ASTVผู้จัดการรายวัน – แบงก์นครหลวงไทยเตรียมปรับเป้าสินเชื่อหลังเศรษฐกิจส่อแววทรุด แต่ปีนี้ยิ้มออกสินเชื่อเกินเป้าหมายเพราะลูกค้ารายใหญ่หันเบิกใช้วงเงินกู้มากขึ้น แม้ด้านเอ็นพีแอลจะไม่ลดตามเป้าเพราะแก้หนี้กลุ่มน้ำตาลไม่จบพร้อมรอลุ้นปีหน้าแก้ได้
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการทบทวนการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 6-8% บนพื้นฐานเศรษฐกิจ (จีดีพี) มีการขยายตัวที่ 3-3.8% แต่ในปัจจุบันเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจน ทำให้เป้าหมายของการปล่อยสินเชื่อในปีหน้าน่าจะต้องปรับลดลง ซึ่งทางฝ่ายวิจัยธนาคารนครหลวงไทยคาดการณ์ว่าจีดีพีปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ 1 %
ทั้งนี้การปล่อยสินเชื่อในปีหน้านั้นช่วงครึ่งปีแรกธนาคารจะเน้นการขยายสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยธนาคารจะเน้นดูแลลูกค้าเก่าเป็นหลัก และคาดว่าสินเชื่อจะเริ่มมีการเติบโตอย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งปีหลัง และการขยายตัวในปีหน้าส่วนหนึ่งจะมาจากการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อที่ได้อนุมัติในปีนี้ด้วย
"ปีหน้าคงเป็นปีที่ยากมากปีหนึ่ง เป็นปีที่ต้องเรียกความเชื่อมั่น ส่วนภาครัฐบาลจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร ทางภาคเอกชนไม่ได้รอ เพราะธุรกิจจะต้องเดินหน้าแม้จะชะลอบ้างแต่ไม่ได้หยุด ส่วนแผนรับมือของแบงก์คือจะเน้นดูแลลูกค้าเก่าเป็นพิเศษ ส่วนภาวะเงินฝืดจะเห็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หากถดถอยก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน"
ส่วนการปล่อยสินเชื่อในปีนี้น่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณกว่า 10% หรือเป็นเม็ดเงินสินเชื่อสุทธิประมาณ 25,000 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายใหม่ของธนาคารที่คาดว่าจะมีการขยายตัวเพียง 8-9%โดยสินเชื่อที่เติบโตเป็นหลักคือ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และสินเชื่อรายย่อยโดยในสินเชื่อรายย่อยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท จากทุกปีจะปล่อยได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นนั้นยังมาจากส่วนของลูกค้าในกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ได้มีการเบิกใช้วงเงินกู้มากขึ้น เนื่อจากทางเอสโซ่ได้มาทำการปรับโครงสร้างหนี้และหันมาเงินกู้ภายในประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารมีการอนุมัติสินเชื่อใหม่ไปทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท โดยมีการเบิกใช้ไปแล้วประมาณ 40%
"สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เติบโตนั้นนั้น 10%เป็นสินเชื่อต่อยอดจากการปล่อยสินเชื่อโครงการ ซึ่งเป็นตัวที่มีปัญหาน้อยมาก และต้นทุนต่ำ โดยสินเชื่อโครงการที่ธนาคารปล่อยทุกปีนั้นเป็นสินเชื่อใหม่ประมาณ 27,000-28,000 ล้านบาท และเราไม่ได้ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่จะซื้อบ้านกับเขา ส่วนปีหน้าเราจะบุกเรื่องไหนก็ขอตั้งหลักและปรับตัวนิดหน่อย เพราะหากดูจากจีดีพีเราคงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ ส่วนสินเชื่อของทั้งระบบธนาคารนั้นน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4-5% "
