xs
xsm
sm
md
lg

ปลด“พัชรวาท”ขวางทางเลือด พันธมิตรฯลั่นไม่เจรจา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งสำนักนายรัฐมนตรี ที่ 305/2551 ให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)มาปฎิบัติงานสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ได้รับเงินเดือนของสังกัดเดิมไปก่อนและให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รักษาราชการแทน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2551
มีรายงานว่า สำหรับเหตุผลการสั่งโยกย้าย ผบ.ตร.ในครั้งนี้ เหตุผลหลักน่าจะมาจากกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่สนองนโยบายรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ขั้นเด็ดขาด ปล่อยให้มีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว สนามบินดอนเมือง ขณะเดียวกันการแต่งโยกย้ายนายตำรวจระดับ รองผบก.-สว. วาระประจำปี ที่ผ่านมา นายตำรวจหลายนายซึ่งเป็นเด็กเส้นสายนักการเมืองพรรคพลังประชาชน ไม่ได้รับการแต่งตั้ง โดยเฉพาะสาย"เจ๊แดง" ซึ่งสาเหตุทั้งสองข้อที่กล่าวมาเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ถูกสั่งให้ช่วยราชการ ทั้งที่ยังเหลืออายุราชการเกือบ 1 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายหลังผบ.ตร.ถูกสั่งให้ไปช่วยราชการ ว่า ทั้งพล.ต.อ.พัชรวาท และพล.ต.อ.ปทีป ไม่อยู่ภายในสำนักงาน ผู้สื่อข่าวพยายามเข้าไปสอบถามจากเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงาน ซึ่งได้รับแจ้งว่าทั้งพล.ต.อ.พัชรวาท และพล.ต.อ.ปทีป ไปราชการข้างนอก
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นน้องชายสายเลือดเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับคณะมนตรีความมั่งคงแห่งชาติเกือบทั้งคณะ เกิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2492 ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ารักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 29 ก.พ.2551 แทนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวช
ในส่วนของพล.ต.อ.ปทีปนั้น จบนักเรียนนายตำรวจรุ่น 25 รุ่นเดียวกับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ โดยจะเกษียณอายุราชการปี 2553 เริ่มต้นชีวิตราชการในบช.ตชด.เหมือนกัน เป็นรองสารวัตรประจำแผนกทะเบียนพล สำนักเลขานุการตำรวจ และย้ายมาทำงานด้านกำลังพล ก่อนเป็นนายเวรผู้บังคับการ กองบังคับการอำนวยการ บช.ภ.1 และขึ้นสารวัตรมาทำงานด้านปราบปราม เป็นสารวัตรฝ่ายป้องกันปราบปราม สภ.อ.เมือง ปทุมธานี จากนั้นโยกมาทำงานในกองกำลังพลจนเป็นผกก.ฝ่ายวิเคราะห์และกำหนดตำแหน่ง กองกำลังพล ตามด้วย รองผบก.กองสวัสดิการ ก่อนติดยศพล.ต.ต.เป็นผบก.อก.สนง.วิทยาการตำรวจ แล้วโยกเป็นผบก.กองงบประมาณ ดูแลดานการเงินและบริหารจัดการงบฯ
ต่อมา ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วยผบช.ที่สำนักงานแผนงานและงบประมาณ เป็นรองผบช.สำนักงานกำลังพล เป็นรองผบช.สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และขึ้นเป็น ผบช.สำนักงานแผนงานและงบประมาณ ติดยศพล.ต.ท. ปีพ.ศ. 2545 ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. แล้วขึ้นเป็นที่ปรึกษาสบ.10 ติดยศ พล.ต.อ.ในปี 2548 ก่อนเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะมาเป็นจเรตำรวจแห่งชาติ ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งรักษาราชการแทนผบ.ตร.ในครั้งนี้
**บีบขรก.ร่วมมือ
ขณะที่เมื่อวานนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกข้าราชการระดับสูงร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย
โดยนายสมชาย กล่าวในตอนหนึ่งว่า ขณะนี้เป็นที่ทราบกัน เรามีปัญหาอยู่ในบ้านเมือง ได้มีการประท้วงทำให้เกิดความเสียหายด้วยการปิดสนามบิน ...เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กระทบเป็นวงกว้าง ในฐานะที่รับผิดชอบปัญหาของบ้านเมืองร่วมกันทุกฝ่ายคงต้องช่วยกัน.. ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผมจึงไม่พยายามไปก้าวก่ายหน้าที่รับผิดชอบของท่านที่ดูแลอยู่ แต่งานการเมืองที่เป็นนโยบายคงไม่สำเร็จ หากเพื่อนข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้นอยากเรียนให้เพื่อนข้าราชการที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคน ได้มีส่วนในการชี้นำให้ทุกคนได้เคารพกฎหมายของบ้านเมืองให้อยู่ในระเบียบวินัย คิดว่าทุกคนต้องเป็นผู้นำเพื่อปกป้องดูแลชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนของเรา จากการที่มีคนไปบุกยึดสนามบิน 2 แห่ง ที่สนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมินั้น คงต้องหาทางเอากลับคืนมาให้ได้” นายสมชายกล่าว
นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุม ร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี ปลัดทุกกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ เกี่ยวกับมาตรการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการดำเนินการดูแลสถานการณ์ของบ้านเมืองว่า ไม่ได้มีการพูดถึงการเตรียมการสลายการชุมนุมในที่ประชุม ส่วนกรณีที่มีกระแสว่าข้าราชการจะออกมาอารยะขัดขืนนั้น เป็นความคิดเห็นของอธิการบดี ยืนยันว่า ข้าราชการระดับสูง ไม่มีอารยะขัดขืนแน่นอน และปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เนื่องจากเราไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็แล้วแต่ ข้าราชการพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพราะว่าเราต้องทำตามระเบียบวินัยข้าราชการ
***สมชายเรียกขรก.ประชุมด่วน
เวลา 12.30 น. วันที่ 28 พ.ย. ที่ศาลากลางเชียงใหม่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมหัวหน้าหน่วยราชการ ปลัดกระทรวงทั้งหมด ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยก่อนการแถลงข่าวได้พูดเล่นกับว่า “ ช่วงเช้าได้ไปทำบุญเพราะอยู่ที่นี้ไม่ได้ทำอะไร แต่ไม่ได้พบหลวงพ่อจิ๋ว(พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ )เพราะท่านอยู่เมืองนอก แต่ท่านโทรเข้ามาคุยด้วยเมื่อคืนวันที่ 27 พ.ย.”
จากนั้นนายสมชายจึงแถลงข่าวอย่างเป็นทางการซึ่งในตอนหนึ่งของการแถลงข่าว นายสมชาย กล่าวว่า การวางมาตรการแก้ปัญหาปิดสนามบินเป็นมาตรการที่ดีที่สุดสามารถทำได้ขณะนี้แต่ไม่มีวัตถุประสงค์จะใช้ความรุนแรงหรือใช้การทำให้บาดเจ็บเสียหาย เจ้าหน้าที่ทำตามหลักสากล ตามหลักเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนดทุกประการ ตนคิดว่าหากเจรจาได้ก็จะดีที่สุดและให้ปล่อยกันไปปัญหาอื่นก็ว่ากันไปแต่อยากให้เปิดสนามบิน ซึ่งการปิดสนามบินเหมือนจับประเทศไทยเป็นตัวประกันเป็นผลร้ายทุกฝ่ายไม่มีใครรับผลดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้กำหนดเวลาเคลียร์พื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จเมื่อไหร่ เพราะปล่อยไปยิ่งเสียหายมากขึ้น นายสมชายกล่าวว่า ถูกต้อง ยิ่งปล่อยนานไป ยิ่งเกิดความเสียหายมาก ซึ่งในการประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการ พล.อ. อภิชาติ เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงวกลาโหม ได้แสดงความเป็นห่วงในจุดนี้ โดยการกระทำการทำได้ไม่ง่ายนัก พล.อ.อภิชาติห่วงว่า อาจดำเนินการไม่ได้เร็วนัก ตนก็ได้บอกกลับไปว่า จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำงานไปตามแผนงานที่ได้วางไว้ ส่วนจะเร็วช้าเท่าไหร่ คงไปกำหนดเวลาไม่ได้ แต่เราพยายามที่จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น เมื่อถามว่า ได้ติดตามหรือไม่ว่า หลังจากประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้ว มีอุปสรรคอะไร ถึงยังไม่มีการดำเนินการ นายสมชายกล่าวว่า เพิ่งประกาศไปเมื่อคืนวันที่ 27 พ.ย. เจ้าหน้าที่คงต้องไปวางแผนการทำงาน ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ได้ประชุมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ทราบว่าผลประชุมเป็นอย่างไร แต่เป็นหน้าที่ของพล.ต.อ.โกวิท เพราะตนตั้งให้เป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามว่า นายกฯยังยืนยันในหลักการ ว่าจะไม่ยุบสภา และไม่ลาออกอยู่ใช่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ตนไม่ได้ยืนยันหรือไม่ยืนยัน เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯจะไปเจรจากับแกนนำพันธมิตรฯ นายสมชายกล่าวว่า ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ ก็คงจะพูดคุยกัน แต่หากไม่มีประโยชน์ ก็ต้องดูว่าพูดคุยกันแล้วจะได้ผลอะไร ซึ่งตนได้มอบหมายให้นาย สุขุมพงษ์ โง่นคำ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปหารือ
