“การซื้อเสียง..นักการเมืองใช้กันมานานจนเกิดความเคยชิน เป็นความผิดที่ร้ายแรงและบ่อนทำลายไม่ให้ประชาธิปไตยพัฒนา และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ เนื่องจากนักการเมืองเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ชอบ โดยไม่มีความละอาย เพื่อเตรียมไว้ใช้กับการเลือกตั้งต่อไป อันเป็นวงจรเลวร้ายไม่มีที่สิ้นสุด”
นั่นเป็นตอนหนึ่งของเหตุผลในคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชนและตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยด้วย
สรุปก็คือพรรคการเมืองเหล่านี้โกงเลือกตั้ง ทำลายประชาธิปไตยไม่ให้พัฒนาอย่างแท้จริง จึงมีความผิดร้ายแรง
เป็นคำพิพากษาที่ตีแสกหน้าของนักการเมืองพันธุ์ชั่วพวกนี้ที่ลงทุนซื้อเสียงเข้ามาแล้วท่องจำอยู่อย่างเดียวว่า “พวกผมมาจากการเลือกตั้ง” แต่นับจากวันที่มีคำพิพากษายุบพรรคแล้วก็จะถูกสังคมชี้หน้าทันทีว่า “พวกคุณมาจากการโกงเลือกตั้ง”
และเมื่อโกงเลือกตั้งก็ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเป็นอันขาด
ความชอบธรรมที่นักเลือกตั้งพวกนี้มักยกมาหลอกต้มสังคมอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอำนาจก็หมดไปทันที
แม้ว่าความจริงถูกเปิดโปงอย่างไรก็ตามนักเลือกตั้งประเภทนี้ก็ไม่สนใจยังดันทุรังเดินหน้ารวมหัวตั้งรัฐบาลกันต่อไป ดิ้นรนจนถึงที่สุด
ซึ่งนั่นเป็นความเคลื่อนไหวในมุมของพวก “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” ที่ต่อมจริยธรรมอยู่ลึกถึงก้นบึ้ง
อย่างไรก็ดีหากมองในมุมของสังคมที่เริ่มตื่นตัว และออกอาการเซ็งกับนักการเมือง “เสือหิว” ไร้จิตสำนึกสาธารณะพวกนี้ เริ่มส่งสัญญาณต่อต้านกันอย่างตรงไปตรงมา
ที่น่าสนใจก็เห็นจะเป็นแถลงการณ์ร่วมของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ตีแสกหน้าโดยตรงแบบไม่ไว้หน้ากันแล้ว หยามกันตรงๆไปเลยว่าขั้วเดิมที่นำโดยพรรคพลังประชาชนและไม่ว่าจะกลายพันธุ์มาเป็น “เพื่อไทย” ก็ตามถือว่า “ไร้น้ำยา” ไม่ว่าจะส่งใครมาเป็นผู้นำก็ไม่มีความหมาย เพราะผ่านมาตั้งแต่ สมัคร สุนทรเวช เรื่อยมาจนถึง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทุกอย่างก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อไร้ความสามารถก็สมควรแสดงสปิริตปล่อยให้พรรคการเมืองที่มีเสียงอันดับถัดไปได้เข้ามาแสดงฝีมือบริหารบ้างแถมยังยก “ประชาธิปไตยแบบสากล” มาสอนมวยเสียอีกและในสถานการณ์คับขันแบบนี้หากยังดันทุรังดันพวก “แอ็กอาร์ต” ขึ้นมาเป็นหุ่นเชิดรายใหม่ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดีหากไล่เรียงรายชื่อแต่ละคนที่แพลมออกมาแล้วก็มันก็สมเหตุสมผลไม่น้อยที่ถูกสังคมปรามาส ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ชัย ชิดชอบ สันติ พร้อมพัฒน์ รับรองได้ว่าไม่ว่าไปถามใครก็น่าจะได้ยินแต่ “เสียงยี้” ดังระงมแน่
