ในที่สุดการดิ้นรนต่อสู้ของ“ระบอบทักษิณ” ก็ได้มาถึงจุดสำคัญอย่างยิ่งยวดแล้ว หลังจากสังคมเริ่มรู้ทัน และนับวันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ดังนั้นสารพัดวิธีที่นำมาใช้ทั้งระดมมวลชนคนเสื้อแดง ใช้สื่อของรัฐบิดเบือนความจริง จากดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ หรือใช้กำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าปราบปรามประชาชนฝ่ายต่อต้าน ทำมาทุกทาง แต่ก็ยังไม่ได้ผล
**ตรงกันข้าม ยังต้องพ่ายแพ้ตามรายทางมาตลอด
ล่าสุดยังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษก เป็นชนักปักหลัง สะกดไม่ให้เคลื่อนไหวโดยสะดวกเสียอีก
ที่สำคัญผลจากคดีดังกล่าวยังทำให้หนทางในการขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษพลอย “ริบหรี่” ลงไปด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ได้ถูก“ยื้อ” มานานนับเดือน เพราะข้ออ้างในเรื่องความไม่ปลอดภัยในยุคที่รัฐบาลของ “น้องเขย” ที่มีพรรคพลังประชาชน ที่ตัวเองค้ำจุนอยู่ อีกทั้งยังเกิดขึ้นในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ฝ่ายประเทศตะวันตกยึดถือเป็นรูปแบบในประเทศด้อยพัฒนาทั่วโลกเสียด้วย เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมประกอบกันแล้วมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใดนัก
ถ้าการลี้ภัยในประเทศอังกฤษมีอันต้องเป็นหมันจริงๆ ก็ย่อมส่งผลให้เครดิตของเขาในสายตาต่างประเทศพลอยถูกกระทบกระเทือนไปด้วย เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันแล้วว่าอังกฤษ ถือเป็นประเทศต้นแบบของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เพราะถ้าได้รับการปฏิเสธ มันก็ย่อมมีเหตุผลอธิบายตามมา
พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่อยากไปเป็นประชาชนกิตติมศักดิ์ของประเทศ “บาฮามาส” หรือ ประเทศในหมู่เกาะ “เบอร์มิวดา” อะไรนั่นหรอก
**นาทีนี้ จึงต้องทำทุกทางเพื่อให้เป้าหมายในการอาศัยอยู่ในประเทศนั้นฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองเกิดขึ้นให้ได้
ขณะเดียวกันยังต้องทำทุกทางเพื่อให้ตัวเอง และครอบครัว รวมไปถึงเครือข่ายได้พ้นผิดหวัง“ปลดล็อก” ให้กลับมาโลดแล่นทางการเมืองได้อีกครั้ง
และให้บังเอิญเป็นช่วงที่มีความเคลื่อนไหวหลายเหตุการณ์ประจวบเหมาะเข้ามาพอดี ไม่ว่าจะเป็นการระดมพลสนับสนุนกันครั้งใหญ่อีกรอบ ภายใต้ชื่อสารพัด เช่นกลุ่ม นปก.หรือ นปช. กลุ่มพลังกู้วิกฤตชาติ ของ สล้าง บุนนาค ที่จู่ๆโผล่หน้าพรวดพราดออกมา โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยๆ หรือแม้กระทั่งการระดมมวลชนภายใต้ชื่อรายการ “ความจริงวันนี้” เป็นต้น
สอดรับกับการเคลื่อนไหวเพื่อยื่นเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งในรูปแบบของ คปพร.ฉบับ “หมอเหวง” หรือแม้กระทั่งล่าสุด ความพยายามผลักดันของรัฐบาลที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การแต่งตั้ง ส.ส.ร.3 โดยร่นเวลาเข้ามาให้เหลือ 120 วัน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
** แต่เป้าหมายแท้จริงคือ เน้นเฉพาะบางมาตรา เพื่อให้ตัวเองและพรรคของตัวเองรอดพ้นจากความผิด เท่านั้น
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็คือ การทำรัฐประหารของบรรดานายทหารประเภท “คนกันเอง” เพื่อโค่นล้มรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และนำไปสู่การนิรโทษกรรมความผิดทั้งหมดที่ตัวเองและพรรคพวกได้ร่วมกันก่อขึ้นก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะเป็นคดียุบพรรคพลังประชาชน ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบ และกำลังอยู่ในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ และกำลังจะพิจารณาชี้ขาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รวมทั้งล่าสุดเพิ่งถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และอีกหลายคดีทุจริตที่ตามมาเป็นพรวน
