ด้วยข้อกฎหมายเป็นที่กำหนดแน่ชัดแล้วว่าผู้สมัคร ส.ส.ที่จะลงเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม 2552 จำนวน 22 จังหวัด 26 เขตจำนวน 29 คน จะต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 90 วัน
และถ้าโฟกัสให้แคบเข้ามาอีกก็ต้องสรุปว่า บรรดาทีมงานจากพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคกรณีทุจริตเลือกตั้ง ไม่สามารถใช้วิธี “ศรีธนญชัย” ได้เพราะกฎหมายล็อกเอาไว้
นั่นคือไม่อาจโยกคนไปสวมในชื่อพรรคการเมืองใหม่ได้ทันที เพราะต้องรอครบวันตามกฎหมายกำหนด
ดังนั้นพวกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็เห็นจะเป็นพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคมัชฌิมาฯ ที่กำลังจะกลายพันธุ์มาเป็นพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ด้วย
เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นก็ต้องอธิบายให้เห็นภาพกันคร่าวๆ เช่น กรณีพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน อีกทั้งยังต้องเหนื่อยกับการลุ้นรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในเรื่องคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ จิปาถะ
และที่สำคัญก็คือมีปัญหาในเรื่องผู้สมัครที่จะลงเลือกตั้งซ่อมยื่นใบสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วันกันอื้อ ซึ่งล่าสุดก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่าพรรคเพื่อไทย คงจะส่งผู้สมัครได้แค่ 14-15 คนเท่านั้น
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาที่ “เสี่ยเติ้ง” เป็นสปอนเซอร์ ก็มีปัญหาในทำนองเดียวกัน รวมทั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่แม้จะพยายามดิ้นรนจะไปรวมทีมกับพรรคภูมิใจไทย ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” คอยอุดหนุนอยู่ข้างหลัง มันก็เข้าข่ายเดียวกันหมด
ขณะที่อีกมุมหนึ่งหันไปมองที่พรรคประชาธิปัตย์บ้าง แม้ที่ผ่านมาถ้าสำรวจไปทั้ง 26 เขตที่จะเลือกตั้งกันใหม่ในวันที่ 11 ม.ค.52 กลับไม่มีปัญหาในเรื่องสังกัดพรรค 90 วัน และคนที่แพ้เลือกตั้งคราวที่แล้วก็ยังเป็นตัวยืน ไม่มีปัญหา ส่งลงได้ทุกเขต ส่วนจะฮั้วทอดไมตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อรักษาน้ำใจหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากนี้ถ้าสำรวจไปทั้ง 26 เขตเลือกตั้งใน 22 จังหวัด แยกเป็นรายจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นภาคกลาง และภาคอีสาน และภาคเหนือประปราย รวมทั้งกรุงเทพฯ เขต 10 แถมภาคใต้ที่นราธิวาส อีก 1 เขต ถือว่าประชาธิปัตย์ก็มีสิทธิ์ลุ้นได้หลายพื้นที่เหมือนกัน หากพรรคเพื่อไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนามีปัญหาเรื่องส่งผู้สมัครได้ไม่ครบ
ดังนั้นโอกาสก็ย่อมกลับมาเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ทันที แม่ว่าถ้าพิจารณาในความเป็นจริงแล้วพื้นที่ในภาคอีสาน และภาคเหนือ นั่นอาจจะไม่ใช่ฐานเสียงหลักไม่มีใครเถียง แต่ก็อย่าประมาท “อภินิหารแหวนทองเหลือง” เป็นอันขาด
โอกาสกระแสพลิกกลับมาได้บ้างในบางเขตก็เป็นไปได้
