ในการชุมนุมครั้งล่าสุดที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกว่าเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ซึ่งหากนับถึงวันนี้ก็กินเวลายาวนานเกือบ 200 วัน หรือ กว่า 6 เดือนแล้ว
การชุมนุมแบบต่อเนื่องของกลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย ผ่านฤดูกาลของประเทศไทยมาครบถ้วน ทั้งร้อน ฝน และหนาว
แรกเริ่มเดิมทีเมื่อเริ่มต้นการชุมนุมแบบยืดเยื้อ หลายคนปรามาสว่า พอเข้าหน้าฝนการชุมนุมก็คงสลายตัวไปเอง ทว่า พันธมิตรฯ ได้พิสูจน์ด้วยการกระทำแล้วว่า การอดทนชุมนุมท่ามกลาง “พายุฝน” กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับการต้องอดทนอยู่กับรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มุ่งแต่จะคอร์รัปชันหาผลประโยชน์ส่วนตน และทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ในช่วง 6 เดือนกว่ามานี้ พันธมิตรฯ หลายล้านคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาชุมนุม และนั่งเป็นกองหนุนอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานล้วนแล้วผ่านประสบการณ์มามากหลาย ทั้งดีใจอย่างสุดซึ้งและโศกสลดน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ทั้งปลาบปลื้มกับรสชาติแห่งชัยชนะและจมจ่อมกับบรรยากาศของความสูญเสีย
ขณะที่ผู้เสียสละหลายคนก็ได้ลิ้มรสชาติของ “คุก-ตะราง-หมายจับ-หมายเรียก” เป็นครั้งแรกในชีวิต
ทั้งนี้ ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดระยะเวลาในการชุมนุมที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ หนึ่ง คือ การสูญเสียปราสาทพระวิหารและดินแดนโดยรอบ สอง คือสูญเสียมิตรร่วมรบไปแล้ว 4 คน น้องโบว์ อังคณา, สารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท.เมธี, พี่เจนกิจ กลัดสาคร และน้องยุทธพงษ์ เสมอภาค สาม คือ การที่พี่ๆ น้องๆ อีกหลายร้อยคนที่ต้องสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใจกลางพระนคร และต่างจังหวัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งหมดนี้ได้ขมวดปมมาเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของสุดท้าย หรือที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองเรียกขานว่า “สงครามม้วนเดียวจบ”
หลายต่อหลายคนเมื่อได้ยินคำกล่าวของ พล.ต.จำลอง แล้วก็หันมาถามผมว่ามันจะม้วนเดียวจบได้อย่างไร?
“ไม่รัฐบาลชั่วจบ พันธมิตรฯ ก็จบ และประเทศชาติก็จบเห่ไง” ผมตอบ
ประชาชนจำนวนมาก และผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ประเทศไทยหลงประเด็นไปว่า พันธมิตรฯ คือ ต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกของคนในสังคม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาลืมนึกไปว่า พันธมิตรฯ นี่แหละคือ โดมิโนตัวแรกที่ถ้าหากล้ม ก็จะนำพาประเทศไปสู่เส้นทางของรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยม ที่อาศัยกลไกของการโกงการเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐในทันที
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบศาลยุติธรรมของประเทศไทยก็จะสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นที่แน่นอนว่า ส.ส.ทาสระบอบทักษิณก็จะต้องเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้นายใหญ่ของตัวเอง รอดพ้นจากคำตัดสินของศาลฎีกาในคดีทุจริตประพฤติมิชอบกรณีซื้อที่ดินรัชดา พร้อมกันนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคไทยรักไทยก็จะกลายเป็นโจ๊กของนักการเมือง เพราะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนก็จะได้สิทธิในการกลับมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองใหม่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดรวมหัวกันโกงการเลือกตั้งครั้งมโหฬาร
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม องค์กรอิสระทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ปปง. กกต. สตง. ฯลฯ ก็จะถูกผลักให้กลับเข้าไปสู่ยุคมืด ยุคถูกครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม กองทัพไทยก็จะกลายเป็นกองทัพของ “นักการเมือง” ไปโดยสมบูรณ์ มิใช่กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพของชาติและประชาชนอีกต่อไป ด้วยหลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา กองทัพถูกจัดระเบียบให้มีความเข้มแข็งในตัวเองและมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นมา สังเกตได้จากในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อกองทัพขออะไร สั่งซื้ออะไรรัฐบาลก็ไม่กล้าขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พันธมิตรฯ เริ่มชุมนุม ผบ.เหล่าทัพต่างๆ ยิ่งได้รับความเกรงอกเกรงใจจากนักการเมืองอย่างมาก