** ถ้าจะให้รอดคุกก็น่าจะมี “ทางลัด” ทางเดียวเท่านั้นคือ การรัฐประหารเพื่อล้มกระดานทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีความเสี่ยงสูง เพราะในสภาพบรรยากาศที่สังคมรู้เท่าทันแบบนี้โอกาสที่ประสบความสำเร็จ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ติดตามสถานการณ์การเมือง และเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับรัฐบาลมาตั้งแต่ต้นก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากกับปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ว่าล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงมาจากแหล่งเดียวกัน มีการยิงกระสุนมาจากลอนดอน ผ่านตัวแทนเครือข่ายในประเทศไทย ส่งถึงมือกันมาเป็นทอดๆ
ขณะเดียวกัน เป็นการเร่งโหมแรงเพื่อแข่งกับเวลา เพราะทุกอย่างงวดเข้ามาทุกขณะ แต่ในอีกมุมหนึ่งเมื่อยิ่งเร่งมือมากเท่าใดโอกาสพลาดพลั้งถูกกินรวบหมดหน้าตักก็ย่อมมีสูงไม่น้อย
**เมื่อเดิมพันข้างหน้ามันสูงยิ่งยวด ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
การออกแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ส่งตรงไปยังสื่อต่างประเทศทั่วโลกในช่วงเวลานี้เป้าหมายสำคัญคือ มุ่งโจมตีสถาบันตุลาการอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ยุติธรรม” กล่าวหาว่าสมคบกันทำลายตัวเขา มาตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49
และที่โอหังบังอาจที่สุด ก็คือเนื้อหาในแถลงการณ์ฉบับเดียวกันยังมุ่งให้ร้าย “ชนชั้นสูง” เป็นหลัก หาว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ขณะเดียวกันก็ยกตัวเองว่า “เป็นตัวแทนของหลักการประชาธิปไตยเสรี เป็นความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากจนในประเทศ”
ถ้าพิจารณาจากเนื้อหาของแถลงการณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในครั้งนี้ นอกจากแสดงให้เห็นถึง “ความเห็นแก่ตัว” อย่างร้ายกาจแล้ว ยังมุ่งทำร้าย ทำลายกระบวนการศาลไทย อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
อีกด้านหนึ่งยังเปิดหน้าแสดง“ตัวตน” อย่างชัดเจนที่สุด จงใจมุ่งทำลาย “ชนชั้นสูง” ซึ่งเป้าหมายก็คือสื่อไปถึง “สถาบันเบื้องสูง”หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณากันเชื่อมโยง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะกลุ่มบุคคลที่แวดล้อมและเคลื่อนไหวสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ นปก. หรือ นปช. และกลุ่มแนวร่วมหลายคน รวมไปถึง จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงษ์ คนเหล่านี้ล้วนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้วทั้งสิ้น
**นาทีนี้ถือว่า ทักษิณ ได้เปิดหน้าชก “แลกหมัด” กันตรงตัวแล้ว ทุกอย่างมันขมวดปมเข้ามาจนใกล้ถึงบทสรุปแล้ว และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้องดิ้นรนกันทุกทาง เพื่อระดมสรรพกำลังเข้ามาสู้ เพราะนี่คือ “สงครามครั้งสุดท้าย” เช่นเดียวกัน
**ส่วนผลของสงครามจะทำให้คนไทยและประเทศไทยจะต้องพินาศฉิบหายอย่างไรไม่พักต้องไปสนใจ ขอให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายเป็นพอ !!
