ASTVผู้จัดการรายวัน - นายพลหน้าจอ “จงรัก” เร่งรัดดำเนินคดีพันธมิตรฯหลังลิ่วล้อ “นช.แม้ว” แจ้งความข้อหาก่อการร้าย ด้าน ผบก.ป.ให้ความเห็นแย้ง “แก๊งไข่แม้ว” อาจไม่เข้าข่าย ขณะที่ “สนธิ” แฉมีนาย ตร.ใหญ่อยู่เบื้องหลังออกแบบให้ทาสระบอบแม้ว เข้าแจ้งความ ด้านรองเลขาธิการสำนักนายกฯ นำ จนท.เข้าตรวจสอบทรัพย์สินในทำเนียบฯ พบทรัพย์สินหายหลายรายการ แต่วัตถุโบรารณล้ำค่ายังอยู่ครบ คาดเข้าทำงานได้ตามปกติ 8 ธ.ค.นี้ “สปน.” ประเมินความเสียหายทรัพย์สินทำเนียบฯ เบื้องต้น 25 ล้านบาท ด้านกลุ่มสิทธิฯสากลเรียกร้องให้สอบสวนอิสระการตาย-เจ็บระหว่างชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร
วานนี้ (4 ธ.ค.) เวลา 10.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนฑ์ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ตัวแทน บช.ภ.1 พนักงานสอบสวน บก.ภ.จ.สมุทรปราการ บช.น.และ สภ.ราชาเทวะ ร่วมประชุมเร่งรัดการดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ รวมทั้งคดีที่ นพ.เหวง โตจิราการ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และนางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ กล่าวโทษว่ายึดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ รวมทั้งหอบังคับการบิน ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้าย
หลังประชุม พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์และกล่าวโทษพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องสอบสวนไปตามกระบวนการกฎหมาย โดยจะนำคำสั่งศาลแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 6453/2551 ลงวันที่ 26 พ.ย.2551 มาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำสั่งศาลแพ่ง ได้ระบุว่า การปิดกั้นท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวท่าอากาศยานดอนเมือง ถือว่า เป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อศาลแพ่งชี้ขาดไว้เช่นนี้ พนักงานสอบสวนก็ต้องยึดถือตามคำชี้ขาดของศาลว่าการชุมนุมไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และสอบสวนตามขั้นตอน เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
“ผมได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีการด้วยความเป็นธรรมไปตามพยานหลักฐาน เมื่อได้พยานหลักฐานมาก็ต้องดูกฎหมายว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานใดบ้าง ก็ต้องดำเนินไปตามนั้น จะไม่มีการตั้งข้อหาลอยๆ โดยปราศจากพยานหลักฐานอย่างเด็ดขาด และแม้ว่าจะถูกดำเนินการแล้ว แต่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาก็สามารถนำพยานหลักฐานมาหักล้างว่าไม่เป็นความจริงได้ ตำรวจพร้อมจะให้ความเป็นธรรม”
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯถูกกล่าวโทษให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้ายนั้น พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นความผิดที่กำหนดขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2546 ซึ่งมีสาระสำคัญว่าผู้ใดกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม ซึ่งการกระทำนั้นมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ หรือบังคับรัฐบาลไทยให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วน หวาดกลัวในหมู่ประชาชนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20 ปี ซึ่งตั้งแต่มีกฎหมายนี้ยังไม่มีใครเคยถูกกล่าวโทษกระทำผิดฐานนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอเข้าองค์ประกอบความผิดฐานนี้หรือไม่ หากเพียงพอก็จะสรุปส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป
**ผบก.ป.เห็นแย้งอาจไม่ผิดก่อการร้าย
พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี นพ.เหวง, นพ.สันต์ และนางประทีป แจ้งจับแกนนำพันธมิตรฯทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 รวม 12 คนในความผิดฐานก่อการร้ายว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้รายงานให้ตนทราบแล้ว และก็ได้สั่งการให้ดำเนินการทันที ตามขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติของกองปราบปราม คดีนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น ก็จำต้องมีการพิจารณากันหลายด้าน นอกจากนี้ ยังทราบว่า มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ดอนเมือง และ สภ.ราชาเทวะ จ.สุมทราปราการ อีกด้วย จึงคาดว่า ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูง คงมีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาเป็นรูปคณะกรรมการพิจารณากันต่อไป