เมื่อถามว่า ยังจะมีการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15-18 ธ.ค.นี้อีกหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ยังมีอยู่ เพียงแต่ต่างประเทศมีความกังวลใจอยู่เหมือนกัน แต่ตนยังไม่ได้ติดสินใจว่าจะเลื่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนายกฯเดินทางกลับจากประชุมเอเปคที่ประเทศเปรู ได้คุยกับพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. บ้างหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า “เราก็ได้คุยกันหลายครั้งแล้วครับ” เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์ได้ยืนยันแบบเดียวกับที่เคยยืนยันกับนายกฯก่อนหน้านี้แบบชายชาติทหารว่าจะไม่ปฏิวัติอีกหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ปลัดกระทรวงกลาโหมก็พูด
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงไม่ให้ทหารเข้ามาเป็นตัวหลักในการใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายสมชายกล่าวว่า การประกาศตามมาตรา 5 , 11 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เราสามารถกำหนดได้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งความจริงแล้วตนเป็นคนไม่อยากจะประกาศใช้ เพราะอยากให้ตำรวจดำเนินการดูแลความสงบเรียบร้อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นภาวะร้ายแรง ดังนั้นการประกาศใช้ พ.ร.ก.จึงถือเป็นการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการทำงาน ซึ่งตนเห็นว่าที่ผ่านมาตำรวจทำงานเป็นหลักอยู่แล้ว จึงอยากให้เป็นงานต่อเนื่องกัน หน้าที่รักษาความสงบในประเทศความจริงไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายทหารโดยตรง เป็นหน้าที่ของตำรวจ ทหารเป็นเพียงผู้สนับสนุนช่วยอำนายความสะดวกให้ตำรวจ จึงมอบให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเสียมากกว่า ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้
***อัดขรก.สอพลอ
แหล่งข่าวในที่ประชุม ระบุว่า ในที่ประชุมได้ได้มีการหารือกันในหลายประเด็น โดยมีการจับตามองว่าทหารจะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ พล.อ.อภิชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมประชุม และได้ระบุว่า คนใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีไม่รายงานข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการปิดสุวรรณภูมิให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ว่าขณะนี้บ้านเมืองวิกฤตขนาดไหน ประเทศไทยสูญเสียเงินเป็นแสนล้านบาท เพราะเท่าที่ดู นายกฯ ท่านคิดจะซื้อเวลา ให้สถานการณ์คลี่คลายเอง
“ปลัดกระทรวงกลาโหม ท่านบอกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการประจำหลายคนต้องมีอุดมการณ์ และ พูดอย่างตรงไปตรงมา อย่าพูดเอาใจนายกรัฐมนตรีมากเกินไป ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลข้อเท็จจริง ว่าขณะนี้บ้านเมืองวิกฤตขนาดไหน คนรอบข้างมีแต่คำสรรเสริญเยินยอ ว่านายกรัฐมนตรีมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว ตรงที่หาความจริงใจไม่ค่อยได้ เท่าที่ผมดู ข้าราชการหลายคน พูดในที่ประชุม คตร.อย่าง มาพูดในที่ประชุมวันนี้อย่าง “แหล่งข่าวกล่าว
*****โกวิทรับเตรียมสลายม็อบ
ด้านพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้ดูแล พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ในการประชุมวานนี้ (28 พ.ย.) ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน เพราะว่า ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาให้เกิดความสงบเรียบร้อย
