ในลักษณะ “ขอความร่วมมือ” หรืออาจถึงขั้น “ขอร้องแกมบังคับ!” ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องขอชมเชยว่าคุณเนวิน ชิดชอบ ในที่สุดก็ “บรรลุ” ถึงความเป็นนักการเมืองที่รักห่วงใยชาติบ้านเมือง และที่สำคัญที่สุด “ภาพพจน์-ภาพลักษณ์” จะดูหล่อเหลามากกว่าเดิม “ภาพยี้!” จะค่อยๆ หายไปพร้อมกับการยอมรับจากสังคม
ในขณะนี้ การเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญฯ เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ค่อยมั่นใจว่า บทความนี้ออกสู่สายตาท่านผู้อ่าน สภาฯ จะเปิดได้หรือยัง หรืออย่างน้อยก็ภายใน 2 วันนี้ แต่ทว่า “แสงแดด” อยากให้มีการเปิดสภาฯ โดยเร็วที่สุด เนื่องด้วย “การยื้อยุดฉุดกระชาก” และ “การซื้อตัวส.ส.” ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา “ฝุ่นตลบ-เงินปลิวว่อน!” จนขั้วประชาธิปัตย์ที่จับมือกันกับพรรคร่วมกลุ่มเก่านั้น “ดูท่าจะไขว้เขว!”
การเจรจาต่อรองทั้งหมดเกิดจาก “การหยิบยื่นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรี” ตลอดจนการเสนอเงินก้อนโต จนทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสับสนวุ่นวายมาก จนประชาชนขณะนี้มีเป็นจำนวนมากที่ไม่สบายใจกับข่าวคราวในลักษณะนี้
ถามว่า “นักการเมือง” เหล่านี้ ตระหนักดีหรือไม่ว่า ถ้าพรรคการเมืองเดิมยังจับกลุ่มขั้วเดิมๆ ชาติบ้านเมืองจะวุ่นวายอีกหรือไม่ ตอบว่า “ตระหนัก-รู้ดี” ที่สุดแต่ “หน้ามืดตามัว” เพราะ “สีม่วง-สีเทา-สีแดง”
และถ้านักการเมืองกับพรรคการเมืองต่างๆ เหล่านี้ ที่จับมือแถลงข่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าจะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลแล้วมา “ตระบัดสัตย์!” ดังข่าวก็ต้องขอประณามใน “การทำลาย-ทำร้าย” ประเทศชาติต่อไป เหตุผลเพราะ “เงิน” เท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม ขอฟันธงเลยว่า “พรรคเพื่อไทย” ได้เป็นฝ่ายค้าน และในที่สุดก็จะเป็น “ฝ่ายแค้น” อย่างแน่นอน!