ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.ทหารไทย กางแผนปีหน้า ตั้งเป้าเพิ่มเอยูเอ็มอีก 3 หมื่นล้าน เตรียมส่งกองทุนความเสี่ยงต่ำเอาใจนักลงทุน พร้อมชดเชยกองทุนเกาหลีใต้ที่ทยอยครบอายุ ยอมรับสิ้นปีนี้ สินทรัพย์ติดลบ หลังแบงก์ดูดเงินฝาก แถมโดนคู่แข่งในค่าย ดึงเงิน ดึงลูกค้า แต่ยังได้อานิสงส์ลูกค้าโบรก ส่งเงินเล่นหุ้นพักในมันนี่มาร์เกต ลุ้นปีหน้าแบงก์หยุดขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เงินไหลกลับเข้ากองทุนรวมอีกครั้ง
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด หรือ TMBAM เปิดเผยถึงแผนงานในปีหน้าว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนรวม 26,000 ล้านบาทและกองทุนสำรองเสี้ยงชีพ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในปีหน้า การออกกองทุนจะต้องหาอะไรที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งผู้จัดการกองทุนอาจจะต้องดูว่าพันธบัตรรัฐบาล ไทยในต่างประเทศมีความน่าสนใจหรือไม่ และหลังจากลงทุนกลับมาแล้ว ผลตอบแทนที่ได้ความเสี่ยงต้องไม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ความท้าทายที่สำคัญสำหรับปีหน้าคือ การหากองทุนเข้ามาชดเชยกองทุนที่จะทยอยครบอายุในปีหน้า โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ซึ่งทยอยครบอายุการลงทุนแล้ว โดยที่ผ่านมากองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ของบริษัท ได้ครบอายุการลงทุนไปแล้ว 2 กองทุน ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ก็อยู่ลงทุนกับกองทุน ของเราต่อ ทั้งกองทุนพันธบัตรรัฐบาล กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ
'ตอนนี้นักลงทุนจะมองหากองทุนที่ความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ซึ่งกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋วเงินของธนาคารพาณิชย์ของเราที่เปิดขายไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ปรากฏว่าไม่ได้รับความสนใจ จากนักลงทุนมากนัก เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าเป็นการลงทุนธนาคารก็ไม่กล้าเข้าไปลงทุนแล้ว เพราะกลัวความเสี่ยง' นางโชติกากล่าว
นางโชติกากล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ คงไม่เป็นไปตามเป้า 15% ตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันทรัพย์สินสุทธิยังติดลบอยู่ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท ทำให้สินทรัพย์รวมทั้งปีนี้อาจจะลดลงจาก 1.3 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่สินทรัพย์ลดลงดังกล่าว เริ่มจากการครบอายุการลงทุนของ กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารทางการเงินของสถาบันการ เงินในต่างประเทศ หรือ ECP ในช่วง 2 เดือนแรก ต่อจากนั้นก็เป็นการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนถูกโยกเข้าไปในระบบเงินฝากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายน เราได้ออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ออกมารองรับ ซึ่งสามารถช่วยรองรับกองทุน ECP ที่ครบอายุได้บ้าง แต่หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายน ธนาคารทหารไทยซึ่งเป็นบริษัทแม่ ขายหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจัดการกองทุนในเครือของไอเอ็นจีผู้ถือหุ้นรายใหม่ ทำให้เงินลงทุนส่วนหนึ่งจากการเปิดขายกองทุนใหม่ลดลง นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าส่วนหนึ่งโยกเงินลงทุนไปลงทุนกับไอเอ็นจีด้วย ซึ่งหลังจากผ่านระยะหนึ่งจนถึงขณะนี้ เหตุการณ์ เริ่มนิ่งขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้เงินลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทยธนบดีและกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐลดลงค่อนข้างมาก โดยในส่วนของกองทุนเปิดทหารไทยธนบดีลดลงจาก 50,000 ล้านบาทมาอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนเปิดทหารไทย ธนรัฐ เงินลงทุนลดลงจาก 25,000 ล้านบาทมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
นางโชติกากล่าวว่า ถึงแม้ภาพรวมจะมีปัจจัยทำให้สินทรัพย์ลดลง แต่ที่ผ่านมาเราเองได้เซลลิ่งเอเจนต์รายใหม่เข้ามาช่วยบ้าง โดยเฉพาะจากบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งมีเงินลงทุนเข้ามาในกองทุนตลาดเงินมากขึ้น (มันนี่มาร์เกต) ทั้งกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากเงินขายหุ้นของลูกค้า โบรกเกอร์ ที่เอาเงินมาพักไว้ในช่วงที่ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
สำหรับภาพรวมธุรกิจกองทุนในปีหน้า มองว่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจกองทุนรวม เพราะปีหน้าเศรษฐกิจในประเทศส่งสัญญาณ ชะลอตัวชัดเจน ซึ่งจะทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อน้อยลง และก็จะไม่แข่งขันระดมเงินฝากอย่างเช่นในปีนี้ ดังนั้น เงินลงทุนก็น่าจะ ไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเห็นการระดมเงินฝากอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการตอบรับ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่ประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมา ก่อนจะเลื่อนออกไป