เมื่อถามว่า วันนี้ (28 พ.ย.) จะมีการเข้าสลายม็อบอย่างละมุนละม่อมใช่หรือไม่ พล.ต.อ.โกวิท พยักหน้าแล้วเดินหนีไปและตอบว่า อืม อืม และว่า ผู้ที่ปฏิบัติจะดำเนินการเอง
**อนุพงษ์เมินประชุมร่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการตามประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายแต่งตั้งให้เป็นประธานควบคุมสถานการณ์ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท. ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ พล.ต.อ.โกวิท ยังเชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมหารือ แต่ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบหมายให้ พล.อ. จิรเดช คชรัตน์ รองผู้บัญชาการทหารบก มาแทน และ พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้ พล.อ.อ. มานิต สพันธุพงษ์ เสนาธิการทหารอากาศ เป็นผู้แทน มีเพียงพล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่เดินทางมาร่วมประชุมด้วยตนเอง
จากนั้นเวลา 14.30 น. พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมว่า พล.ต.อ.โกวิท ให้นโยบายการประชุมว่า กลุ่มพันธมิตรที่เข้ายึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติภายใต้กรอบกฎหมาย การปฏิบัติของรัฐครั้งนี้จะเริ่มต้นขั้นแรกด้วยการเจรจา และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนรายละเอียดการปฏิบัติ ผู้บัญชาการแต่ละเหตุการณ์ แต่ละท่านจะพิจารณาสภาพตามความเหมาะสม ส่วนระยะเวลาการปฏิบัติงานไม่ได้บังคับกำหนด ส่วนอาวุธที่จะใช้สลายกลุ่มผู้ชุมนุม ผบ.เหตุการณ์จะคุยรายละเอียดการใช้อาวุธอะไร แต่การใช้อาวุธขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตามกรอบกฎหมายตามหลักสากล โดยจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว
****พธม.ยื่นฟ้องสมชาย
ที่ศาลปกครองกลาง แจ้งวัฒนะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกลุ่มพันธมิตร และในฐานะประชาชนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน (ผู้ฟ้องคดี) ได้เดินทางไปยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี(ครม.) (ผู้ถูกฟ้องคดี) ที่ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ดอนเมือง และเขตลาดกระบัง กทม. และ อ.บางพลี อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 51 นั้น โดยเห็นว่าเหตุผลที่นำมากล่าวอ้างไม่เป็นความจริง ไม่เป็นเหตุผล ไม่เข้าองค์ประกอบตามที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.ก.บริหารงานราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 ทั้งเนื้อหาและข้อกำหนดตามประกาศขัดต่อบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายหลายฉบับ เพราะทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย( พมธ.) ได้ใช้สิทธิ์เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ และปราศจากอาวุธ ในการสื่อสาร แสดงความคิดเห็นตรวจสอบการกระทำของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นการแสดงออกตามหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ที่ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งการกระทำขอกลุ่มพันธมิตร ไม่ได้เป็นลักษณะการก่อการร้าย หรือการกระทำที่ทำให้เกิดความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หากแต่การชุมนุมได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อครม. จนเป็นเหตุให้รัฐบาลได้แสดงรู้สึกดังกล่าวรวมการใช้วาจาที่รุนแรง โดยจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐสลายการชุมนุมหลายครั้ง และหากประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ก็จะทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมอาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน ในการสลายการชุมนุม โดยอาศัยประกาศดังกล่าว ได้ตามอำเภอใจ