นี่ยังไม่นับเรื่องความสับสนทางกฎหมาย มีผลต่อเนื่องจากการถูกยุบพรรคที่เกี่ยวกับ ส.ส.สัดส่วน ที่มีความเห็นตามมาว่า ส.ส.พวกนี้ต้องสิ้นสภาพตามพรรคนั้นไปด้วย โดยยกเหตุผลเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การย้ายพรรคอาจมีปัญหาทางกฎหมายตามมา ทำให้เชื่อว่า จะต้องมีการเสนอตีความกันวุ่นวาย
ยังมีเรื่องของตัวเต็งหุ่นเชิดรายใหม่ โฟกัสกันเฉพาะรายเช่น เฉลิม กับ มิ่งขวัญ เพราะทั้งคู่เป็นอดีตรัฐมตรีที่ติดล็อกใน 28 รัฐมนตรีร่วมกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 กรณียกอธิปไตยเหนือประสาทพระวิหารให้เขมร ซึ่งเวลานี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าเกิดฟลุ๊กโชคดีลากถูลู่ถูกังกันไปจนได้เป็นนายกฯคนใหม่ได้ไม่กี่วัน ก็เสี่ยงถูกสอยลงมาอีก จะยิ่งหายนะกันไปอีก
ดังนั้น เมื่อมองทุกมุมแล้วทั้งความชอบธรรมเหลือศูนย์ ไร้ความสามารถ ภาพพจน์ทางสังคมในตัวแคดิเดตผู้นำคนใหม่ ยกตัวอย่างมาแต่ละคนแล้ว ได้ยินแต่เสียงแล้วแทบ “อาเจียน” ไล่หลัง หากยังเดินหน้ารับรองว่าไปไม่รอดแล้วทำไมไม่เปลี่ยนขั้ว เปิดทางเลือกใหม่ มันก็น่าสนใจไม่น้อย
ส่วนแนวทางยุบสภาแม้หลายฝ่ายต้องการ แต่พรรคการเมืองหากไม่จนตรอกจริงๆก็ไม่ยอมเด็ดขาด นาทีนี้เชื่อว่ายังไม่เกิดง่ายๆ !!
นั่นเป็นตอนหนึ่งของเหตุผลในคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชนและตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยด้วย
สรุปก็คือพรรคการเมืองเหล่านี้โกงเลือกตั้ง ทำลายประชาธิปไตยไม่ให้พัฒนาอย่างแท้จริง จึงมีความผิดร้ายแรง
เป็นคำพิพากษาที่ตีแสกหน้าของนักการเมืองพันธุ์ชั่วพวกนี้ที่ลงทุนซื้อเสียงเข้ามาแล้วท่องจำอยู่อย่างเดียวว่า “พวกผมมาจากการเลือกตั้ง” แต่นับจากวันที่มีคำพิพากษายุบพรรคแล้วก็จะถูกสังคมชี้หน้าทันทีว่า “พวกคุณมาจากการโกงเลือกตั้ง”
และเมื่อโกงเลือกตั้งก็ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเป็นอันขาด
ความชอบธรรมที่นักเลือกตั้งพวกนี้มักยกมาหลอกต้มสังคมอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอำนาจก็หมดไปทันที
แม้ว่าความจริงถูกเปิดโปงอย่างไรก็ตามนักเลือกตั้งประเภทนี้ก็ไม่สนใจยังดันทุรังเดินหน้ารวมหัวตั้งรัฐบาลกันต่อไป ดิ้นรนจนถึงที่สุด
ซึ่งนั่นเป็นความเคลื่อนไหวในมุมของพวก “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” ที่ต่อมจริยธรรมอยู่ลึกถึงก้นบึ้ง