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบการเมืองของไทยก็จะเข้าสู่ยุค “ธนกิจการเมือง” เต็มตัว นักการเมืองทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรคจะมองการเมืองเป็น “การลงทุน” ที่ต้องหวังผลตอบแทน มิใช่ “การเสียสละ” อีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อนักการเมืองลงทุนในช่วงเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจ พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเขามีสิทธิโดยชอบธรรมในการ “ถอนทุน” และหากำไรส่วนเกิน ด้วยการคอร์รัปชันหรือเรียกร้องค่านายหน้าจากงบประมาณแผ่นดิน เพื่อประกอบอาชีพนักการเมืองของเขา และสืบทอดอำนาจทางการเมืองในวงศ์วานและเครือญาติต่อไป
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ตระกูลชินวัตรและเครือญาติก็จะกลับมาเป็นศูนย์กลางของอำนาจต่อรองทางธุรกิจของประเทศอีกครั้ง บริษัทใดต้องการประมูลโครงการก็ต้องวิ่งเข้าหาคนในตระกูลนี้ บริษัทใดอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องแบ่งหุ้นลมให้ สื่อใดอยากได้โฆษณาจากภาครัฐก็ต้องคอยเอาอกเอาใจ เป็นต้น
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมจะสูญสิ้น เพราะทุกคนจะเอาอย่างนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตนทำผิดพลาดไว้ ทุกคนพร้อมจะเสี่ยงกับการทำผิดวินัย การโกงและใช้ความรุนแรงเพราะรู้ดีว่าตราบใดที่มีเงินมีอำนาจตนไม่มีทางจะถูกตัดสินว่าผิด ข้าราชการระดับสูงสามารถจะหาเศษหาเลยกับลูกน้อง พาเด็กคราวลูกไปกินข้าว เข้าโรงแรมม่านรูดได้ตามใจชอบแม้ในเวลาราชการ
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและไม่มีทางยุติ เพราะหลักฐานระบุชัดว่าในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ เป็นตัวจุดและกระพือเพลิงแห่งการใช้ความรุนแรงในภาคใต้ให้โหมหนัก นอกจากนี้ความพยายามผลักดันให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บรรจุเอาข้อความที่ว่า “ศาสนาพุทธ” เป็นศาสนาประจำชาติก็ยิ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนาให้หนักหนาขึ้นไปอีก
และที่สำคัญยิ่ง ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด เผ่าพันธุ์ใด ศาสนาใดอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะต้องตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยอย่างหนัก และในที่สุดก็จะกลายเป็นเพียงสถาบันที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าในรัฐธรรมนูญที่พลพรรคระบอบทักษิณกำลังผลักดันอยู่นั้นเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่พยายามลิดรอนพระราชอำนาจ และสิทธิของกษัตริย์อย่างชัดเจน อย่างเช่น ในเรื่องของการล้มเลิกสถาบันองคมนตรี
ขณะเดียวกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นที่แน่ชัดว่า คนในระบอบทักษิณได้พยายามแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า สถาบันกษัตริย์นั้นทำให้ประเทศไทยด้อยพัฒนา ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง และมีความพยายามในการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
แน่นอนว่า กระบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์นี้จะขยายตัวและเติบโตเป็นร้อยเท่าพันทวี เมื่อพันธมิตรฯ สลายตัวไป หลังจากสงครามม้วนเดียวจบครั้งนี้
หากใช้มาตรวัดทางความรู้สึก ระยะเวลา 6 เดือนของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อาจดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนานและไม่จบไม่สิ้นเสียที ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ปราศจาก 6 เดือนของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ และระบอบทักษิณกลับมาปกครองประเทศอีกครั้งแล้ว ระยะเวลาที่ว่าจะไม่ใช่ 6 เดือน แต่จะเป็นยี่สิบปี สามสิบปี ห้าสิบปี จนกว่าจะมีผู้หาญกล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจแห่งอธรรมอีกครั้ง
ถ้าวันนี้ท่านไม่ลุกขึ้นมามีส่วนร่วมกับ “สงครามม้วนเดียวจบ” ณ วันนี้แล้ว ท่านจะรอถึงเมื่อไหร่?