นอกจากนี้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีปัญหาว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 233 และมาตรา 40 ดังนั้นการออกประกาศโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ และมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในสาระสำคัญจึงมีเจตนาและการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการบริการกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ.2546 ประกาศดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากให้มีการบังคับใช้ต่อไปก็จะก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง
จึงขอให้ศาลปกครองยกเลิกเพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังกล่าว โดยขอให้ศาลปกครองได้มีการไต่สวนฉุกเฉินโดยเร่งด่วนและขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนที่จะมีคำพิพากษา ต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉิน พร้อมกับให้มีการไต่สวนฉุกเฉินโดยเร่งด่วนและขอให้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนที่จะมีคำพิพากษานั้น ศาลปกครองยังไม่ได้พิจารณาว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ เนื่องจากว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่ได้เข้าองค์คณะ
****พันธมิตรฯตั้งแกนนำรุ่น3
สำหรับความเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นก็มีอยู่ต่อเนื่องตั้งแต่เช้า โดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัยที่สนามบินดอนเมืองว่า สถานการณ์ขณะนี้ คาดว่ารัฐบาลจะใช้เวลาช่วงที่ผู้ชุมนุมไม่มีความระมัดระวังเข้ามาสลายการชุมนุม เพราะฉะนั้นของให้การ์ดพันธมิตรเฝ้าระวังและตรวจตราอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ยอมว่าการชุมนุมครั้งนี้อาจไม่ม้วนเดียวจบอย่างที่ประกาศไว้ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่เวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วยนายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีการตั้งแกนนำ รุ่นที่ 3 โดย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ขณะนี้แกนนำพันธมิตรฯได้แต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสลายการชุมนุมแล้วจับตัวแกนนำทั้งรุ่นที่ 1 รุ่น 2 แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 3 ก็จะออกมาเป็นผู้นำในการชุมนุมทันที ทั้งนี้ พล.ต.จำลองได้ชี้แจงสาเหตุที่ตั้งแกนำรุ่นที่ 3 ด้วย เนื่องจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อผมถูกจับ แกนนำคนอื่นถูกล่า ทำให้ผู้ชุมนุมขาดแกนนำ จนทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย มีการเผาอาคาร เหมือนเมื่อปี 35" พล.ต.จำลอง กล่าว
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พื้นที่การชุมนุมทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย ทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นไปอย่างเรียบร้อยทั้ง 3 แห่ง แต่กลับเกิดเหตุการณ์นรกป่วนกรุง โจมตีด้วยอาวุธสงครามที่สถานีโทรทัศน์ ASTV ทำให้กระจกห้องส่งของสถานีได้รับความเสียหายแตกกระจาย และทะลุไปถูกผู้ประกาศ ตนคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของรัฐบาล เพราะเป็นการเข้าประหัตประหารผู้คนใจกลางกรุง และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้ายได้ เพราะเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย แม้ว่าว่าการจับกุมนั้นทำได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ จ.เชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม หากมีการสลายการชุมนุม ในวันรุ่งขึ้นประชาชนทั่วประเทศก็จะลุกฮือเข้าไปยึดพื้นที่ชุมนุมคืนในทุกจุด
**พธม.ช่วยผู้โดยสารตกค้าง
นายพิภพ กล่าวถึง กรณีที่มีชาวมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ตกค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ว่า ตั้งแต่วันแรกที่กลุ่มพันธมิตรฯเข้าปิดล้อมสนามบินสุวรณภูมิ ได้ประสานกับการท่าอากาศยานเป็นที่เรียบร้อยว่าจะให้ลำเลียงผู้โดยสารที่ตกค้างออกไปทั้งหมดก่อนเวลา 10.00 น. แต่ท้ายที่สุด การท่าอากาศยาน ไม่ได้แจ้งต่อผู้โดยสาร แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเกมการเมืองโยนบาปให้กลุ่มพันธมิตรฯ ต่อมาตนทราบภายหลังว่ามีชาวมุสลิมตกค้างอยู่ จึงได้แก้ปัญหาด้วยการประสานงานกับทาง 3 สายการบิน ประกอบด้วย การบินไทย กัลฟแอร์ อิหร่านแอร์ โดยในวันนี้เวลา 12.35 น. การบินไทย เที่ยวบินที่ TG 8534 จะบินเครื่องเปล่าออกจากสนามบินดอนเมืองไปรับผู้โดยสารที่สนามบินหาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเดินทางยังประเทศซาอุดิอาระเบีย ขณะที่สายการบินกลัฟแอร์ จะรับชาวมุสลิม ที่ผู้ตกค้างอยู่ในสนามบินอู่ตะเภา ไปยังนครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เช่นกัน ส่วนสายการบินอิหร่านแอร์นั้น ขณะนี้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งมีความสนิทกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลอิหร่าน ได้ขอให้สายการบินดังกล่าวมารับผู้โดยสารที่ยังตกค้างอยู่ ไปส่งยังประเทศซาอุฯไม่เกินวันที่ 2 ธ.ค.นี้
ส่วนกรณีที่ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้พันธมิตรฯ ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ กับท่าอากาศยานดอนเมือง พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พันธมิตรฯ มีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ตามขั้นตอนกฏหมายของการชุมนุม โดยทางทีมทนายของพันธมิตรฯได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งต่อศาลแพ่ง ที่ให้พันธมิตรฯออกจากสนามบินทั้งสองแห่ง
** “สนธิ” สวด “เสรีรัตน์”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ. สุวรรณภูมิ เป็นคนกลั่นแกล้งพ่อแม่พี่น้อง มีเครื่องบินจะมารับผู้ที่จะเดินทางไปทำพิธีฮัดจ์ แต่เขาไม่ให้เครื่องบินลง เป็นความชั่วช้าของคนในการท่าฯ
เขายังกล่าวถึงกรณีที่เอเอสทีวีถูกยิงเข้าใส่สำนักงานด้วยว่า มันยิงเราด้วยปืนกล ตำรวจควรจะทำหน้าที่ตำรวจ แต่ไปอยู่เบื้องหลังช่วยโจรพวกนี้ทำ ผมไม่ได้มาก็เพราะว่าต้องเฝ้าป้อมปราการที่สำคัญให้กับพี่น้อง เพราะถ้าไม่มีเอเอสทีวีการต่อสู้เราจะขาดตอน พนักงานเอเอสทีวี 80% มาอยู่กับพ่อแม่พี่น้องที่สุวรรณภูมิ ทำเนียบ ดอนเมือง ทั้ง 24 ชั่วโมง อุปกรณ์ทุกอย่างขนออกมาหมด”
นายสนธิกล่าวว่า วานนี้ฝ่ายรัฐบาลมีการส่งคนมาขอเจรจากับพันธมิตรฯ ผมบอกไปว่า วันนี้อารมณ์การเจรจามันไม่มีมานานแล้ว บอกว่าเงื่อนไขมีอะไร บอกว่าวันนี้ไม่ใช่ลาออกคนเดียวแล้ว แต่ต้องลาออกทั้งคณะ
นายสนธิกล่าวต่อว่า การขอเจรจาจากรัฐบาลแปลว่าอะไร คือแปลว่าแพ้แล้ว แพ้อย่างหมดรูป โกวิท วัฒนะ ตอนเที่ยงโทรไปสั่งทหารอากาศ ทหารเรือ ทหารบอกอยากให้ออกได้ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมา วันนี้หนังสือก็ยังไม่มา ตำรวจคนไหนฟังโกวิทย์อยู่ให้รู้ว่าวันที่ 2 ธ.ค. เขายุบ 3 พรรคแน่นอน เมื่อเขายุบแล้ว ไอ้คนที่ชื่อโกวิท ที่ชอบพูดว่า มันก็ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีต่อไป คนจะซวยคือตำรวจใช่หรือไม่ อยากซวยซ้ำสองก็เชิญ
“ชัยชนะมาอยู่แล้ว เราต้องยอมเสียสละส่วนตัวหน่อย พ่อแม่พี่น้องที่มีสินค้าส่งออก ร้องห่มร้องไห้ ผมเห็นใจแต่ต้องเอาชาติก่อน”
**ไม่เอาNBTเอียงข้างรัฐบาล
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อวานนี้ ยังคงเป็นไปด้วยความตึงเครียด ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวว่าทางรัฐบาลจะสลายม็อบ ทำให้พันธมิตรฯมีการตรวจตราอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันคนแปลกปลอมเข้ามาในที่ชุมนุม ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ
โดยที่ท่าอากาศยานดอนเมือง บริเวณหน้าอาคารภายในประเทศต่างมีประชาชนจำนวนมากทยอยเข้าร่วมการชุมนุม โดยการปราศัยบนเวทีมีนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ขึ้นปราศัยกล่าวโจมตีการบริหารงานของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งกล่าวถึงความเสียหายต่อประเทศชาติที่นายสมชายได้เข้ามาบริหารงานภายในระยะเวลา 13 วันก็เกิดเหตุการณ์การสลายการชุมนุมสั่งตำรวจเข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ต.ค.
