xs
xsm
sm
md
lg

ปรับเป้าจีดีพีปี52เหลือ3-4% สศช.ชี้วิกฤตมาเร็วเกิน-ค้านลดภาษี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สภาพัฒน์ปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้จีดีพีขยายตัวไม่เกิน 4.5% จากเดิมคาด 5.2-5.7% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 3-4% ภายใต้สมติฐานเศรษฐกิจโลกเติบโต 2.0-2.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 55-65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ยันเลวร้ายสุดว่างงานปีหน้าไม่เกิน 1 ล้านคน เผยจีดีพีไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตเพียง 4.0% ชี้ปัจจัยเสี่ยงมาจากเศรษฐกิจโลก การเมืองไทยและความเชื่อมั่นทรุด ค้านลดภาษีซ้ำเติมจัดเก็บรายได้

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) โดยนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการฯ แถลงปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ปี 2551 เหลือเติบโตแค่ 4.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 5.2-5.7% และในปี 52 จีดีพีน่าจะเติบโตได้ 3-4% หลังจากที่ได้แถลงจีดีพีไตรมาส 3/51 เติบโตเพียง 4.0% ต่ำกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ ข้อสมมติฐานประมาณการเศรษฐกิจของปี 52 อยู่ภายใต้สมติฐานเศรษฐกิจโลกเติบโต 2.0-2.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 55-65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ในระดับ 35-36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

เศรษฐกิจในปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจการเงินโลกชะลอตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น และทำให้การส่งออกชะลอตัวมาก ในขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศยังขยายตัวต่ำ ดังนั้น การบริหารเศรษฐกิจจึงต้องเน้นการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศนำ โดยใช้งบประมาณรายจ่ายรัฐบาลและการดำเนินโครงการภาครัฐ และดำเนินมาตรการเพื่อดูแลผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ได้แก่ การดูแลแรงงานผู้ถูกเลิกจ้างงาน ให้มีสวัสดิการรองรับที่เหมาะสมและได้รับการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะและจัดหางานใหม่ การดูแลสาขาการผลิตและบริการที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น และวางกลไกช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเผชิญราคาผลผลิตลดลงให้สามารถวางแผนการผลิต และได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมทั้งการดูแลด้านสภาพคล่องให้มีเพียงพอ

"ปัจจัยภายนอกเราควบคุมลำบาก การดำเนินนโยบายปีหน้า ต้องอาศัยการพยุงตัวและระบบเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก ผมตัดสินใจให้ปรับลดจีดีพีปีนี้ เพราะเห็นว่าเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ลงเร็วกว่าที่คาด เชื้อกระจายแรงและเร็วการปักหัวของไตรมาส 3 และ 4 มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก แต่ปีหน้าถ้าจะพยุงตวให้รอดจะมาจาก 3 ปัจจัย คือรัฐบาลต้องบริหารงานให้ได้ มีความสงบ ความเชื่อมั่นในการลงทุน ดูแลภาคชนบท ภาคเกษตร และขับเคลื่อนเมกะโปรเจกต์" นายอำพนกล่าวและว่า การว่างงานในปี 2552 คาดว่าหากจีดีพีโต 3% สถานการณ์การว่างงานที่เลวร้ายสุดก็ไม่น่าจะเกิน 1 ล้านคน เพราะยังเชื่อว่าภาคเกษตรจะสามารถรองรับการว่างงานได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งดูแลภาคการเกษตรและให้เงินถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง

สำหรับสาเหตุของการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2551 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด ประกอบกับสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศช่วงไตรมาส 3/2551 ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการมากกว่าที่คาด ขณะที่การนำเข้าเร่งตัวมากกว่าที่คาดในทุกหมวดสินค้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการคาดการณ์ว่าราคายังจะเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก ทองคำ และโลหะ ดังนั้นปริมาณการส่งออกสุทธิจึงช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้น้อยลง

ด้านการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวมากกว่าที่คาด จากผลกระทบเศรษฐกิจโลก รวมทั้งผลกระทบที่ผ่านมาทางตลาดหลักทรัพย์ ราคาสินทรัพย์และความมั่งคั่งของครัวเรือนในประเทศต่าง ๆ มีความรุนแรงและลุกลามเป็นวงกว้าง ขณะที่สถานการณ์การเมืองในประเทศที่รุนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเลื่อนการตัดสินใจขยายการลงทุนออกไป

"เศรษฐกิจชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ถึง 1 ไตรมาส ดังนั้นยิ่งหากการเมืองวุ่นวายจะยิ่งทำให้การลงทุนลดลงอย่างรวดเร็ว และจะกระทบต่อภาคการผลิต ทำให้ประชาชนลดการใช้จ่ายลง หากรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้จะยิ่งกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนและทำให้การลงทุนติดลบ กระทบการว่างงาน ทั้งนี้ธุรกิจ SME น่าเป็นห่วง เพราะธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น"

นายอำพนกล่าวถึงมูลค่าการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าคาด ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาขาดดุล จากที่เคยคาดว่าจะเกินดุล รวมทั้งมีการปรับลดการประมาณการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ตามสภาวะการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2551 ต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม

สภาพัฒน์ คาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัว อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสนับสนุนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ต่อไปในไตรมาสสุดท้ายของปี ได้แก่ การดำเนินมาตรการของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน และราคาวัถุดิบลดลง และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในช่วงไตรมาส 4/2551 คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ความไม่แน่นอนด้านการเมืองในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สถาบันการเงินจะเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ SME ดังนั้นการเตรียมสภาพคล่องผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจภาครัฐจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เลขาธิการสภาพัฒน์เห็นด้วยกับแนวคิดของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง ที่ระบุว่าการปรับลดภาษีเงินบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลอาจจะทำได้ยากขึ้น เพราะคาดว่าในงบประมาณปี 2552 รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 50,000-100,000 ล้านบาท รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่อาจจะเก็บได้น้อยลงจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก นอกจากนี้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังมีข้อกำหนดให้รัฐบาลจำเป็นต้องกันเงินสำรองเพื่อชำระหนี้เงินคงคลังในปีงบประมาณ 2551 ประมาณ 27,000 ล้านบาท จึงมองว่ารัฐบาลไม่ควรทำงบประมาณขาดดุลเกิน 400,000 ล้านบาท

"รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาวินัยการเงินการคลัง และดูแลการปรับลดภาษีอย่างเข้มงวด เพราะหากเป็นการปรับลดภาษีโดยไม่ก่อให้เกิดรายได้ สภาพัฒน์ฯ ก็ไม่สนับสนุนนโยบายดังกล่าว" นายอำพนกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น