“ส่วนตัวแล้วสำหรับคดีนี้ ผมในฐานะพนักงานสอบสวน คงให้ความเห็นอะไรไม่ได้ เพราะอาจทำให้ไปมีส่วนต่อความคิดเห็นของคณะกรรมการได้” ผบก.ป.กล่าว
พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ อธิบายคำว่าการก่อการร้ายด้วยว่า ตามหลักสากล หรือว่าตามหลักวิชาการ คำว่า การก่อการร้าย ก็คือ “การกระทำของคนกลุ่มใดๆ ที่จะทำให้เกิดความหวาดกลัว เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม เช่น หากเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา ก็อาจเป็นเรื่องการฆ่าคนตายแล้วนำศพไปทิ้งหรือฝัง เพื่ออำพรางคดี ส่วนการก่อการร้ายก็จะใช้วิธีการฆ่าแล้วตัดคอนำไปทิ้งไว้ในกลางตลาด ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วไป แต่พฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯที่พาผู้ชุมนุมบุกยึดสนามบินนั้น ตนคงไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องนี้ได้
แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวน บก.ป.กล่าวว่า หากดูตามตัวบทกฎหมายแล้ว พบว่าการกระทำดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรฯนั้น น่าจะเข้าข่ายความผิดมาตราดังกล่าวจริง แต่ทั้งนี้ ศาลต้องดูที่เจตนา เพราะกลุ่มพันธมิตรฯไม่ได้ทำลายทรัพย์สินของทางสนามบินแต่อย่างใด และยังไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มแกนนำสั่งการให้ยึดสนามบินอีกด้วย
“การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นการชุมนุมที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิเสรีภาพไว้ ซึ่งมีตัวอย่างคำพิพากษายกฟ้องพันธมิตรฯบุกทำเนียบ เมื่อปี 2549 แล้ว และที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว คดีสำนักงานเลขาธิการนายกฯ ฟ้องพันธมิตรฯให้ออกจากทำเนียบ อย่างไรก็ตาม ต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งภาพถ่ายและสอบสวนผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะดำเนินการตามกฎหมายว่ากันไปตามหลักฐานที่ปรากฏ”
**สนธิแฉบิ๊ก ตร.ออกแบบให้ลิ่วล้อแม้ว
เวลา 21.10 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯได้กล่าวในรายการพันธมิตรฯ พบพี่น้องผ่านจอ ASTV ที่ดำเนินรายการโดย แอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์และแอน-จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ โดยนายสนธิ เปิดโป่งถึงผู้ที่ออกแบบให้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพันธมิตรฯในข้อหาก่อการร้ายว่า คนกลุ่มนี้ก็คือ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น., พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมโน รอง ผบช.น., พล.ต.อ.จงรักษ์ จุฑานนฑ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ฉลอง สุดใจ ผบช.ภาค 1
โดยนายตำรวจเหล่านี้เป็นผู้ออกแบบให้ นพ.เหวง, นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และนางประทีป เข้าไปแจ้งความ ซึ่งเรื่องนี้ พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.ที่เป็นข้าราชการตำรวจเหมือนกันก็ยังมีความเห็นแย้งอย่างชัดเจนว่า คดีที่คนเหล่านี้แจ้งความกับพันธมิตรฯนั้นอาจไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย
“นี่คือความจริง และตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะรู้แล้วว่าใครที่เป็นคนยิง M 79 ถล่มพันธมิตรฯ ผู้รักชาติจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ตำรวจรู้เห็นทั้งหมด แต่ไม่มีการเข้าไปดำเนินการ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.จงรัก กลับไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่” นายสนธิ กล่าว
ขณะที่นายสมเกียรติ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ที่พันธมิตรฯได้ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทรราช ทำให้ขณะนี้ประชาชนมีการตื่นตัวกันมากขึ้น และได้มีการออกแบบในการเคลื่อนไหวกันเองอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในอนาคตตนเชื่อว่าสังคมไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ขณะนี้ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพันธมิตรฯในข้อหาก่อการร้าย แต่ต่อไปในอนาคตเมื่อประชาชนหูตาสว่างมากขึ้นคนที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายก็คือรัฐตำรวจที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายและระบอบทักษิณก็จะกลายเป็นผู้ก่อการร้าย แล้วพวกเราที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายก็จะเป็นผู้ก่อการดี
