ปลายปี 2000 ได้เกิดการหดตัวของไฮเทค และฟองสบู่E-economyแตก ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส โดยการใช้นโยบายสงครามกับผู้ก่อการร้ายเพื่อกระตุ้นการผลิตอาวุธ และใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยลงจากประมาณ 6 เหลือเกือบ 1 เปอร์เซ็นต์ เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ และในเวลาเดียวกัน รัฐบาลอเมริกาได้ขอร้องให้ผู้นำญี่ปุ่นช่วย ด้วยการทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาอุ้มเศรษฐกิจอเมริกา ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา (ประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์) ในครั้งนั้น ชนชั้นนำญี่ปุ่นตัดสินใจช่วยสหรัฐอเมริกา เพราะผู้นำญี่ปุ่นตระหนักว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจำเป็นต้องอาศัยการพึ่งพาตลาดอเมริกาในการขายสินค้าอย่างมาก
ผมคิดว่า วิกฤตใหญ่ครั้งนี้ รุนแรงกว่าวิกฤตฟองสบู่แตกปี 2000 มากๆ และทางแก้ก็ยากกว่า ด้วยเหตุผลหลายประการ
ประการแรก สหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนวิกฤตเป็นสงครามอีกไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาไม่สามารถจัดการหรือเอาชนะสงครามในอิรักและในอัฟกานิสถานได้ จนรัฐอเมริกามีฐานะที่จมอยู่ในสภาวะสงครามแบบถอนตัวไม่ขึ้น
ประการที่สองจะใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยอย่างที่เคยทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก ก็เกือบไม่ได้ผลมากนัก เพราะดอกเบี้ยที่ผ่านมาได้ลดลงเกือบถึง 1 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว
ประการที่สามวิกฤตครั้งนี้แพร่ระบาดไปทั่วโลก และกำลังกระแทกตรงสู่ภาคการผลิตจริงทั่วโลก ทำให้ชนชั้นนำทั้งญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และนายทุนตะวันออกกลางต้องรักษาเงินที่มีอยู่ไว้แก้เศรษฐกิจตัวเองก่อน เพราะไม่ใช่สหรัฐฯ เท่านั้นที่เผชิญวิกฤต ทุกประเทศล้วนเผชิญวิกฤตด้วยเช่นกัน ทุกประเทศจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของตัวเองเป็นหลัก
อย่างเช่นในกรณีของจีน ชนชั้นนำจีนตระหนักว่าถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่แพร่เข้าสู่ประเทศจีน การดำรงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์จะตกอยู่ในฐานะลำบากได้ ผู้นำจีนปัจจุบันต้องใช้เงินมหาศาลที่มีอยู่มากระตุ้นเศรษฐกิจภายในเป็นระยะๆ โดยเฉพาะการพยายามรักษาทุนขนาดเล็กและทุนกลางเอาไว้ให้ได้ และต้องกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของตลาดภายในให้ได้เพื่อรองรับการหดตัวของตลาดโลก รวมทั้งต้องมีเงินก้อนหนึ่งเพื่อเตรียมรับกับการผันผวนของค่าเงินด้วย
ถ้าผู้นำจีนทำไม่สำเร็จ จีนจะเผชิญวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ ชนชั้นกลางใหม่ของจีนซึ่งกำลังสร้างภาพฝันถึงโลกที่สดใสในอนาคตจะเกิดอาการช็อก หรือฝันร้าย อาจจะเกิดคลื่นการประท้วงใหญ่ตามมา โดยอาจจะเริ่มจากการประท้วงของปัญญาชน ประสานกับพลังกรรมกรที่ต้องตกงาน
เพื่อนอีกคนหนึ่งในวงสนทนาถามเสียงเบา แทรกขึ้นว่า
“จะเกิดสงครามโลกไหม”
ผมตอบว่า
“ผมตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ เวลาเศรษฐกิจโลกทรุดหนัก น่าจะนำสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นมาใหม่ มากกว่าการจะผนึกเป็นหนึ่งเดียว เพราะวิกฤตใหญ่มักจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจในระบบโลกครั้งใหม่”
เท่าที่ผมพอประเมินได้ ระบบโลกภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกากำลังจะสั่นคลอน และน่าจะสิ้นสภาพลงไป
ชนชั้นนำของจีน จึงกำลังหาหนทางในการผนึกชาติอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยแปรวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส สร้างฐานะการเป็นผู้นำเหนือระบบโลก โดยพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาประเทศมหาเศรษฐีน้ำมันทางตะวันออกกลาง
ผมคิดว่า ผู้นำจีนหวังว่า ถ้าจีนจับมือกับประเทศในโลกตะวันออก ซึ่งประเทศเหล่านี้มีเงินออมจำนวนมหาศาลได้ เงินออมที่มีอยู่จะสามารถรักษาปัญหาวิกฤตภายในประเทศเอง และรักษาตลาดในย่านอาเซียนไว้ได้โดยไม่ให้เกิดวิกฤตมากนัก
ถ้าโลกตะวันออกแก้วิกฤตได้ทั้งถูกทางและถูกจังหวะ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาทรุดหนัก จีนและประเทศในโลกตะวันออกก็น่าจะก้าวขึ้นมามีฐานะนำในระบบโลก ในอนาคตได้
คำถามที่ต้องตอบคือ ผู้นำสหรัฐอเมริกาจะอยู่เฉยๆ ยอมให้จีนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาในฐานะ ‘จ้าวโลก’ หรือ
ผมเองคงตอบว่า ‘ไม่’
อีกหนึ่งกลุ่มประเทศที่น่าสนใจน่าจับตาอย่างยิ่งคือ การรวมตัวกันระหว่างรัสเซีย และบรรดาชาติที่ผลิตน้ำมันในตะวันออกลาง ละติน และแอฟริกา
กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องจับมือเป็นพันธมิตรใหม่กัน เพื่อผลักดันราคาน้ำมันให้ขยับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน การไหลขึ้นของราคาน้ำมันจะทำให้ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปเดือดร้อนอย่างหนัก
นี่...อาจจะเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่าง ‘สหรัฐอเมริกาและยุโรป’ กับ ‘ประเทศรัสเซียและกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน’ ซึ่งอาจจะกำลังเกิดขึ้น ถ้าราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
ถ้าเข้าใจระบบโลกแบบนี้ ระบบโลกจะคล้ายกับยุค 3 ก๊ก สหรัฐอเมริกากับยุโรปคือก๊กหนึ่ง จีนและอาเซียนคือก๊กที่สอง และรัสเซียกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันคือ ก๊กที่สาม
ที่สำคัญ ทุกฝ่าย ทุกกลุ่มจะดิ้นกันอย่างสุดตัวเพื่ออยู่รอด และจะพยายามพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เพื่อช่วงชิงฐานะการนำในระบบโลกในเวลาเดียวกัน
อะไรจะเป็นไปอย่างไร คงต้องติดตามกันในอนาคต
ผมกลัวว่าเพื่อนๆจะเครียดมาก จึงกล่าวต่อว่า
“เราทุกคนต้องเข้าใจว่า วิกฤตล้วนก่อเกิดขึ้นจากการที่ระบบเสียสมดุลอย่างยิ่ง ดังนั้น วิกฤตนี้เองจะผลัก หรือกลายเป็นพลังที่จะพลิกให้ระบบโลกเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่
หากมองในแง่นี้ วิกฤตในตัวเอง คือ สิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง”
ผมได้ยกตัวอย่าง เช่น
วิกฤตสิ่งแวดล้อมเกิดจากการเสียสมดุลทางด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น วิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังผลักให้มนุษยชาติ ต้องหันมาปรับดุล หรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติใหม่
ถ้าเราปรับได้ดี วิกฤตนี้ก็จะสิ้นสุดลงไป
วิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจก็ไม่ต่างกัน ล้วนก่อเกิดจากการเสียสมดุลอย่างยิ่งเช่นกัน
สาเหตุใหญ่ของการเสียดุลอย่างยิ่งมาจากการก่อเกิดทุนพิเศษประเภทหนึ่ง ที่เราเรียกว่า ‘ทุนปั่นกำไร’ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีพลังอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีพลังในการปั่นเศรษฐกิจโลกให้พองโต ขยายใหญ่มาก และแตกในที่สุด
