นายพลหน้าจอ “จงรัก จุฑานนท์” ประชุมเร่งรัดดำเนินคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังถูกแจ้งความฐานก่อการร้าย ระบุ จะให้ความเป็นธรรม และแจ้งข้อหาตามพยานหลักฐาน
วันนี้ (4 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนฑ์ รอง ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ตัวแทน บช.ภ.1 พนักงานสอบสวน บก.ภ.จ.สมุทรปราการ บช.น.และ สภ.ราชาเทวะ ร่วมประชุมเร่งรัดการดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลัง นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ รวมทั้งคดีที่ นพ.เหวง โตจิราการ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และ นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ กล่าวโทษว่ายึดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ รวมทั้งหอบังคับการบิน ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้าย
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์และกล่าวโทษพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องสอบสวนไปตามกระบวนการกฎหมาย โดยจะนำคำสั่งศาลแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 6453/2551 ลงวันที่ 26 พ.ย.2551 มาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำสั่งศาลแพ่ง ได้ระบุว่า การปิดกั้นท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวท่าอากาศยานดอนเมือง ถือว่า เป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง ซึ่งเมื่อศาลแพ่งชี้ขาดไว้เช่นนี้ พนักงานสอบสวนก็ต้องยึดถือตามคำชี้ขาดของศาลว่าการชุมนุมไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และสอบสวนตามขั้นตอน เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตนได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีการด้วยความเป็นธรรมไปตามพยานหลักฐาน เมื่อได้พยานหลักฐานมาก็ต้องดูกฎหมายว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานใดบ้าง ก็ต้องดำเนินไปตามนั้น จะไม่มีการตั้งข้อหาลอยๆ โดยปราศจากพยานหลักฐานอย่างเด็ดขาด และแม้ว่าจะถูกดำเนินการแล้ว แต่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาก็สามารถนำพยานหลักฐานมาหักล้างว่าไม่เป็นความจริงได้ ตำรวจพร้อมจะให้ความเป็นธรรม
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯถูกกล่าวโทษให้ดำเนินคดีในความผิดฐานก่อการร้าย พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า ความผิดฐานก่อการร้ายเป็นความผิดที่กำหนดขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2546 ซึ่งมีสาระสำคัญว่าผู้ใดกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม ซึ่งการกระทำนั้นมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ หรือบังคับรัฐบาลไทยให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด อันก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วน หวาดกลัวในหมู่ประชาชนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20 ปี ซึ่งตั้งแต่มีกฎหมายนี้ยังไม่มีใครเคยถูกกล่าวโทษกระทำผิดฐานนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอเข้าองค์ประกอบความผิดฐานนี้หรือไม่ หากเพียงพอก็จะสรุปส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป