“รู้ทันประเทศไทย”ถกประเด็นรัฐตำรวจตั้งข้อหาก่อการร้ายจงใจกลั่นแกล้งพันธมิตรฯ อดีต อตร.ระบุเป็นการใส่ร้ายด้วยข้อหาเลื่อนลอย มุ่งข่มขู่ให้กลัว และทำงานแบบลวกๆ ด้านทนายกู้ชาติ ยันมีหลักฐานใครกันแน่ปิดสนามบินสร้างความเสียหาย พร้อมฟ้องกลับ ตร.-หมอเหวง ให้หน้าแตกกลับไป ระบุมาตรา 135 ระบุชัดการชุมนุมไม่เข้าข่ายก่อการร้าย 66 แม่ยกไม่เข้าข่ายความผิด
รายการ"รู้ทันประเทศไทย" ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันที่ 17 ธันวาคม 2551 เวลา 18.30 -20.00 น. ดำเนินรายการโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นวิทยากรรับเชิญ ร่วมให้ความเห็นต่อคำปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประทิน เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ ต้องการจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง และเชื่อว่าจะเอาจริงกับรัฐมนตรีที่ทุจริตคอร์รัปชั่นโดนไม่เห็นแก่ความอยู่รอดของรัฐบาล ขณะที่นายสุวัตรมองว่า การที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าจะใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ซึ่งถ้าทำได้ตามที่พูดก็อยากให้อยู่ครบเทอม เพราะรอคำพูดแบบนี้มานาน
นายสุวัตรกล่าวว่า รัฐบาลที่แล้วใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นกฎหมาย คดีความที่เกิดกับคนในฝั่งตัวเองก็ลากคดีให้ยืดเยื้อออกไป แต่ของฝั่งตรงข้ามกลับเร่งคดี เพราะฉะนั้นถ้านายกฯ คนใหม่บอกว่าจะใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่ายจึงเป็นเรื่องที่ดี นายอภิสิทธิ์พูดได้ดี ถือเป็นความหวังได้ ถ้าทำในสิ่งที่พูดวันนี้ได้ จะเป็นสิ่งน่าชื่นชม เพราะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันนั้น เราไม่ได้สิ่งเหล่านี้มานานแล้ว
นายสุวัตรกล่าวอีกว่า เราต้องตามดูว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดกับสิ่งที่ทำเหมือนกันหรือไม่ แต่เท่าที่ดูแววตาที่พูดก็ดูว่าจริงจังและเป็นธรรมชาติ เป็นสุนทรพจน์ที่เตรียมมาอย่างดี และกลั่นกรองคำพูดมาเป็นอย่างดี เหมือนเอารัฐธรรมนูญทั้งฉบับมาพูด เท่ากับเป็นการแถลงนโยบาย เป็นสัญญาประชาคมที่ให้ไว้แล้ว
หลังจากนั้นนายเจิมศักดิ์ ได้กล่าวถึงคำพิพากษาศาลแพ่งที่ให้นายเจิมศักดิ์ชนะคดีที่ฟ้องท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชกรณีไม่ติดตั้งเครื่องตรวจอาวุธก่อนขึ้นเครื่องบินซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายต่อการบิน ซึ่งศาลได้ตัดสินให้ท่าอากาศยานฯ จ่ายเงินชดเชย 50,000 บาท
ต่อมา ผู้ร่วมรายการได้พูดถึงกรณีที่มีข่าวว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย และการบินไทยจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กรณีปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ซึ่งนายสุวัตรกล่าวว่า ยังไม่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายแต่อย่างใด มีเพียงการฟ้องขับไล่ตั้งแต่วันที่เข้าไปชุมนุมในสนามบิน
นายสุวัตรยืนยันว่า พันธมิตรฯ ไมได้ปิดสนามบินจริง มีเหตุการณ์ที่ไล่เรียงได้ วันนั้น(25พ.ย.) พันธมิตรฯ จะไปขัดขวางการประชุมครม.ที่ทำเนียบชั่วคราว สนามบินดอนเมือง แต่แล้วก็ไม่มีการประชุม โดยมีข่าวว่าจะประชุมที่กองทัพไทย แต่เมื่อไปที่กองทัพไทย ก็ไม่มีการประชุม พอดีมีข่าวว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเดินทางกลับมาจากเปรู ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะลงที่สนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง จึงไปชุมนุมในลักษณะล้อมอยู่ข้างนอก ซึ่งเป็นลักษณะการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่จะไปล้อมอยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปข้างใน แม้แต่การชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลก็ใช้ที่สนามหญ้า การไปสุวรรณภูมิก็ต้องการไปอยู่ข้างหน้า
นายสุวัตร กล่าวต่อว่า วันนั้นที่พันธมิตรฯ ไป มีกลุ่มคนขับแท็กซี่ชุมนุมอยู่ก่อนแล้วและมาไล่ตีพันธมิตรฯ บางส่วน แล้วหลังจากนั้นนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ประกาศปิดสนามบินทันที อ้างว่ากลัวความวุ่นวาย และผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบาย แต่จริงๆ แล้ว ที่ตนรู้มานายเสรีรัตน์ต้องการจะโยนบาปให้พันธมิตรฯ เพราะการปิดสนามบินส่งผลกระทบมาก รวมถึงผู้สนับสนุนพันธมิตรฯด้วย แต่ความจริงแล้วพันธมิตรฯ ต้องการไปอยู่ข้างหน้า โดยที่ผู้โดยสารที่อยู่ข้างในสามารถออกมาได้ คนที่จะเข้าไปก็เข้าไปได้
ระบบขนส่งสาธารณะ ไม่มีอะไรที่พันธมิตรฯ เข้าไปแตะ ไม่ว่าจะเป็นรันเวย์ งวง ตัวเครื่องบิน หอบังคับการบิน แต่นายเสรีรัตน์ สั่งหยุดทำงานหมด ผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องแล้วก็สั่งให้ลง ผู้โดยสารบนเครื่องที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีที่ลง เป็นการปิดโดยไม่วางแผนอะไรรองรับ แทนที่จะหาที่อื่นให้ลง แต่กลับประกาศผิดเช่นนี้ นายเสรีรัตน์ต้องรับผิดชอบ
นายสุวัตรฯ กล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบมาในบอร์ดของการท่าฯ ได้ตำหนิการกระทำของนายเสรีรัตน์ และเขาจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งศาลจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าใครควรรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ส่งออก ผู้โดยสารทั้งจะไปจะกลับ สามารถฟ้องสนามบินได้ ถ้าจะฟ้องพันธมิตรฯ ด้วย เราก็พร้อมจะพิสูจน์ ศาลจะบอกว่าสนามบินปิดเพราะใคร
พล.ต.อ.ประทิน ในฐานะอดีตบอร์ดของการท่าอากาศยานกล่าวว่า จากหลักฐานวันนั้น เมื่อสนามบินถูกสั่งปิด ผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องที่กำลังจะบินขึ้นออกไป ต้องกลับมาอยู่ในสนามบิน ก็เข้ามาได้ ซึ่งถ้าพันธมิตรฯ ไปขัดขวาง ผู้โดยสารเหล่านั้นก็ไม่สามารถกลับเข้ามาได้ เอาไปพักตามโรงแรมไม่ได้ แสดงว่าถ้าเครื่องบินจะขึ้นลงก็ทำได้ ซึ่งความจริงถ้าจะปิดต้องแจ้งล่วงหน้า เพราะพันธมิตรฯ จะไปบอกเป็นชั่วโมง และตอนไปก็ไม่ได้บอกว่าจะไปขัดขวางเครื่องบินไม่ให้ขึ้นลง แต่ไปเพื่อต้อนรับนายสมชาย ถ้าผู้บริหารมีวิธีการจัดการที่ดี ความเสียหายจะไม่เกิดแน่นอน เพราะพันธมิตรฯ ไม่ได้เข้าไปในส่วนเช็กอินหรือตรวจคนเข้าเมือง นอกจากนี้ ระบบข้างในก็ไม่มีอะไรเสียหาย หลังจากหยุดชุมนุมแล้ว ก็สามารถเปิดใช้ได้เลย
นายสุวัตร กล่าวต่อว่า การตัดสินใจปิดสนามบินนั้น ตนไม่เชื่อว่านายเสรีรัตน์จะตัดสินใจเอง เพราะนายเสรีรัตน์เป็นพี่ชายของนายศรีวิไล ประสุตานนท์ ภรรยาของนายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ และอดีตแกนนำ นปก. ซึ่งหลังปิดสนามบินก็มีการโยนบาปให้พันธมิตรฯ ทันที ทั้งที่เราไม่ห้ามคนเข้า-ออก ไม่ได้ไปไล่ทำร้ายใคร ไม่เหมือนที่พวกเขาเอาหินไล่ทุบรถ ส.ส.เมื่อวันที่ 15 ขณะที่ของเรา วันที่ 7 ตุลาฯ มีการห้ามแม้แต่รั้วสภาก็ไม่ให้ไปแตะ เราไปสุวรรณภูมิก็เช่นกันเราไม่ปิดทางเข้าออก ไปรอแค่นายสมชายเท่านั้น ดังนั้นที่มากล่าวหาเราเรื่องนี้ เราจะฟ้องแน่นอน
ส่วนกรณีที่ตำรวจนำเอากรณีการไปชุมนุมหน้าสนามบินไปตั้งข้อหาว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง การที่ตำรวจเอามาพูดอย่างนั้นไม่สมเหตุสมผล มันไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบอกว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้ก่อการร้าย ภาพที่ปรากฏไม่ได้ไปยึดสนามบินเพื่อขัดขวางเครื่องบินไม่ให้ขึ้นลง แต่ไปต้อนรับนายสมชาย จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แถมยังไปข่มขู่ห้างร้านที่สนับสนุนพันธมิตรฯ ว่าสนับสนุนก่อการร้าย เอา 66 บริษัทไปให้ ปปง.เพื่อตรวจสอบยึดทรัพย์ ยิ่งไปกันใหญ่
"การกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ เป็นกบฏ ศาลบอกแล้วว่าเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไอ้นี่ยิ่งกว่าเลื่อนลอยอีก เลื่อนลอยคือมันไม่มีหลักฐาน อันนี้ก็แย่อยู่แล้ว ผมมาเห็น พล.ต.อ.จงรัก จุฑามาศ ขออ่าน “จุฑามาศ” ก็แล้วกัน หรือ่านจุฑาหมาด เพราะไปดำน้ำมาใหม่ๆ นี่ให้ตำรวจไปงมอาวุธในคลอง ทั้งที่เขาน่าจะรู้ว่า ในช่วงที่พันธมิตรฯ อยู่ในทำเนียบ ตำรวจรายล้อมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าเผื่อพันธมิตรฯ เอาอาวุธไปทิ้ง ไม่เห็นเลยหรือ อันที่ 2 แสดงว่าการข่าวของตำรวจไม่มีเลย อยากจะโชว์อะไรก็เอาความโง่เง่า ให้คนเขาหัวเราะกันเล่น"
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อว่า การพูดอย่างนี้เป็นการใส่ร้ายว่าพันธมิตรเป็นผู้ก่อการร้าย ประชาชนทั่วไปเห็นเลยว่า สภาพพันธมิตรฯ ไปนอนที่สนามบิน มีแต่คนเฒ่าคนแก่ ขึ้นไปร้องเพลง ไม่ได้ทำอะไรเลย และที่สำคัญที่สุด ตอนไปอยู่เป็นช่วงที่ผู้อำนวยการการท่าฯ มีการสั่งปิดสนามบินแล้ว นอกจากนี้ เมื่อพันธมิตรฯ ถอนการชุมนุมแล้ว สนามบินก็สามารถใช้การได้ทันที
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ถ้าเป็นการยึดสนามบินโดยมีการเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยน ต่อรองว่าจะเอาไอ้นั่นจะเอาไอ้นี่ เช่น ปิดสนามบิน หรือจี้เครื่องบินเพื่อให้ปล่อยตัวนักโทษ นี่จึงจะเป็นการก่อการร้าย ส่วนการเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกก็เป็นการชุมนุม และคนที่ปิดสนามบิน ไม่ใช่พันธมิตรฯ มีการสั่งปิดก่อน แล้วพันธมิตรฯ เข้าไปชุมนุม
ด้านนายสุวัตร กล่าวว่า ข้อหาก่อการร้ายนั้นมีขึ้นในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ หลังจากมีเหตุก่อการร้ายที่นิวยอร์ก และทำอย่างรีบๆ โดยออกเป็นพระราชกำหนด มีมาตรา 135/1 ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย ซึ่งข้อหาก่อการร้ายนั้น ผู้คนโดยทั่วไปก็จะต้องนึกถึงกลุ่มตีลีบาน กลุ่มอัลกออิดะห์ พวกวางระเบิด เผา อาวุธปืนครบมือ พันธมิตรฯ มีแต่มือตบ ถ้ามาตั้งข้อหาการก่อการร้ายนี่ ไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรอก ตาสีตาสา ยายมียายมาก็ตัดสินได้ว่าไม่ใช่
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรา 135/1 ซึ่ง นายแพทย์เหวง โตจิราการ เอาไปแจ้งความ อ้างว่าพันธมิตรฯ ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ เขาแจ้งอย่างนี้ แล้ว พล.ต.อ.จงรักรับลูกเลย แล้วจะส่ง 66 บริษัทจะให้ ปปง.ยึดทรัพย์