ทั้งนี้นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ต้อนรับผู้สื่อข่าว และพนักงานของสถานีโทรทัศน์NBT เนื่องจากมีพฤติกรรมและจรรยาบรรณไม่เหมาะสมที่จะเป็นสื่อมวลชนอีกแล้ว เพราะรายงานข่าวไม่เป็นกลาง นำเสนอข่าวเพียงด้านเดียว
**เตรียมรับมือสลายม็อบ
ขณะที่นายสมศักดิ์ ได้สั่งให้กลุ่มผู้ชุมุนมเตรียมรับมือกับการสลายการชุมนุมตามพรก.ฉุกเฉิน ในเวลา 16.00น. ของวานนี้ โดยให้เตรียมความพร้อม อีกทั้งให้ผู้ชุมนุมที่มีรถยนต์ส่วนตัวไปจอดรถหน้าบริเวณคลังสินค้า หรือ Cargo เพื่อปิดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้าสลายการชุมนุมตามพรก.ฉุกเฉิน และยืนยันจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชนไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ขณะที่ช่วงเย็นได้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมเดินทางมาสมทบมากขึ้น โดยนายเติมศักดิ์ จารุปาน พิธีกรได้ปลุกเร้าผู้ร่วมชุมนุมว่าขณะนี้มีกระแสข่าวลือ ข่าวปล่อยว่าจะมีตำรวจเข้ามาสลายการชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งทางเวทีพันธมิตรที่ทำเนียบรัฐบาลได้ขอให้ผู้ชุมนุมที่จะมาร่วมใหม่ให้เดินทางมาเสริมกำลังเพิ่มเติมแล้ว นอกจากนี้พื้นที่สนามบินดอนเมืองอยู่ในการดูแลของกองทัพอากาศ ซึ่งทางกองทัพเองก็ได้ส่งกำลังทหารนอกเครื่องแบบสวมเสื้อเหลืองเข้ามาร่วมดูแลและเป็นแนวป้องกันให้ผู้ชุมนุมแล้ว
ต่อมาเวลา 17.30 น. กลุ่มการ์ดอาสาที่ตั้งเต้นท์ตรวจสัมภาระของผู้ที่มาร่วมชุมนุมบริเวณทางเข้าได้รับแจ้งว่ามีการตรวจพบวัตถุต้องสงสัยภายในมีโทรศัพท์มือถือและสิ่งของต่อสายอยู่ถูกทิ้งไว้ที่เสาไฟฟ้าใหญ่ด้านหน้าลานจอดรถของอาคาร ซึ่งภายหลังการตรวจสอบของการ์ดอาสาก็พบว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ให้แตกตื่น
**ลือตร.โรยใบปลิวเตือนสลายม็อบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมในช่วงเย็นมีประชาชนจำนวนมากเริ่มทยอยเข้าร่วมการชุมนุม เนื่องจากมีกระแสข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บชน. จะเตรียมเฮลิคอร์ปเตอร์โปรยใบปลิวให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุม ในเวลา 16.00น. แต่ปรากฎว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าวไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
เมื่อเวลา 17.24 น. บนเวทีพันธมิตรฯประกาศข่าวให้กับผู้ร่วมชุมนุมทราบว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุม แต่จะใช้วิธีสกัดไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ
**"สุชาติ"รับคำสั่งปราบพธม.
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยภายหลังเข้าหารือร่วมกับ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย และผู้นำเหล่าทัพว่า ตำรวจจะใช้วิธีคลี่คลายสถานการณ์จากเบาไปหาหนักตามลำดับขึ้นตอน โดยเน้นการเจรจาพูดคุยเป็นหลักไม่ต้องการใช้กำลังเข้าไปสลายผู้ชุมนุมให้มีการเสียเลือดเนื้อ สำหรับวิธีดำเนินการประกาศและชี้แจงนั้นมีกว่า 10 วิธี เช่นการบอกเพื่อนบอกญาติให้ไปบอกผู้ชุมนุมในนั้นว่า การเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวต่อว่า ทุกขั้นตอนปฏิบัติของตำรวจจะมีการหารืออย่างละเอียดรอบคอบและก่อนการปฏิบัติจะทำหนังสือเชิญตัวแทนกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ คณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตและสื่อมวลชน เข้าร่วมหารือและรับฟังความคิดเห็นทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
**ตีกลับขอถอนประกัน9แกนนำ**
วานนี้ 28 พ.ย. นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เปิดเผยว่า ช่วงเช้าตนได้รับหนังสือจากพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)ขอให้พิจารณาถอนประกันแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คนแล้ว โดยหนังสือดังกล่าวมีเพียง 1 ฉบับ ระบุไว้เฉพาะการขอเพิกถอนประกันเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดและสาเหตุที่จะให้พนักงานอัยการมีคำสั่งเพิกถอนประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ตนพิจารณาแล้วจึงได้ส่งหนังสือกลับไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อให้ทำหนังสือโดยระบุรายละเอียดเหตุผลในการถอนประกันให้ชัดเจนแล้วส่งกลับมาใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
**เตือน"ฉลอง"อย่ารุนแรง**
น.ส.อัญชลี ไพรีรัก หนึ่งในพิธีกรบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมคณะ เดินทางไปยังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อยื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 มิให้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ภายหลังปรากฏความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บช.ภ.1 จำนวนมาก เคลื่อนกำลังพร้อมอาวุธ มุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ
**ยูนิเซฟห่วงเด็กอยู่สนามบิน
กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ออกคำแถลงวานนี้(28) แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของเด็กๆ ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่กับบรรดาผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ขณะที่ตำรวจเตรียมการที่จะเข้าการเข้าสลายการชุมนุม
"ยูนิเซฟ ... มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสวัสดิภาพของเด็กๆ ผู้อยู่กับพ่อแม่และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ซึ่งกำลังเข้าร่วมการชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานระหว่างประเทศสุวรรณภูมิ" คำแถลงขององค์กรชำนัญพิเศษด้านเด็กของยูเอ็นแห่งนี้ระบุ
"ยูนิเซฟขอเรียกร้องบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบและบรรดาผู้นำของการชุมนุม ให้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นทุกอย่าง เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเด็กทุกๆ คนที่อยู่ตามสถานที่ดังกล่าวเหล่านี้"
เอเอฟพีรายงานโดยอ้างผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนบอกว่า มีเด็กเล็กๆ จำนวนหนึ่งยังคงอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลายๆ คนมีผ้าพันคอสีเหลืองและใส่เสื้อยืดสีเหลือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเคารพเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกำลังกลายเป็นเสมือนเครื่องแบบของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
**เลขาฯอาเซียนมาไทย
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการสมาคมอาเซียน กล่าววานนี้ (28)ว่า ได้เดินทางทางถนนจากมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ เพื่อประเมินดูว่า ไทยยังเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำของอาเซียนกลางเดือนหน้าหรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ซึ่งทำให้ท่าอากาศยานในกรุงเทพฯต้องปิดทำการ
นายสุรินทร์ซึ่งให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเอเอฟพี ระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์จากเมืองปีนังมายังกรุงเทพฯ บอกว่า การเดินทางของเขาเที่ยวนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อหารือเรื่องการประชุมซัมมิตของอาเซียนกับรัฐบาลไทย โดยการตัดสินใจขั้นสุดท้ายต้องขึ้นกับฝ่ายไทย "รัฐบาลไทยควรต้องตัดสินใจว่าตัวเองพร้อมแค่ไหน ตลอดจนเรื่องสถานการณ์ภายใน"
ทางด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์นั้น ได้บอกกับผู้สื่อข่าววานนี้ว่า ยังกำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ อยู่ โดยเห็นว่าหากต้องเลื่อนการประชุมนี้ออกไปก็จะสร้างความเสียหายให้แก่ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ทั้งนี้เขามองว่าถ้าสามารถเปิดสนามบินในกรุงเทพฯขึ้นได้ใหม่ ก็ยังสามารถจัดการประชุมได้ทันเวลา
ก่อนหน้านี้ ลาว, กัมพูชา, และเวียดนาม ได้เสนอแนะว่าไทยควรเลื่อนการประชุมนี้ออกไป โดยที่วานนี้ นายฮอร์ นัมฮอง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ก็ได้พูดย้ำเรื่องนี้อีก "ในความเห็นของผม เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเลื่อนการประชุมซัมมิตอาเซียน เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ซับซ้อนในปัจจุบันของไทย โดยที่ยังไม่มีใครที่สามารถควบคุมสถานการณ์อันเป็นอนาธิปไตยนี้ได้" เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น