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด หรือ TMBAM เปิดเผยถึงแผนงานในปีหน้าว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนรวม 26,000 ล้านบาทและกองทุนสำรองเสี้ยงชีพ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในปีหน้า การออกกองทุนจะต้องหาอะไรที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งผู้จัดการกองทุนอาจจะต้องดูว่าพันธบัตรรัฐบาล ไทยในต่างประเทศมีความน่าสนใจหรือไม่ และหลังจากลงทุนกลับมาแล้ว ผลตอบแทนที่ได้ความเสี่ยงต้องไม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ความท้าทายที่สำคัญสำหรับปีหน้าคือ การหากองทุนเข้ามาชดเชยกองทุนที่จะทยอยครบอายุในปีหน้า โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ซึ่งทยอยครบอายุการลงทุนแล้ว โดยที่ผ่านมากองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ของบริษัท ได้ครบอายุการลงทุนไปแล้ว 2 กองทุน ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ก็อยู่ลงทุนกับกองทุน ของเราต่อ ทั้งกองทุนพันธบัตรรัฐบาล กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ
'ตอนนี้นักลงทุนจะมองหากองทุนที่ความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ซึ่งกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋วเงินของธนาคารพาณิชย์ของเราที่เปิดขายไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ปรากฏว่าไม่ได้รับความสนใจ จากนักลงทุนมากนัก เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าเป็นการลงทุนธนาคารก็ไม่กล้าเข้าไปลงทุนแล้ว เพราะกลัวความเสี่ยง' นางโชติกากล่าว
นางโชติกากล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ คงไม่เป็นไปตามเป้า 15% ตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันทรัพย์สินสุทธิยังติดลบอยู่ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท ทำให้สินทรัพย์รวมทั้งปีนี้อาจจะลดลงจาก 1.3 แสนล้านบาทมาอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่สินทรัพย์ลดลงดังกล่าว เริ่มจากการครบอายุการลงทุนของ กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารทางการเงินของสถาบันการ เงินในต่างประเทศ หรือ ECP ในช่วง 2 เดือนแรก ต่อจากนั้นก็เป็นการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนถูกโยกเข้าไปในระบบเงินฝากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายน เราได้ออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ออกมารองรับ ซึ่งสามารถช่วยรองรับกองทุน ECP ที่ครบอายุได้บ้าง แต่หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายน ธนาคารทหารไทยซึ่งเป็นบริษัทแม่ ขายหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทจัดการกองทุนในเครือของไอเอ็นจีผู้ถือหุ้นรายใหม่ ทำให้เงินลงทุนส่วนหนึ่งจากการเปิดขายกองทุนใหม่ลดลง นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าส่วนหนึ่งโยกเงินลงทุนไปลงทุนกับไอเอ็นจีด้วย ซึ่งหลังจากผ่านระยะหนึ่งจนถึงขณะนี้ เหตุการณ์ เริ่มนิ่งขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้เงินลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทยธนบดีและกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐลดลงค่อนข้างมาก โดยในส่วนของกองทุนเปิดทหารไทยธนบดีลดลงจาก 50,000 ล้านบาทมาอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนเปิดทหารไทย ธนรัฐ เงินลงทุนลดลงจาก 25,000 ล้านบาทมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
นางโชติกากล่าวว่า ถึงแม้ภาพรวมจะมีปัจจัยทำให้สินทรัพย์ลดลง แต่ที่ผ่านมาเราเองได้เซลลิ่งเอเจนต์รายใหม่เข้ามาช่วยบ้าง โดยเฉพาะจากบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งมีเงินลงทุนเข้ามาในกองทุนตลาดเงินมากขึ้น (มันนี่มาร์เกต) ทั้งกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากเงินขายหุ้นของลูกค้า โบรกเกอร์ ที่เอาเงินมาพักไว้ในช่วงที่ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
สำหรับภาพรวมธุรกิจกองทุนในปีหน้า มองว่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจกองทุนรวม เพราะปีหน้าเศรษฐกิจในประเทศส่งสัญญาณ ชะลอตัวชัดเจน ซึ่งจะทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อน้อยลง และก็จะไม่แข่งขันระดมเงินฝากอย่างเช่นในปีนี้ ดังนั้น เงินลงทุนก็น่าจะ ไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเห็นการระดมเงินฝากอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการตอบรับ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่ประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมา ก่อนจะเลื่อนออกไป