แต่ในข้อเท็จจริงวันที่ 3 ธ.ค.หลังจากพันธมิตรฯ มอบพื้นที่คืน ถอนออกมา นายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการ รมว.คมนาคมขณะนั้นบอกว่า ไม่มีอะไรเสียหาย ใช้ได้เลย ทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง ซึ่งคำว่าร้ายแรงแค่กระจกแตกบานเดียวก็ไม่ใช่ ความผิดฐานก่อการร้ายตามกฎหมายมาตรา 135/1 นั้น ต้องการเจตนาพิเศษ ไม่ใช่เจตนาธรรมดา แต่พันธมิตรฯ ไม่ได้มีเจตนาพิเศษ
"มิหนำซ้ำ วรรคสุดท้ายของมาตรานี้ มีเหตุยกเว้นความผิดของกฎหมายมาตรานี้ เขาเขียนเลยว่า การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุมประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ชัดเจน
"คุณจงรักเป็นนักกฎหมายฝีมือดี ผมชื่นชมท่านมาโดยตลอด แล้วทำไมท่านไม่อ่านกฎหมายตรงนี้ เหตุยกเว้นความผิด แล้วท่านก็รีบที่จะรับลูกอันนี้ไป แต่เรียนได้เลยครับ เขาไม่ได้ทำคดีนี้ เพราะผมคัดค้าน พันธมิตรฯ เราจะคัดค้านพนักงานสอบสวน คือมีการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ คุณกำลังจะสอบสวนผมในขณะที่คุณเป็นจำเลยผมอยู่ ผมกำลังแจ้ง ป.ป.ช.ดำเนินการคุณอยู่ เหตุการณ์ 7 ตุลาคม คุณจงรักตกเป็นผู้ต้องหา ป.ป.ช.จะชี้มูลเร็วๆ นี้ คุณอำนวย นิ่มมะโน คุณสุชาติ เหมือนแก้ว พวกนี้ ผมจะทำหนังสือถึง ผบ.ตร.ไม่ให้พวกนี้มาสอบ
"แต่ถ้า ผบ.ตร.ยังดื้อดึงเอามา ผมไม่กลัว เพราะเขาตั้งข้อหาเองไม่ได้ ตั้งได้แต่ต้องไปขอศาล เพราะฉะนั้นตอนคุณไปขอหมายจับ ผมจะซักค้านเลยว่าเข้ามาตรานี้ตรงไหน เหมือนคดีกบฏคราวที่เรา ให้หน้าแตกไปเลย"
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า การกระทำของตำรวจยังเข้ามาตรา 200 ตั้งข้อหาเกินจริง มีโทษอีก เพราะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดนมาตรา 157 ด้วย ซึ่งการที่นายอภิสิทธิ์พูดเรื่องจะบังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรมเป็นสิ่งที่รอมานาน การเลือกปฏิบัติ พล.ต.อ.จงรักเร่งคดีพวกเรา แต่คดีหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไปถึงไหน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายวีระไปถึงไหน แต่พอคดีพันธมิตรฯ หมอเหวงแจ้งความวันที่ 3 วันที่ 4 ออกข่าวเลย
นายเจิมศักดิ์ กล่าวเสริมว่าคดีที่หน้าบ้าน พล.อ.เปรมนั้น ตนได้เห็นคำสั่งไม่ฟ้องแกนนำทั้งหลาย ไปฟ้องแต่บางคนที่ไปทำร้ายร่างกาย ซึ่งตำรวจยังเก็บเรื่องนี้ไว้อยู่
ด้าน พล.ต.อ.ประทินกล่าวว่า ข้อหาก่อการร้ายนั้นตำรวจดำเนินการตามการแจ้งความของหมอเหวงโดยที่ยังไม่มีการสอบสวนเลย ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานเลยว่าเข้าองค์ประกอบการก่อการร้ายหรือเปล่า ก็ออกมาให้สัมภาษณ์เลย อย่างนี้เป็นนายตำรวจที่ใช้ไม่ได้เลย เป็นการทำให้คนที่ไม่รู้กฎหมายตกอกตกใจและกลัวจะถูกกลั่นแกล้ง เพราะเขาบริจาคส่วนตัว และคนที่รู้กฎหมายก็จะเห็นว่าตำรวจทำอะไรลวกๆ
นายสุวัตร กล่าวว่า เอกชน 66 รายนั้นไม่เข้าองค์ประกอบการสนับสนุนก่อการร้ายแน่นอน เพราะเป็นการบริจาคเพื่อช่วยเอเอสทีวี บริจาคซื้อข้าว ถ้าจะเข้าองค์ประกอบต้องมีเจตนาพิเศษคือรู้ว่าจะมีการเอาอาวุธไปทำลายสนามบิน ซึ่งถ้ารู้อย่างนั้นใครจะให้ แต่นี่ที่ให้น้ำกันมาให้ข้าวกันมา ให้เงินมาช่วยคนเจ็บ ให้มาช่วยคดี ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายเลย