xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยคึกรับ “ปชป”ตั้งรัฐบาลใหม่-สหรัฐฯอุ้มกลุ่มยานยนต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยคึกคัก รับพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมี “อภิสิทธิ์” นั่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ บวกกับตลาดหุ้นเอเชียทะยานถ้วนหน้า หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศมาตรการอุ้มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ ดัชนีหุ้นไทยบวกกว่า 410.58 จุด เพิ่มขึ้น 17.71 จุด มูลค่ากว่า 1.6 ล้านบาท แม้นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท เลขาฯ ก.ล.ต. เชื่อตลาดหุ้นฟื้นแน่ หลังการเมืองนิ่ง
ด้านโบรกเกอร์ สั่งจับตาการเมืองใกล้ชิด หวั่นการเมืองพลิกฉุดหุ้นร่วงระนาว

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ธ.ค.) ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากซบเซาไปเป็นเวลานาน โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปในเทศทางเดียวกันตลาดหุ้นเอเชีย ที่ได้รับปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขานรับข่าวดีที่ทางการสหรัฐฯ อนุมัติความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ รวมทั้งข่าวการเปลี่ยนขั้วการจัดตั้งรัฐบาล ให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำในการจัดตั้ง
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกเหนือดัชนีที่ 400 จุดเกือบตลอดทั้งวัน มีจุดต่ำสุดที่ระดับ 397..96 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 410.58 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 17.71 จุด หรือคิดเป็น 4.51% มูลค่าการซื้อขายรวม 16,560.87 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างหนัก คือ มียอดขายสุทธิกว่า 2,626.81 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,511.15 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 115.66 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ราคาปิดที่ 43.25 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 2 บาท หรือ 4.85% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,079.54 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 154 บาท เพิ่มขึ้น 10 บาท หรือ 6.94% มูลค่าการซื้อขาย 1,999.11 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 193 บาท เพิ่มขึ้น 10 บาท หรือ 5.46% มูลค่าการซื้อขาย 1,496.36 ล้านบาท

***ดัชนีหุ้นเอเชียทะยานถ้วนหน้า
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นเอเชีย ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าเช่นกัน จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 จุด โดยปิดที่ 15,044.87 จุด เพิ่มขึ้น 1,198.78 จุด หรือคิดเป็น 8.66%
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนีนิกเกอิปิดเหนือระดับ 8,000 จุด ที่ 8,329.05 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 411.54 จุด หรือ 5.20% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ดัชนีคอมโพสิต ปิดที่ 1,105.05 จุด เพิ่มขึ้น 76.92 จุด หรือ 7.48% และตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ดัชนีคอมโพสิต ปิดที่ 2,090.77 จุด เพิ่มขึ้น 72.12 จุด หรือ 3.57% โดยราคาปิดนับเป็นระดับที่ปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา

***เลขาฯก.ล.ต.เชื่อการเมืองนิ่งหุ้นไทยฟื้น
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2552 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย หลังจากสถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลายจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งจะทำให้มีการประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศมีอัตราการขยายตัวดีขึ้น
สำหรับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้นักลงทุนทั่วโลกที่หวั่นวิตกได้ขายหุ้นออกไปมากแล้วเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งหุ้นบางตัวลดลงถึง 45-50% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อถึงจุดที่ราคาหุ้นลดลงมาก นักลงทุนจะหยุดขาย และน่าจะกลับมาลงทุน

***หุ้นเด้งแรงรับ “ปชป.” ตั้งรัฐบาล
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคึกคักตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะก่อนปิดการซื้อขายได้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น ส่งผลให้ดัชนีดีดตัวขึ้นแรงกว่า 4.5% ซึ่งเป็นผลจากนักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ หลังจากสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลเดิมบางส่วนได้สนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง และกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีทิศทางที่ดีขึ้น
“ตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวเชิงบวกต่อการพลิกขั้วการเมือง โดยคาดหวังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น่าจะช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพที่จะเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีสูง เพราะพรรคเพื่อไทยยังคงยืนยันฐานเสียงเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องจับตาดูผลการประชุมสภาผู้แทนราษฎร”
ส่วนปัจจัยในต่างประเทศนั้น นักลงทุนต้องติดตามมาตรการความช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ แม้รัฐบาลจะอนุมัติเงินช่วยเหลือกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเรียบร้อยแล้ว แต่ยังน้อยกว่าข้อเสนอของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 3 ราย ที่ขอความช่วยเหลือมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

***หุ้นไทยมีสิทธิบวกต่อเนื่อง***
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (8 ธ.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 17 จุด ภายหลังปัญหาการเมืองภายในประเทศเริ่มคลี่คลาย และมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ภายหลังการที่กลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคพลังประชาชนเดิม ได้ย้ายไปสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทำให้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ฝั่งประชาธิปัตย์และมีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงมีแนวโน้มที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้มาดำรงตำแหน่งนกยกรัฐมนตรีคนใหม่
ขณะเดียวกัน ยังได้รับปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังประสบปัญหา และการที่ประเทศจีนประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนเป็นเวลา 2 ปี เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและช่วยเศรษฐกิจโลก
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น จากการที่ประเทศจีนประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าช่วยกลุ่มธุรกิจยานยนต์ โดยนักลงทุนควรจับตาผลการประชุมสภาผู้แทนราษฏรในเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และทิศทางสถานการณ์ในต่างประเทศ ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 407 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 420 จุด ส่วนที่น่าลงทุนในระยะสั้นจะเป็นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
***อภิสิทธิ์นั่งนายกฯหุ้นยืนเหนือ420
ขณะที่นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้คาดว่าจะยังคงเดินหน้าบวกได้ต่อเนื่อง หลังสภาคองเกรส ของสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาภาคธุรกิจยานยนต์ และรัฐบาลจีนอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีปัจจัยลบคือ แรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ โดยประเมินแนวรับที่ 398-404 จุด และแนวต้านที่ 420-430 จุด
“หากนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะทำให้ปัญหาการเมืองคลี่คลาย และอาจส่งผลให้ดัชนีดีดอยู่ที่ระดับ 420 จุด แต่ถ้าเกิดการยุบสภาหรือการเมืองกลับสู่ขั้วเดิม ปัญหาจะเข้าสู่ทางตัน อาจมีแรงเทขายทำกำไรออกมาทำให้ดัชนีร่วงลง” นางสาวจิตติมา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น