นอกจากนี้ในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯ คือเขตที่ 10 และ นราธิวาส เขตเลือกตั้งที่ 2 มันก็มีลุ้นค่อนข้างชัวร์ได้หลายพื้นที่ หลายจังหวัด หากคิดไปแล้วก็อาจเคลิ้มเรื่องตัวเลข ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน
นาทีนี้ถ้าพิจารณาในภาพรวมๆ ที่บรรดาพรรคร่วมฯ และพรรคเพื่อไทยที่มีปัญหาในเรื่องกฎเหล็ก 90 วัน ขณะเดียวกันถ้าหากมีการเจรจาตกลงหลีกทางกันได้ในบางพื้นที่ มันก็ทำให้มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงในทางบวก
ดังนั้นในสถานการณ์ของรัฐบาลผสมที่เพิ่งตั้งไข่ได้ไม่กี่วัน และด้วยจำนวน ส.ส.สนับสนุนที่ปริ่มน้ำอาจต่อรองแทบไม่ค่อยมีแบบนี้ แต่เมื่อโอกาสในการเลือกตั้งซ่อมชุดใหญ่กำลังมาถึง และหากทุกอย่างเป็นไปตามคาดหมาย เกมต่อรองก็มีโอกาสพลิกกลับมามากขึ้น
แถมตอนนี้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แม้ยังมองไม่ออกว่าจะได้เปรียบหรือไม่ แต่เรื่องเสียเปรียบ หรือถูกกระทำจนต้องถอยกรูดเหมือนครั้งที่แล้ว มันก็น่าจะมีน้อยกว่าเดิมแน่นอน
อย่างไรก็ดี ถ้ามองในภาพรวมแล้วขั้วประชาธิปัตย์ยังคุมเกมได้พอสมควร และกำลังเดินไปข้างหน้า ขณะที่ในทางกลับกัน ฝ่ายเครือข่ายระบอบทักษิณเริ่มถูกต้อนเข้ามุม ทำท่าถูกรุกไล่ กระแสเริ่มพลิกกลับ
เมื่อรูปการณ์เป็นแบบนี้ก็ต้องระวังเกมป่วน เพื่อกดดันให้ยุบสภาก่อนกำหนด ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีรายการโหมกันอย่างหนักหน่วงนับจากนี้ไป เพราะจับสัญญาณจาก “นายใหญ่” ที่บอกว่า “ไม่มีวันยอมแพ้” มันก็น่าหวาดเสียว
ถ้าประคองสถานการณ์ไปได้เรื่อยๆ อย่าให้เกิดกระแส “ยี้” พุ่งขึ้นสูงก่อนเวลาอันควร อย่างน้อย “นาวาอภิสิทธิ์ 1” ก็น่าจะล่องลอยไปได้อีกพักใหญ่ !!
และถ้าโฟกัสให้แคบเข้ามาอีกก็ต้องสรุปว่า บรรดาทีมงานจากพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคกรณีทุจริตเลือกตั้ง ไม่สามารถใช้วิธี “ศรีธนญชัย” ได้เพราะกฎหมายล็อกเอาไว้
นั่นคือไม่อาจโยกคนไปสวมในชื่อพรรคการเมืองใหม่ได้ทันที เพราะต้องรอครบวันตามกฎหมายกำหนด
ดังนั้นพวกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็เห็นจะเป็นพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคมัชฌิมาฯ ที่กำลังจะกลายพันธุ์มาเป็นพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ด้วย
เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นก็ต้องอธิบายให้เห็นภาพกันคร่าวๆ เช่น กรณีพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน อีกทั้งยังต้องเหนื่อยกับการลุ้นรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในเรื่องคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ จิปาถะ
และที่สำคัญก็คือมีปัญหาในเรื่องผู้สมัครที่จะลงเลือกตั้งซ่อมยื่นใบสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วันกันอื้อ ซึ่งล่าสุดก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่าพรรคเพื่อไทย คงจะส่งผู้สมัครได้แค่ 14-15 คนเท่านั้น
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาที่ “เสี่ยเติ้ง” เป็นสปอนเซอร์ ก็มีปัญหาในทำนองเดียวกัน รวมทั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่แม้จะพยายามดิ้นรนจะไปรวมทีมกับพรรคภูมิใจไทย ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” คอยอุดหนุนอยู่ข้างหลัง มันก็เข้าข่ายเดียวกันหมด