เราคงประเมินไม่ได้ว่า ทุนแบบนี้จะมีขนาดใหญ่แค่ไหน เพราะขึ้นกับช่วง ‘พอง’ หรือ ‘หด’ แต่เท่าที่ประเมินแบบคร่าวๆ เฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ทุนนี้ใหญ่กว่าเศรษฐกิจจริงประมาณ 5 เท่า (ในช่วงที่พองตัว)
หรือกล่าวได้ว่าประเทศสหรัฐฯ ทั้งประเทศถูกครอบด้วยทุนปั่นกำไร ทุนปั่นกำไรนี้ไม่ได้มีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้น ยังมีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจทั้งโลก ผ่านการเชื่อมตัวของบรรดาสถาบันการเงินทั่วโลก และตลาดที่เราเรียกว่า ตลาดทุน (หุ้น และเงิน) ทั่วโลก
โลกที่ไร้พรมแดนทางการเงิน ซึ่งมีศูนย์กลางที่สหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นอำนาจใหม่ที่ยืนอยู่เหนือระบบโลก และอยู่เหนือการควบคุมของประเทศหนึ่งประเทศใด
ระบบทุนนี้เอื้อประโยชน์และสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ระบบทุนศูนย์กลาง แต่เป็นทุนที่มีลักษณะเป็นทุนกาฝาก ที่มีอำนาจในการทำลายสูงมาก
เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจจะควบคุมได้ ระบบโลกก็จะเกิดการเสียดุล และหนีไม่พ้นที่จะพอง และแตก
อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนี้กำลังนำระบบโลกก้าวสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ มองในแง่ดี วิกฤตนี้ก็น่าจะนำสู่การพังทลายลงของระบบเก่า และจะเปิดเงื่อนไขให้ ‘สิ่งใหม่’ หรือ ‘ระบบใหม่’ หรือ ‘สิ่งใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้น’ มีโอกาสที่จะเติบใหญ่ และขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เวลาเกิดวิกฤตใหญ่ สิ่งที่เราต้องหาให้พบคือ
อะไร คือ เส้นทางใหม่ (วัฒนธรรมใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และการเมืองใหม่) ที่จะนำระบบโลกให้ก้าวไปข้างหน้า
อะไร คือ พลังทางเทคโนโลยีใหม่ ที่จะนำ หรือผลักดันการเคลื่อนตัวของเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่
นี่คือ ‘เส้นทาง’ หรือ ‘ยุทธศาสตร์โลก’ ที่เราทุกคนต้องช่วยกันค้นหา
ถ้าหาเจอ เราก็จะพบทางออกจากวิกฤต และนำสู่การสร้าง ‘ระบบโลกใหม่’ ที่มีดุลยภาพใหม่ ก่อกำเนิดขึ้น (ยังมีต่อ)
ผมคิดว่า วิกฤตใหญ่ครั้งนี้ รุนแรงกว่าวิกฤตฟองสบู่แตกปี 2000 มากๆ และทางแก้ก็ยากกว่า ด้วยเหตุผลหลายประการ
ประการแรก สหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนวิกฤตเป็นสงครามอีกไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาไม่สามารถจัดการหรือเอาชนะสงครามในอิรักและในอัฟกานิสถานได้ จนรัฐอเมริกามีฐานะที่จมอยู่ในสภาวะสงครามแบบถอนตัวไม่ขึ้น
ประการที่สองจะใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยอย่างที่เคยทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก ก็เกือบไม่ได้ผลมากนัก เพราะดอกเบี้ยที่ผ่านมาได้ลดลงเกือบถึง 1 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว
ประการที่สามวิกฤตครั้งนี้แพร่ระบาดไปทั่วโลก และกำลังกระแทกตรงสู่ภาคการผลิตจริงทั่วโลก ทำให้ชนชั้นนำทั้งญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และนายทุนตะวันออกกลางต้องรักษาเงินที่มีอยู่ไว้แก้เศรษฐกิจตัวเองก่อน เพราะไม่ใช่สหรัฐฯ เท่านั้นที่เผชิญวิกฤต ทุกประเทศล้วนเผชิญวิกฤตด้วยเช่นกัน ทุกประเทศจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของตัวเองเป็นหลัก