**ตรงกันข้าม ยังต้องพ่ายแพ้ตามรายทางมาตลอด
ล่าสุดยังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษก เป็นชนักปักหลัง สะกดไม่ให้เคลื่อนไหวโดยสะดวกเสียอีก
ที่สำคัญผลจากคดีดังกล่าวยังทำให้หนทางในการขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษพลอย “ริบหรี่” ลงไปด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ได้ถูก“ยื้อ” มานานนับเดือน เพราะข้ออ้างในเรื่องความไม่ปลอดภัยในยุคที่รัฐบาลของ “น้องเขย” ที่มีพรรคพลังประชาชน ที่ตัวเองค้ำจุนอยู่ อีกทั้งยังเกิดขึ้นในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ฝ่ายประเทศตะวันตกยึดถือเป็นรูปแบบในประเทศด้อยพัฒนาทั่วโลกเสียด้วย เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมประกอบกันแล้วมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าใดนัก
ถ้าการลี้ภัยในประเทศอังกฤษมีอันต้องเป็นหมันจริงๆ ก็ย่อมส่งผลให้เครดิตของเขาในสายตาต่างประเทศพลอยถูกกระทบกระเทือนไปด้วย เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันแล้วว่าอังกฤษ ถือเป็นประเทศต้นแบบของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เพราะถ้าได้รับการปฏิเสธ มันก็ย่อมมีเหตุผลอธิบายตามมา
พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่อยากไปเป็นประชาชนกิตติมศักดิ์ของประเทศ “บาฮามาส” หรือ ประเทศในหมู่เกาะ “เบอร์มิวดา” อะไรนั่นหรอก
**นาทีนี้ จึงต้องทำทุกทางเพื่อให้เป้าหมายในการอาศัยอยู่ในประเทศนั้นฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองเกิดขึ้นให้ได้
ขณะเดียวกันยังต้องทำทุกทางเพื่อให้ตัวเอง และครอบครัว รวมไปถึงเครือข่ายได้พ้นผิดหวัง“ปลดล็อก” ให้กลับมาโลดแล่นทางการเมืองได้อีกครั้ง
และให้บังเอิญเป็นช่วงที่มีความเคลื่อนไหวหลายเหตุการณ์ประจวบเหมาะเข้ามาพอดี ไม่ว่าจะเป็นการระดมพลสนับสนุนกันครั้งใหญ่อีกรอบ ภายใต้ชื่อสารพัด เช่นกลุ่ม นปก.หรือ นปช. กลุ่มพลังกู้วิกฤตชาติ ของ สล้าง บุนนาค ที่จู่ๆโผล่หน้าพรวดพราดออกมา โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยๆ หรือแม้กระทั่งการระดมมวลชนภายใต้ชื่อรายการ “ความจริงวันนี้” เป็นต้น
สอดรับกับการเคลื่อนไหวเพื่อยื่นเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งในรูปแบบของ คปพร.ฉบับ “หมอเหวง” หรือแม้กระทั่งล่าสุด ความพยายามผลักดันของรัฐบาลที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การแต่งตั้ง ส.ส.ร.3 โดยร่นเวลาเข้ามาให้เหลือ 120 วัน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
** แต่เป้าหมายแท้จริงคือ เน้นเฉพาะบางมาตรา เพื่อให้ตัวเองและพรรคของตัวเองรอดพ้นจากความผิด เท่านั้น
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็คือ การทำรัฐประหารของบรรดานายทหารประเภท “คนกันเอง” เพื่อโค่นล้มรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และนำไปสู่การนิรโทษกรรมความผิดทั้งหมดที่ตัวเองและพรรคพวกได้ร่วมกันก่อขึ้นก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะเป็นคดียุบพรรคพลังประชาชน ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบ และกำลังอยู่ในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ และกำลังจะพิจารณาชี้ขาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รวมทั้งล่าสุดเพิ่งถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และอีกหลายคดีทุจริตที่ตามมาเป็นพรวน