**จนท.ตรวจสอบทรัพย์สินในทำเนียบฯ
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาลภายหลังจากที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ได้คืนทำเนียบฯเป็นที่เรียบร้อยทางเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หรืออีโอดี จากกรมสรรพวุธทหารบก ทหารอากาศและหน่วยกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยภายในบริเวณทั่วพื้นที่ทำเนียบฯ ทุกอาคารตั้งแต่ช่วงเช้า
ขณะเดียวกันทางข้าราชการประจำทำเนียบฯ ได้เข้ามาตรวจเช็คทรัพย์สินในแต่ละห้องเบื้องต้นพบมีทรัพย์สินทั้งของทางราชการ และของส่วนตัวหายไปหลายรายการ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ พระเครื่อง และทรัพย์สินอื่นๆ โดยทรัพย์สินที่หายส่วนใหญ่อยู่ในตึกบัญชาการ 1 และ 2 ส่วนตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี ตึนารีสโมสรเรียบร้อยดี ไม่มีทรัพย์สินเสียหาย วัตถุโบรารณล้ำค่ายังอยู่ครบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้ทยอยกันเข้ามาทำข่าวที่ห้องผู้สื่อข่าว หรือรังใหม่ที่อยู่ภายในทำเนียบฯนั้น ได้สังเกตพบมีวัตถุต้องสงสัยตกอยู่บริเวณหน้าห้อง จึงแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ามาตรวจสอบ พบเป็นระเบิดปิงปอง 2 ลูก นอกจากนี้ ยังพบระเบิดขวดเอ็ม 150 สี่ขวดสภาพพร้อมใช้และดินดำอานุภาพแรงอัด 10 เมตรบรรจุอยู่ในถุงดำ ที่หลังตึกบัญชาการและพบปะทัดยักษ์ขนาดลูกเบสบอลอีก 1 ลูก นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เก็บอาวุธได้อีกหลายชนิด
**คาด จนท.เข้าทำงานได้ 8 ธ.ค.นี้
นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภายหลังนำเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบฯ พร้อมทั้งนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้าตรวจความเสียหายในตึกบัญชาการ 1 และ 2 รวมทั้งตึกสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า วานนี้ เจ้าหน้าที่ประจำของแต่ละตึก ได้สำรวจและบันทึกความเสียหาย รวมถึงสิ่งของที่สูญหายเพื่อนำไปสรุปประเมินมูลค่าความเสียหายภายหลัง โดยคาดว่าในวันจันทร์หน้า (8 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าไปทำงานได้ตามปกติ แต่ในส่วนของการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือน
ด้านนายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการสำรวจทรัพย์สินของส่วนราชการในทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการสำรวจทรัพย์สินของส่วนราชการในทำเนียบฯ ได้หารือถึงแนวทางสำรวจและประเมินความเสียหายของทรัพย์สินในส่วนราชการ โดยการประเมินความเสียหายในเบื้องต้นในส่วนของภูมิทัศน์และระบบท่อน้ำประปา อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านบาท รวมถึงส่วนความเสียหายในด้านอื่นๆ ยังไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลตรวจวัตถุระเบิดเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทั้งหมด ส่วนการดำเนินการทางกฎหมายนั้นจะดำเนินการตามความเสียหายของแต่ละหน่วยงานที่ได้รับและหากบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเสียหาย สามารถแจ้งความดำเนินคดีต่อพันธมิตรฯ ได้
**สิทธิฯสากลจี้สอบ พธม.ตาย-เจ็บ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า "ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์" และ "องค์การนิรโทษกรรมสากล" ได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวานนี้(4) ให้ยุติความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 7 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคนในระหว่างที่มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลนานหลายเดือน
องค์การรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชื่อดังทั้งสองยังระบุในแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้มีการสืบสวนอย่างเป็นอิสระ เกี่ยวกับกรณีเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอีกด้วย
"ในขณะที่เราขอแสดงความยินดีกับการยุติการชุมนุมและยุติเหตุรุนแรงที่เกี่ยวเนื่อง แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นมาอีกหากมีกลุ่มการเมืองออกมาประท้วงรัฐบาลชุดใหม่" แบรด แอดัมส์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย ของฮิวแมน ไรต์ส์ วอตช์ กล่าว
"ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่ผู้นำการชุมนุมและรัฐบาลจะให้คำมั่นต่อสาธารณชนว่าจะชุมนุมประท้วงกันอย่างสันติและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะปฏิบัติการอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาของการแสดงความรับผิดต่อสิ่งที่กระทำไปด้วย"
วานนี้ (4 ธ.ค.) เวลา 10.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนฑ์ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ตัวแทน บช.ภ.1 พนักงานสอบสวน บก.ภ.จ.สมุทรปราการ บช.น.และ สภ.ราชาเทวะ ร่วมประชุมเร่งรัดการดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ รวมทั้งคดีที่ นพ.เหวง โตจิราการ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และนางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ กล่าวโทษว่ายึดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ รวมทั้งหอบังคับการบิน ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้าย
หลังประชุม พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์และกล่าวโทษพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องสอบสวนไปตามกระบวนการกฎหมาย โดยจะนำคำสั่งศาลแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 6453/2551 ลงวันที่ 26 พ.ย.2551 มาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำสั่งศาลแพ่ง ได้ระบุว่า การปิดกั้นท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวท่าอากาศยานดอนเมือง ถือว่า เป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อศาลแพ่งชี้ขาดไว้เช่นนี้ พนักงานสอบสวนก็ต้องยึดถือตามคำชี้ขาดของศาลว่าการชุมนุมไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และสอบสวนตามขั้นตอน เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
“ผมได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีการด้วยความเป็นธรรมไปตามพยานหลักฐาน เมื่อได้พยานหลักฐานมาก็ต้องดูกฎหมายว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานใดบ้าง ก็ต้องดำเนินไปตามนั้น จะไม่มีการตั้งข้อหาลอยๆ โดยปราศจากพยานหลักฐานอย่างเด็ดขาด และแม้ว่าจะถูกดำเนินการแล้ว แต่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาก็สามารถนำพยานหลักฐานมาหักล้างว่าไม่เป็นความจริงได้ ตำรวจพร้อมจะให้ความเป็นธรรม”
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯถูกกล่าวโทษให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้ายนั้น พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นความผิดที่กำหนดขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2546 ซึ่งมีสาระสำคัญว่าผู้ใดกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม ซึ่งการกระทำนั้นมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ หรือบังคับรัฐบาลไทยให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วน หวาดกลัวในหมู่ประชาชนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20 ปี ซึ่งตั้งแต่มีกฎหมายนี้ยังไม่มีใครเคยถูกกล่าวโทษกระทำผิดฐานนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอเข้าองค์ประกอบความผิดฐานนี้หรือไม่ หากเพียงพอก็จะสรุปส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป
**ผบก.ป.เห็นแย้งอาจไม่ผิดก่อการร้าย
พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี นพ.เหวง, นพ.สันต์ และนางประทีป แจ้งจับแกนนำพันธมิตรฯทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 รวม 12 คนในความผิดฐานก่อการร้ายว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้รายงานให้ตนทราบแล้ว และก็ได้สั่งการให้ดำเนินการทันที ตามขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติของกองปราบปราม คดีนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น ก็จำต้องมีการพิจารณากันหลายด้าน นอกจากนี้ ยังทราบว่า มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ดอนเมือง และ สภ.ราชาเทวะ จ.สุมทราปราการ อีกด้วย จึงคาดว่า ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูง คงมีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาเป็นรูปคณะกรรมการพิจารณากันต่อไป
“ส่วนตัวแล้วสำหรับคดีนี้ ผมในฐานะพนักงานสอบสวน คงให้ความเห็นอะไรไม่ได้ เพราะอาจทำให้ไปมีส่วนต่อความคิดเห็นของคณะกรรมการได้” ผบก.ป.กล่าว
พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ อธิบายคำว่าการก่อการร้ายด้วยว่า ตามหลักสากล หรือว่าตามหลักวิชาการ คำว่า การก่อการร้าย ก็คือ “การกระทำของคนกลุ่มใดๆ ที่จะทำให้เกิดความหวาดกลัว เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม เช่น หากเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา ก็อาจเป็นเรื่องการฆ่าคนตายแล้วนำศพไปทิ้งหรือฝัง เพื่ออำพรางคดี ส่วนการก่อการร้ายก็จะใช้วิธีการฆ่าแล้วตัดคอนำไปทิ้งไว้ในกลางตลาด ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วไป แต่พฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯที่พาผู้ชุมนุมบุกยึดสนามบินนั้น ตนคงไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องนี้ได้
แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวน บก.ป.กล่าวว่า หากดูตามตัวบทกฎหมายแล้ว พบว่าการกระทำดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรฯนั้น น่าจะเข้าข่ายความผิดมาตราดังกล่าวจริง แต่ทั้งนี้ ศาลต้องดูที่เจตนา เพราะกลุ่มพันธมิตรฯไม่ได้ทำลายทรัพย์สินของทางสนามบินแต่อย่างใด และยังไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มแกนนำสั่งการให้ยึดสนามบินอีกด้วย
“การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นการชุมนุมที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิเสรีภาพไว้ ซึ่งมีตัวอย่างคำพิพากษายกฟ้องพันธมิตรฯบุกทำเนียบ เมื่อปี 2549 แล้ว และที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว คดีสำนักงานเลขาธิการนายกฯ ฟ้องพันธมิตรฯให้ออกจากทำเนียบ อย่างไรก็ตาม ต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งภาพถ่ายและสอบสวนผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะดำเนินการตามกฎหมายว่ากันไปตามหลักฐานที่ปรากฏ”
**สนธิแฉบิ๊ก ตร.ออกแบบให้ลิ่วล้อแม้ว
เวลา 21.10 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ์ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯได้กล่าวในรายการพันธมิตรฯ พบพี่น้องผ่านจอ ASTV ที่ดำเนินรายการโดย แอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์และแอน-จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ โดยนายสนธิ เปิดโป่งถึงผู้ที่ออกแบบให้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพันธมิตรฯในข้อหาก่อการร้ายว่า คนกลุ่มนี้ก็คือ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น., พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมโน รอง ผบช.น., พล.ต.อ.จงรักษ์ จุฑานนฑ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ฉลอง สุดใจ ผบช.ภาค 1
โดยนายตำรวจเหล่านี้เป็นผู้ออกแบบให้ นพ.เหวง, นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และนางประทีป เข้าไปแจ้งความ ซึ่งเรื่องนี้ พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.ที่เป็นข้าราชการตำรวจเหมือนกันก็ยังมีความเห็นแย้งอย่างชัดเจนว่า คดีที่คนเหล่านี้แจ้งความกับพันธมิตรฯนั้นอาจไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย
“นี่คือความจริง และตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะรู้แล้วว่าใครที่เป็นคนยิง M 79 ถล่มพันธมิตรฯ ผู้รักชาติจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ตำรวจรู้เห็นทั้งหมด แต่ไม่มีการเข้าไปดำเนินการ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.จงรัก กลับไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่” นายสนธิ กล่าว
ขณะที่นายสมเกียรติ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ที่พันธมิตรฯได้ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทรราช ทำให้ขณะนี้ประชาชนมีการตื่นตัวกันมากขึ้น และได้มีการออกแบบในการเคลื่อนไหวกันเองอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในอนาคตตนเชื่อว่าสังคมไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ขณะนี้ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพันธมิตรฯในข้อหาก่อการร้าย แต่ต่อไปในอนาคตเมื่อประชาชนหูตาสว่างมากขึ้นคนที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายก็คือรัฐตำรวจที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายและระบอบทักษิณก็จะกลายเป็นผู้ก่อการร้าย แล้วพวกเราที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายก็จะเป็นผู้ก่อการดี