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารในปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 6% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบัน จากเดิมตั้งเป้าหมายสิ้นปีจะให้อยู่ที่ 5% แต่มีหนี้ในกลุ่มน้ำตาลที่แผนการฟื้นฟูยังไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหนี้บางราย ซึ่งหากเราแก้หนี้ดังกล่าวได้จะทำให้เอ็นพีแอลลดลงมาประมาณ 1.2% ส่วนปีหน้าตั้งเป้าจะลดเอ็นพีแอลให้อยู่ที่ 5% ซึ่งการแก้หนี้น้ำตาลก็เชื่อว่าจะทำได้ในปีหน้า หากแก้ได้แล้วจะทำให้เอ็นพีแอลลดลงมาอยู่ที่ 5.5% ส่วนการขายเอ็นพีแอลในปีหน้าคงไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตามจากแผนที่ธนาคารต้องการจะเพิ่มเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS)ขึ้น ซึ่งขั้นตอนอยู่ระหว่างการสรรหาที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) แต่จากการปิดสนามบินที่ผ่านมาทำให้เกิดการล่าช้า ซึ่งน่าจะประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ในส่วนของเม็ดเงินที่จะเข้ามานั้นขะยังคงเป็นไปตามแผนเดิมคือประมาณช่วงกลางปีหน้า โดยการเพิ่มเงินกองทุนครั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวในอนาคตรวมถึงการแข่งขั้น อีกทั้งเพื่อเป็นการรับมือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ หลังจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในปีนี้ ปัจจุบันเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ที่กว่า 12% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 กว่า 11% และเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 ประมาณ 1.1% และหากมีการปรับมาใช้เกณฑ์บาเซิล2 แล้วอยากเห็นเงินกองทุนดังกล่าวอยู่ที่ 12-13%
ล่าสุดธนาคารได้มีแผนในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของธนาคารและบริษัทในเครือในปี 2552 โดยเน้นความทันสมัย มีเอกลักษณ์ ธนาคารได้มีการเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานใหม่ทั้งชายหญิงที่เน้นความทันสมัยและความคล่องตัวในการทำงาน นอกจากนี้ยังได้มีการปรับรูปแบบสาขา โดยธนาคารได้คัดเลือกสาขาต้นแบบทั้งหมด 26 สาขา จากเขตนครหลวงและเขตภูมิภาค เพื่อทำการปรับปรุงตามโครงการปรับภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งสาขาที่จะเริ่มดำเนินการก่อน ได้แก่ สาขาชาญอิสสระ (พระราม 4) และสาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติโดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนมีนาคม 2552
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการทบทวนการขยายตัวของสินเชื่อใหม่ จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 6-8% บนพื้นฐานเศรษฐกิจ (จีดีพี) มีการขยายตัวที่ 3-3.8% แต่ในปัจจุบันเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจน ทำให้เป้าหมายของการปล่อยสินเชื่อในปีหน้าน่าจะต้องปรับลดลง ซึ่งทางฝ่ายวิจัยธนาคารนครหลวงไทยคาดการณ์ว่าจีดีพีปีหน้าจะขยายตัวอยู่ที่ 1 %
ทั้งนี้การปล่อยสินเชื่อในปีหน้านั้นช่วงครึ่งปีแรกธนาคารจะเน้นการขยายสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยธนาคารจะเน้นดูแลลูกค้าเก่าเป็นหลัก และคาดว่าสินเชื่อจะเริ่มมีการเติบโตอย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งปีหลัง และการขยายตัวในปีหน้าส่วนหนึ่งจะมาจากการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อที่ได้อนุมัติในปีนี้ด้วย
"ปีหน้าคงเป็นปีที่ยากมากปีหนึ่ง เป็นปีที่ต้องเรียกความเชื่อมั่น ส่วนภาครัฐบาลจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร ทางภาคเอกชนไม่ได้รอ เพราะธุรกิจจะต้องเดินหน้าแม้จะชะลอบ้างแต่ไม่ได้หยุด ส่วนแผนรับมือของแบงก์คือจะเน้นดูแลลูกค้าเก่าเป็นพิเศษ ส่วนภาวะเงินฝืดจะเห็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หากถดถอยก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน"
ส่วนการปล่อยสินเชื่อในปีนี้น่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณกว่า 10% หรือเป็นเม็ดเงินสินเชื่อสุทธิประมาณ 25,000 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายใหม่ของธนาคารที่คาดว่าจะมีการขยายตัวเพียง 8-9%โดยสินเชื่อที่เติบโตเป็นหลักคือ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และสินเชื่อรายย่อยโดยในสินเชื่อรายย่อยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท จากทุกปีจะปล่อยได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นนั้นยังมาจากส่วนของลูกค้าในกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ได้มีการเบิกใช้วงเงินกู้มากขึ้น เนื่อจากทางเอสโซ่ได้มาทำการปรับโครงสร้างหนี้และหันมาเงินกู้ภายในประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารมีการอนุมัติสินเชื่อใหม่ไปทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท โดยมีการเบิกใช้ไปแล้วประมาณ 40%
"สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เติบโตนั้นนั้น 10%เป็นสินเชื่อต่อยอดจากการปล่อยสินเชื่อโครงการ ซึ่งเป็นตัวที่มีปัญหาน้อยมาก และต้นทุนต่ำ โดยสินเชื่อโครงการที่ธนาคารปล่อยทุกปีนั้นเป็นสินเชื่อใหม่ประมาณ 27,000-28,000 ล้านบาท และเราไม่ได้ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่จะซื้อบ้านกับเขา ส่วนปีหน้าเราจะบุกเรื่องไหนก็ขอตั้งหลักและปรับตัวนิดหน่อย เพราะหากดูจากจีดีพีเราคงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ ส่วนสินเชื่อของทั้งระบบธนาคารนั้นน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4-5% "
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารในปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 6% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบัน จากเดิมตั้งเป้าหมายสิ้นปีจะให้อยู่ที่ 5% แต่มีหนี้ในกลุ่มน้ำตาลที่แผนการฟื้นฟูยังไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหนี้บางราย ซึ่งหากเราแก้หนี้ดังกล่าวได้จะทำให้เอ็นพีแอลลดลงมาประมาณ 1.2% ส่วนปีหน้าตั้งเป้าจะลดเอ็นพีแอลให้อยู่ที่ 5% ซึ่งการแก้หนี้น้ำตาลก็เชื่อว่าจะทำได้ในปีหน้า หากแก้ได้แล้วจะทำให้เอ็นพีแอลลดลงมาอยู่ที่ 5.5% ส่วนการขายเอ็นพีแอลในปีหน้าคงไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตามจากแผนที่ธนาคารต้องการจะเพิ่มเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS)ขึ้น ซึ่งขั้นตอนอยู่ระหว่างการสรรหาที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) แต่จากการปิดสนามบินที่ผ่านมาทำให้เกิดการล่าช้า ซึ่งน่าจะประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ในส่วนของเม็ดเงินที่จะเข้ามานั้นขะยังคงเป็นไปตามแผนเดิมคือประมาณช่วงกลางปีหน้า โดยการเพิ่มเงินกองทุนครั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวในอนาคตรวมถึงการแข่งขั้น อีกทั้งเพื่อเป็นการรับมือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ หลังจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในปีนี้ ปัจจุบันเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ที่กว่า 12% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 กว่า 11% และเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 ประมาณ 1.1% และหากมีการปรับมาใช้เกณฑ์บาเซิล2 แล้วอยากเห็นเงินกองทุนดังกล่าวอยู่ที่ 12-13%
ล่าสุดธนาคารได้มีแผนในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของธนาคารและบริษัทในเครือในปี 2552 โดยเน้นความทันสมัย มีเอกลักษณ์ ธนาคารได้มีการเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานใหม่ทั้งชายหญิงที่เน้นความทันสมัยและความคล่องตัวในการทำงาน นอกจากนี้ยังได้มีการปรับรูปแบบสาขา โดยธนาคารได้คัดเลือกสาขาต้นแบบทั้งหมด 26 สาขา จากเขตนครหลวงและเขตภูมิภาค เพื่อทำการปรับปรุงตามโครงการปรับภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งสาขาที่จะเริ่มดำเนินการก่อน ได้แก่ สาขาชาญอิสสระ (พระราม 4) และสาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติโดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนมีนาคม 2552