อย่างไรก็ดีหากมองในมุมของสังคมที่เริ่มตื่นตัว และออกอาการเซ็งกับนักการเมือง “เสือหิว” ไร้จิตสำนึกสาธารณะพวกนี้ เริ่มส่งสัญญาณต่อต้านกันอย่างตรงไปตรงมา
ที่น่าสนใจก็เห็นจะเป็นแถลงการณ์ร่วมของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ตีแสกหน้าโดยตรงแบบไม่ไว้หน้ากันแล้ว หยามกันตรงๆไปเลยว่าขั้วเดิมที่นำโดยพรรคพลังประชาชนและไม่ว่าจะกลายพันธุ์มาเป็น “เพื่อไทย” ก็ตามถือว่า “ไร้น้ำยา” ไม่ว่าจะส่งใครมาเป็นผู้นำก็ไม่มีความหมาย เพราะผ่านมาตั้งแต่ สมัคร สุนทรเวช เรื่อยมาจนถึง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทุกอย่างก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อไร้ความสามารถก็สมควรแสดงสปิริตปล่อยให้พรรคการเมืองที่มีเสียงอันดับถัดไปได้เข้ามาแสดงฝีมือบริหารบ้างแถมยังยก “ประชาธิปไตยแบบสากล” มาสอนมวยเสียอีกและในสถานการณ์คับขันแบบนี้หากยังดันทุรังดันพวก “แอ็กอาร์ต” ขึ้นมาเป็นหุ่นเชิดรายใหม่ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดีหากไล่เรียงรายชื่อแต่ละคนที่แพลมออกมาแล้วก็มันก็สมเหตุสมผลไม่น้อยที่ถูกสังคมปรามาส ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ชัย ชิดชอบ สันติ พร้อมพัฒน์ รับรองได้ว่าไม่ว่าไปถามใครก็น่าจะได้ยินแต่ “เสียงยี้” ดังระงมแน่
นี่ยังไม่นับเรื่องความสับสนทางกฎหมาย มีผลต่อเนื่องจากการถูกยุบพรรคที่เกี่ยวกับ ส.ส.สัดส่วน ที่มีความเห็นตามมาว่า ส.ส.พวกนี้ต้องสิ้นสภาพตามพรรคนั้นไปด้วย โดยยกเหตุผลเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การย้ายพรรคอาจมีปัญหาทางกฎหมายตามมา ทำให้เชื่อว่า จะต้องมีการเสนอตีความกันวุ่นวาย
ยังมีเรื่องของตัวเต็งหุ่นเชิดรายใหม่ โฟกัสกันเฉพาะรายเช่น เฉลิม กับ มิ่งขวัญ เพราะทั้งคู่เป็นอดีตรัฐมตรีที่ติดล็อกใน 28 รัฐมนตรีร่วมกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 กรณียกอธิปไตยเหนือประสาทพระวิหารให้เขมร ซึ่งเวลานี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าเกิดฟลุ๊กโชคดีลากถูลู่ถูกังกันไปจนได้เป็นนายกฯคนใหม่ได้ไม่กี่วัน ก็เสี่ยงถูกสอยลงมาอีก จะยิ่งหายนะกันไปอีก
ดังนั้น เมื่อมองทุกมุมแล้วทั้งความชอบธรรมเหลือศูนย์ ไร้ความสามารถ ภาพพจน์ทางสังคมในตัวแคดิเดตผู้นำคนใหม่ ยกตัวอย่างมาแต่ละคนแล้ว ได้ยินแต่เสียงแล้วแทบ “อาเจียน” ไล่หลัง หากยังเดินหน้ารับรองว่าไปไม่รอดแล้วทำไมไม่เปลี่ยนขั้ว เปิดทางเลือกใหม่ มันก็น่าสนใจไม่น้อย
ส่วนแนวทางยุบสภาแม้หลายฝ่ายต้องการ แต่พรรคการเมืองหากไม่จนตรอกจริงๆก็ไม่ยอมเด็ดขาด นาทีนี้เชื่อว่ายังไม่เกิดง่ายๆ !!