** ถ้าจะให้รอดคุกก็น่าจะมี “ทางลัด” ทางเดียวเท่านั้นคือ การรัฐประหารเพื่อล้มกระดานทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีความเสี่ยงสูง เพราะในสภาพบรรยากาศที่สังคมรู้เท่าทันแบบนี้โอกาสที่ประสบความสำเร็จ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ติดตามสถานการณ์การเมือง และเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับรัฐบาลมาตั้งแต่ต้นก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากกับปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ว่าล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงมาจากแหล่งเดียวกัน มีการยิงกระสุนมาจากลอนดอน ผ่านตัวแทนเครือข่ายในประเทศไทย ส่งถึงมือกันมาเป็นทอดๆ
ขณะเดียวกัน เป็นการเร่งโหมแรงเพื่อแข่งกับเวลา เพราะทุกอย่างงวดเข้ามาทุกขณะ แต่ในอีกมุมหนึ่งเมื่อยิ่งเร่งมือมากเท่าใดโอกาสพลาดพลั้งถูกกินรวบหมดหน้าตักก็ย่อมมีสูงไม่น้อย
**เมื่อเดิมพันข้างหน้ามันสูงยิ่งยวด ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
การออกแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ส่งตรงไปยังสื่อต่างประเทศทั่วโลกในช่วงเวลานี้เป้าหมายสำคัญคือ มุ่งโจมตีสถาบันตุลาการอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ยุติธรรม” กล่าวหาว่าสมคบกันทำลายตัวเขา มาตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49
และที่โอหังบังอาจที่สุด ก็คือเนื้อหาในแถลงการณ์ฉบับเดียวกันยังมุ่งให้ร้าย “ชนชั้นสูง” เป็นหลัก หาว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ขณะเดียวกันก็ยกตัวเองว่า “เป็นตัวแทนของหลักการประชาธิปไตยเสรี เป็นความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากจนในประเทศ”
ถ้าพิจารณาจากเนื้อหาของแถลงการณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในครั้งนี้ นอกจากแสดงให้เห็นถึง “ความเห็นแก่ตัว” อย่างร้ายกาจแล้ว ยังมุ่งทำร้าย ทำลายกระบวนการศาลไทย อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
อีกด้านหนึ่งยังเปิดหน้าแสดง“ตัวตน” อย่างชัดเจนที่สุด จงใจมุ่งทำลาย “ชนชั้นสูง” ซึ่งเป้าหมายก็คือสื่อไปถึง “สถาบันเบื้องสูง”หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณากันเชื่อมโยง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะกลุ่มบุคคลที่แวดล้อมและเคลื่อนไหวสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ นปก. หรือ นปช. และกลุ่มแนวร่วมหลายคน รวมไปถึง จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงษ์ คนเหล่านี้ล้วนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้วทั้งสิ้น
**นาทีนี้ถือว่า ทักษิณ ได้เปิดหน้าชก “แลกหมัด” กันตรงตัวแล้ว ทุกอย่างมันขมวดปมเข้ามาจนใกล้ถึงบทสรุปแล้ว และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้องดิ้นรนกันทุกทาง เพื่อระดมสรรพกำลังเข้ามาสู้ เพราะนี่คือ “สงครามครั้งสุดท้าย” เช่นเดียวกัน
**ส่วนผลของสงครามจะทำให้คนไทยและประเทศไทยจะต้องพินาศฉิบหายอย่างไรไม่พักต้องไปสนใจ ขอให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายเป็นพอ !!