xs
xsm
sm
md
lg

จีดีพีปีหน้า0.7%จี้หยุดขัดแย้ง-เร่งตั้งรัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - "ณรงค์ชัย" มองจีดีพีปีหน้า โต 0.7% หนุนภาคการเมือง เร่งจัดตั้งรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน พร้อมลดความขัดแย้ง ระบุหากช้าไปอีก 1 เดือน ได้เห็นเศรษฐกิจติดลบแน่นอน แนะเดินหน้าใส่เงินเข้าระบบ ตามแผนงบประมาณ ทั้งกระจายเงินถึงมือชาวบ้าน พัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และลงทุนคมนาคม ด้าน "พิชิต" ย้ำ รัฐบาลเป็นขั้วการเมืองไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เกิดความขัดแย้งอีกรอบ หวังสร้างความมั่นใจต่างชาติ

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการประเมินถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้ คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะสามารถขยายตัวได้เพียง 0.7% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ลดลงจากเดิมมาก เพราะก่อนที่จะมีเหตุการปิดสนามบินคาดการณ์ไว้ว่าปีหน้าจะเติบโต 3-4% แต่อย่างไรก็ตาม หากในช่วง 1 เดือนหลังจากนี้ ยังไม่มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว หรือหากฝ่ายความมั่นคงยังปล่อยให้มีการชุมนุมเรียกร้องอะไรที่เกิดกว่ากฎหมายอีก เชื่อว่าเศรษฐกิจอาจจะต้องติดลบ
ทั้งนี้ มองว่าประเด็นที่รัฐบาลต้องทำโดยด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ มี 4 ประเด็นด้วยกัน ประการแรกคือ ต้องกระจายเงินให้ถึงมือชาวบ้านโดยเร็วที่สุด โดยอาจเป็นในรูปกองทุนต่าง ๆ ประการที่สอง โครงการด้านสังคม สาธารณสุข และการศึกษา เพื่อให้เงินถึงมือชาวบ้านอย่างเท่าเทียมกัน ประการที่สาม ดำเนินโครงการด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม และประการสุดท้าย คือดำเนินโครงการด้านคมนาคม เช่น การสร้างถนน ที่มีความจำเป็นตามที่วางไว้ในงบประมาณ ซึ่งหากมีรัฐบาลเข้ามาจัดการเรื่องนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตเกิน 1% ได้
ส่วนหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่ จะมาจากขั้วการเมืองใด ไม่ขอวิจารณ์ เพราะสิ่งสำคัญคือ ต้องเร่งมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยการเมืองในประเทศมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยมากกว่าวิกฤติการณ์การเงินโลก ส่วนใครจะจะชุมนุมเรียกร้องอะไรในช่วงนี้ ก็ขอให้ผ่านไปก่อนอีก 3-4 เดือนข้างหน้า เพราะเรื่องเศรษฐกิจสำคัญกว่า
"สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือหยุดความขัดแย้งทั้งหมดให้สงบ เพื่อให้ประชาชนได้ออกมาค้าขายหาเลี้ยงตัวเอง ขณะเดียวกัน ต้องมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศอย่างรวดเร็ว เพราะจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในโครงการที่อยู่ในแผนงบประมาณทั้งหลาย"นายณรงค์ชัย
ส่วนมาตรการ 6 มาตรการที่รัฐบาลชุดก่อนวางไว้นั้น มองว่าคงไม่จำเป็นจะต้องสานต่อ เพราะเป็นนโยบายทางด้านราคามากกว่า ซึ่งปัจจุบัน ราคาสินค้าเองก็ไม่ได้ปรับขึ้น ยังมีแนวโน้มว่าจะลดลงด้วยซ้ำ
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลงถึง 1% ในการประชุมครั้งล่าสุดนั้น นายณรงค์ชัยมองว่า ไม่น่าจะช่วยให้สภาพคล่องดีขึ้น และมองว่าในปีหน้าการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์จะมีความระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้น แม้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% ไม่น่าจะช่วยให้มีการเติบโตมากนัก จึงมองว่าธปท.ควรจะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบในตลาดการเงินเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากกว่าปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ดอกเบี้ยนโยบายน่าเป็นห่วงว่าจะมีผลต่อสภาพคล่อง แม้จะมีการปรับลดลง แต่แบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ช่วยให้สภาพคล่องดีขึ้นได้ โดยปัจจุบันจากตัวเลขสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก จะเห็นว่าใกล้ถึง 100 แล้ว ซึ่งถ้าไม่รวมตั๋ว B/E ก็เกิน 100 ดังนั้น เป็นการบอกว่าการลดดอกเบี้ยไม่น่าช่วยให้คนหันมากู้มากขึ้น และอาจจะเป็นเหมือนญี่ปุ่น ที่ลดดอกเบี้ยเท่าไหร่ก็ไม่มีผล
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ไม่ว่าขั้วการเมืองใดจะมาเป็นรัฐบาล ก็คงส่งสัญญาณในแง่บวก เพาะสิ่งสำคัญขณะนี้คือ เอกชนต้องการเห็นความสงบทางการเมือง และให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อให้มีการใช้งบประมาณ และดำเนินโครงการตามที่ประกาศไว้ โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2552 คงไม่ถึงขั้นติดลบ คาดว่า จีดีพีคงโตต่ำกว่าร้อยละ 2 โดยต้องติดตามผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกระลอกที่ 2 ซึ่งมีผลทำให้การส่งออกชะลอตัว และมีปัญหาเงินทุนไหลออก แต่เชื่อว่า การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วของสหรัฐ และอีกหลายประเทศคงจะช่วยภาวะเศรษฐกิจโลกได้
"ตอนนี้ใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่ต้องไม่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นอีก และจะต้องมีการรักษากฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด เพื่อบอกกับชาวต่างชาติได้ว่าเราเป็นประเทศที่มีกติกา นอกเหนือไปจากนั้น คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนโยบายการคลังซึ่งต้องรีบทำ รวมถึงการฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง"นายพิชิตกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น