ขณะที่อีกมุมหนึ่งหันไปมองที่พรรคประชาธิปัตย์บ้าง แม้ที่ผ่านมาถ้าสำรวจไปทั้ง 26 เขตที่จะเลือกตั้งกันใหม่ในวันที่ 11 ม.ค.52 กลับไม่มีปัญหาในเรื่องสังกัดพรรค 90 วัน และคนที่แพ้เลือกตั้งคราวที่แล้วก็ยังเป็นตัวยืน ไม่มีปัญหา ส่งลงได้ทุกเขต ส่วนจะฮั้วทอดไมตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อรักษาน้ำใจหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากนี้ถ้าสำรวจไปทั้ง 26 เขตเลือกตั้งใน 22 จังหวัด แยกเป็นรายจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นภาคกลาง และภาคอีสาน และภาคเหนือประปราย รวมทั้งกรุงเทพฯ เขต 10 แถมภาคใต้ที่นราธิวาส อีก 1 เขต ถือว่าประชาธิปัตย์ก็มีสิทธิ์ลุ้นได้หลายพื้นที่เหมือนกัน หากพรรคเพื่อไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนามีปัญหาเรื่องส่งผู้สมัครได้ไม่ครบ
ดังนั้นโอกาสก็ย่อมกลับมาเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ทันที แม่ว่าถ้าพิจารณาในความเป็นจริงแล้วพื้นที่ในภาคอีสาน และภาคเหนือ นั่นอาจจะไม่ใช่ฐานเสียงหลักไม่มีใครเถียง แต่ก็อย่าประมาท “อภินิหารแหวนทองเหลือง” เป็นอันขาด
โอกาสกระแสพลิกกลับมาได้บ้างในบางเขตก็เป็นไปได้
นอกจากนี้ในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯ คือเขตที่ 10 และ นราธิวาส เขตเลือกตั้งที่ 2 มันก็มีลุ้นค่อนข้างชัวร์ได้หลายพื้นที่ หลายจังหวัด หากคิดไปแล้วก็อาจเคลิ้มเรื่องตัวเลข ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน
นาทีนี้ถ้าพิจารณาในภาพรวมๆ ที่บรรดาพรรคร่วมฯ และพรรคเพื่อไทยที่มีปัญหาในเรื่องกฎเหล็ก 90 วัน ขณะเดียวกันถ้าหากมีการเจรจาตกลงหลีกทางกันได้ในบางพื้นที่ มันก็ทำให้มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงในทางบวก
ดังนั้นในสถานการณ์ของรัฐบาลผสมที่เพิ่งตั้งไข่ได้ไม่กี่วัน และด้วยจำนวน ส.ส.สนับสนุนที่ปริ่มน้ำอาจต่อรองแทบไม่ค่อยมีแบบนี้ แต่เมื่อโอกาสในการเลือกตั้งซ่อมชุดใหญ่กำลังมาถึง และหากทุกอย่างเป็นไปตามคาดหมาย เกมต่อรองก็มีโอกาสพลิกกลับมามากขึ้น
แถมตอนนี้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แม้ยังมองไม่ออกว่าจะได้เปรียบหรือไม่ แต่เรื่องเสียเปรียบ หรือถูกกระทำจนต้องถอยกรูดเหมือนครั้งที่แล้ว มันก็น่าจะมีน้อยกว่าเดิมแน่นอน
อย่างไรก็ดี ถ้ามองในภาพรวมแล้วขั้วประชาธิปัตย์ยังคุมเกมได้พอสมควร และกำลังเดินไปข้างหน้า ขณะที่ในทางกลับกัน ฝ่ายเครือข่ายระบอบทักษิณเริ่มถูกต้อนเข้ามุม ทำท่าถูกรุกไล่ กระแสเริ่มพลิกกลับ
เมื่อรูปการณ์เป็นแบบนี้ก็ต้องระวังเกมป่วน เพื่อกดดันให้ยุบสภาก่อนกำหนด ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีรายการโหมกันอย่างหนักหน่วงนับจากนี้ไป เพราะจับสัญญาณจาก “นายใหญ่” ที่บอกว่า “ไม่มีวันยอมแพ้” มันก็น่าหวาดเสียว
ถ้าประคองสถานการณ์ไปได้เรื่อยๆ อย่าให้เกิดกระแส “ยี้” พุ่งขึ้นสูงก่อนเวลาอันควร อย่างน้อย “นาวาอภิสิทธิ์ 1” ก็น่าจะล่องลอยไปได้อีกพักใหญ่ !!