**จนท.ตรวจสอบทรัพย์สินในทำเนียบฯ
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาลภายหลังจากที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ได้คืนทำเนียบฯเป็นที่เรียบร้อยทางเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หรืออีโอดี จากกรมสรรพวุธทหารบก ทหารอากาศและหน่วยกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยภายในบริเวณทั่วพื้นที่ทำเนียบฯ ทุกอาคารตั้งแต่ช่วงเช้า
ขณะเดียวกันทางข้าราชการประจำทำเนียบฯ ได้เข้ามาตรวจเช็คทรัพย์สินในแต่ละห้องเบื้องต้นพบมีทรัพย์สินทั้งของทางราชการ และของส่วนตัวหายไปหลายรายการ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ พระเครื่อง และทรัพย์สินอื่นๆ โดยทรัพย์สินที่หายส่วนใหญ่อยู่ในตึกบัญชาการ 1 และ 2 ส่วนตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี ตึนารีสโมสรเรียบร้อยดี ไม่มีทรัพย์สินเสียหาย วัตถุโบรารณล้ำค่ายังอยู่ครบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวหลายสำนักได้ทยอยกันเข้ามาทำข่าวที่ห้องผู้สื่อข่าว หรือรังใหม่ที่อยู่ภายในทำเนียบฯนั้น ได้สังเกตพบมีวัตถุต้องสงสัยตกอยู่บริเวณหน้าห้อง จึงแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ามาตรวจสอบ พบเป็นระเบิดปิงปอง 2 ลูก นอกจากนี้ ยังพบระเบิดขวดเอ็ม 150 สี่ขวดสภาพพร้อมใช้และดินดำอานุภาพแรงอัด 10 เมตรบรรจุอยู่ในถุงดำ ที่หลังตึกบัญชาการและพบปะทัดยักษ์ขนาดลูกเบสบอลอีก 1 ลูก นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เก็บอาวุธได้อีกหลายชนิด
**คาด จนท.เข้าทำงานได้ 8 ธ.ค.นี้
นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภายหลังนำเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบฯ พร้อมทั้งนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้าตรวจความเสียหายในตึกบัญชาการ 1 และ 2 รวมทั้งตึกสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า วานนี้ เจ้าหน้าที่ประจำของแต่ละตึก ได้สำรวจและบันทึกความเสียหาย รวมถึงสิ่งของที่สูญหายเพื่อนำไปสรุปประเมินมูลค่าความเสียหายภายหลัง โดยคาดว่าในวันจันทร์หน้า (8 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าไปทำงานได้ตามปกติ แต่ในส่วนของการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือน
ด้านนายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการสำรวจทรัพย์สินของส่วนราชการในทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการสำรวจทรัพย์สินของส่วนราชการในทำเนียบฯ ได้หารือถึงแนวทางสำรวจและประเมินความเสียหายของทรัพย์สินในส่วนราชการ โดยการประเมินความเสียหายในเบื้องต้นในส่วนของภูมิทัศน์และระบบท่อน้ำประปา อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านบาท รวมถึงส่วนความเสียหายในด้านอื่นๆ ยังไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลตรวจวัตถุระเบิดเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทั้งหมด ส่วนการดำเนินการทางกฎหมายนั้นจะดำเนินการตามความเสียหายของแต่ละหน่วยงานที่ได้รับและหากบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเสียหาย สามารถแจ้งความดำเนินคดีต่อพันธมิตรฯ ได้
**สิทธิฯสากลจี้สอบ พธม.ตาย-เจ็บ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า "ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์" และ "องค์การนิรโทษกรรมสากล" ได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวานนี้(4) ให้ยุติความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 7 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคนในระหว่างที่มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลนานหลายเดือน
องค์การรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชื่อดังทั้งสองยังระบุในแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้มีการสืบสวนอย่างเป็นอิสระ เกี่ยวกับกรณีเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอีกด้วย
"ในขณะที่เราขอแสดงความยินดีกับการยุติการชุมนุมและยุติเหตุรุนแรงที่เกี่ยวเนื่อง แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นมาอีกหากมีกลุ่มการเมืองออกมาประท้วงรัฐบาลชุดใหม่" แบรด แอดัมส์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย ของฮิวแมน ไรต์ส์ วอตช์ กล่าว
"ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่ผู้นำการชุมนุมและรัฐบาลจะให้คำมั่นต่อสาธารณชนว่าจะชุมนุมประท้วงกันอย่างสันติและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะปฏิบัติการอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาของการแสดงความรับผิดต่อสิ่งที่กระทำไปด้วย"