การชุมนุมแบบต่อเนื่องของกลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย ผ่านฤดูกาลของประเทศไทยมาครบถ้วน ทั้งร้อน ฝน และหนาว
แรกเริ่มเดิมทีเมื่อเริ่มต้นการชุมนุมแบบยืดเยื้อ หลายคนปรามาสว่า พอเข้าหน้าฝนการชุมนุมก็คงสลายตัวไปเอง ทว่า พันธมิตรฯ ได้พิสูจน์ด้วยการกระทำแล้วว่า การอดทนชุมนุมท่ามกลาง “พายุฝน” กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับการต้องอดทนอยู่กับรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มุ่งแต่จะคอร์รัปชันหาผลประโยชน์ส่วนตน และทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ในช่วง 6 เดือนกว่ามานี้ พันธมิตรฯ หลายล้านคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาชุมนุม และนั่งเป็นกองหนุนอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานล้วนแล้วผ่านประสบการณ์มามากหลาย ทั้งดีใจอย่างสุดซึ้งและโศกสลดน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ทั้งปลาบปลื้มกับรสชาติแห่งชัยชนะและจมจ่อมกับบรรยากาศของความสูญเสีย
ขณะที่ผู้เสียสละหลายคนก็ได้ลิ้มรสชาติของ “คุก-ตะราง-หมายจับ-หมายเรียก” เป็นครั้งแรกในชีวิต
ทั้งนี้ ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดระยะเวลาในการชุมนุมที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ หนึ่ง คือ การสูญเสียปราสาทพระวิหารและดินแดนโดยรอบ สอง คือสูญเสียมิตรร่วมรบไปแล้ว 4 คน น้องโบว์ อังคณา, สารวัตรจ๊าบ พ.ต.ท.เมธี, พี่เจนกิจ กลัดสาคร และน้องยุทธพงษ์ เสมอภาค สาม คือ การที่พี่ๆ น้องๆ อีกหลายร้อยคนที่ต้องสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใจกลางพระนคร และต่างจังหวัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งหมดนี้ได้ขมวดปมมาเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของสุดท้าย หรือที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองเรียกขานว่า “สงครามม้วนเดียวจบ”
หลายต่อหลายคนเมื่อได้ยินคำกล่าวของ พล.ต.จำลอง แล้วก็หันมาถามผมว่ามันจะม้วนเดียวจบได้อย่างไร?
“ไม่รัฐบาลชั่วจบ พันธมิตรฯ ก็จบ และประเทศชาติก็จบเห่ไง” ผมตอบ
ประชาชนจำนวนมาก และผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ประเทศไทยหลงประเด็นไปว่า พันธมิตรฯ คือ ต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกของคนในสังคม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาลืมนึกไปว่า พันธมิตรฯ นี่แหละคือ โดมิโนตัวแรกที่ถ้าหากล้ม ก็จะนำพาประเทศไปสู่เส้นทางของรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยม ที่อาศัยกลไกของการโกงการเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐในทันที
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบศาลยุติธรรมของประเทศไทยก็จะสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นที่แน่นอนว่า ส.ส.ทาสระบอบทักษิณก็จะต้องเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้นายใหญ่ของตัวเอง รอดพ้นจากคำตัดสินของศาลฎีกาในคดีทุจริตประพฤติมิชอบกรณีซื้อที่ดินรัชดา พร้อมกันนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคไทยรักไทยก็จะกลายเป็นโจ๊กของนักการเมือง เพราะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนก็จะได้สิทธิในการกลับมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองใหม่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดรวมหัวกันโกงการเลือกตั้งครั้งมโหฬาร
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม องค์กรอิสระทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ปปง. กกต. สตง. ฯลฯ ก็จะถูกผลักให้กลับเข้าไปสู่ยุคมืด ยุคถูกครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม กองทัพไทยก็จะกลายเป็นกองทัพของ “นักการเมือง” ไปโดยสมบูรณ์ มิใช่กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพของชาติและประชาชนอีกต่อไป ด้วยหลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา กองทัพถูกจัดระเบียบให้มีความเข้มแข็งในตัวเองและมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นมา สังเกตได้จากในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อกองทัพขออะไร สั่งซื้ออะไรรัฐบาลก็ไม่กล้าขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พันธมิตรฯ เริ่มชุมนุม ผบ.เหล่าทัพต่างๆ ยิ่งได้รับความเกรงอกเกรงใจจากนักการเมืองอย่างมาก
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบการเมืองของไทยก็จะเข้าสู่ยุค “ธนกิจการเมือง” เต็มตัว นักการเมืองทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรคจะมองการเมืองเป็น “การลงทุน” ที่ต้องหวังผลตอบแทน มิใช่ “การเสียสละ” อีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อนักการเมืองลงทุนในช่วงเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจ พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเขามีสิทธิโดยชอบธรรมในการ “ถอนทุน” และหากำไรส่วนเกิน ด้วยการคอร์รัปชันหรือเรียกร้องค่านายหน้าจากงบประมาณแผ่นดิน เพื่อประกอบอาชีพนักการเมืองของเขา และสืบทอดอำนาจทางการเมืองในวงศ์วานและเครือญาติต่อไป
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ตระกูลชินวัตรและเครือญาติก็จะกลับมาเป็นศูนย์กลางของอำนาจต่อรองทางธุรกิจของประเทศอีกครั้ง บริษัทใดต้องการประมูลโครงการก็ต้องวิ่งเข้าหาคนในตระกูลนี้ บริษัทใดอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องแบ่งหุ้นลมให้ สื่อใดอยากได้โฆษณาจากภาครัฐก็ต้องคอยเอาอกเอาใจ เป็นต้น
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมจะสูญสิ้น เพราะทุกคนจะเอาอย่างนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตนทำผิดพลาดไว้ ทุกคนพร้อมจะเสี่ยงกับการทำผิดวินัย การโกงและใช้ความรุนแรงเพราะรู้ดีว่าตราบใดที่มีเงินมีอำนาจตนไม่มีทางจะถูกตัดสินว่าผิด ข้าราชการระดับสูงสามารถจะหาเศษหาเลยกับลูกน้อง พาเด็กคราวลูกไปกินข้าว เข้าโรงแรมม่านรูดได้ตามใจชอบแม้ในเวลาราชการ
ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและไม่มีทางยุติ เพราะหลักฐานระบุชัดว่าในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ เป็นตัวจุดและกระพือเพลิงแห่งการใช้ความรุนแรงในภาคใต้ให้โหมหนัก นอกจากนี้ความพยายามผลักดันให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บรรจุเอาข้อความที่ว่า “ศาสนาพุทธ” เป็นศาสนาประจำชาติก็ยิ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนาให้หนักหนาขึ้นไปอีก
และที่สำคัญยิ่ง ถ้าพันธมิตรฯ ล้ม ก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด เผ่าพันธุ์ใด ศาสนาใดอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะต้องตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยอย่างหนัก และในที่สุดก็จะกลายเป็นเพียงสถาบันที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าในรัฐธรรมนูญที่พลพรรคระบอบทักษิณกำลังผลักดันอยู่นั้นเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่พยายามลิดรอนพระราชอำนาจ และสิทธิของกษัตริย์อย่างชัดเจน อย่างเช่น ในเรื่องของการล้มเลิกสถาบันองคมนตรี
ขณะเดียวกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นที่แน่ชัดว่า คนในระบอบทักษิณได้พยายามแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า สถาบันกษัตริย์นั้นทำให้ประเทศไทยด้อยพัฒนา ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง และมีความพยายามในการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
แน่นอนว่า กระบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์นี้จะขยายตัวและเติบโตเป็นร้อยเท่าพันทวี เมื่อพันธมิตรฯ สลายตัวไป หลังจากสงครามม้วนเดียวจบครั้งนี้
หากใช้มาตรวัดทางความรู้สึก ระยะเวลา 6 เดือนของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อาจดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนานและไม่จบไม่สิ้นเสียที ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ปราศจาก 6 เดือนของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ และระบอบทักษิณกลับมาปกครองประเทศอีกครั้งแล้ว ระยะเวลาที่ว่าจะไม่ใช่ 6 เดือน แต่จะเป็นยี่สิบปี สามสิบปี ห้าสิบปี จนกว่าจะมีผู้หาญกล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจแห่งอธรรมอีกครั้ง
ถ้าวันนี้ท่านไม่ลุกขึ้นมามีส่วนร่วมกับ “สงครามม้วนเดียวจบ” ณ วันนี้แล้ว ท่านจะรอถึงเมื่อไหร่?