อย่างเช่นในกรณีของจีน ชนชั้นนำจีนตระหนักว่าถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่แพร่เข้าสู่ประเทศจีน การดำรงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์จะตกอยู่ในฐานะลำบากได้ ผู้นำจีนปัจจุบันต้องใช้เงินมหาศาลที่มีอยู่มากระตุ้นเศรษฐกิจภายในเป็นระยะๆ โดยเฉพาะการพยายามรักษาทุนขนาดเล็กและทุนกลางเอาไว้ให้ได้ และต้องกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของตลาดภายในให้ได้เพื่อรองรับการหดตัวของตลาดโลก รวมทั้งต้องมีเงินก้อนหนึ่งเพื่อเตรียมรับกับการผันผวนของค่าเงินด้วย
ถ้าผู้นำจีนทำไม่สำเร็จ จีนจะเผชิญวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ ชนชั้นกลางใหม่ของจีนซึ่งกำลังสร้างภาพฝันถึงโลกที่สดใสในอนาคตจะเกิดอาการช็อก หรือฝันร้าย อาจจะเกิดคลื่นการประท้วงใหญ่ตามมา โดยอาจจะเริ่มจากการประท้วงของปัญญาชน ประสานกับพลังกรรมกรที่ต้องตกงาน
เพื่อนอีกคนหนึ่งในวงสนทนาถามเสียงเบา แทรกขึ้นว่า
“จะเกิดสงครามโลกไหม”
ผมตอบว่า
“ผมตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ เวลาเศรษฐกิจโลกทรุดหนัก น่าจะนำสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นมาใหม่ มากกว่าการจะผนึกเป็นหนึ่งเดียว เพราะวิกฤตใหญ่มักจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจในระบบโลกครั้งใหม่”
เท่าที่ผมพอประเมินได้ ระบบโลกภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกากำลังจะสั่นคลอน และน่าจะสิ้นสภาพลงไป
ชนชั้นนำของจีน จึงกำลังหาหนทางในการผนึกชาติอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยแปรวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส สร้างฐานะการเป็นผู้นำเหนือระบบโลก โดยพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาประเทศมหาเศรษฐีน้ำมันทางตะวันออกกลาง
ผมคิดว่า ผู้นำจีนหวังว่า ถ้าจีนจับมือกับประเทศในโลกตะวันออก ซึ่งประเทศเหล่านี้มีเงินออมจำนวนมหาศาลได้ เงินออมที่มีอยู่จะสามารถรักษาปัญหาวิกฤตภายในประเทศเอง และรักษาตลาดในย่านอาเซียนไว้ได้โดยไม่ให้เกิดวิกฤตมากนัก
ถ้าโลกตะวันออกแก้วิกฤตได้ทั้งถูกทางและถูกจังหวะ ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาทรุดหนัก จีนและประเทศในโลกตะวันออกก็น่าจะก้าวขึ้นมามีฐานะนำในระบบโลก ในอนาคตได้
คำถามที่ต้องตอบคือ ผู้นำสหรัฐอเมริกาจะอยู่เฉยๆ ยอมให้จีนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาในฐานะ ‘จ้าวโลก’ หรือ
ผมเองคงตอบว่า ‘ไม่’
อีกหนึ่งกลุ่มประเทศที่น่าสนใจน่าจับตาอย่างยิ่งคือ การรวมตัวกันระหว่างรัสเซีย และบรรดาชาติที่ผลิตน้ำมันในตะวันออกลาง ละติน และแอฟริกา
กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องจับมือเป็นพันธมิตรใหม่กัน เพื่อผลักดันราคาน้ำมันให้ขยับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน การไหลขึ้นของราคาน้ำมันจะทำให้ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปเดือดร้อนอย่างหนัก
นี่...อาจจะเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่าง ‘สหรัฐอเมริกาและยุโรป’ กับ ‘ประเทศรัสเซียและกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน’ ซึ่งอาจจะกำลังเกิดขึ้น ถ้าราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
ถ้าเข้าใจระบบโลกแบบนี้ ระบบโลกจะคล้ายกับยุค 3 ก๊ก สหรัฐอเมริกากับยุโรปคือก๊กหนึ่ง จีนและอาเซียนคือก๊กที่สอง และรัสเซียกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันคือ ก๊กที่สาม
ที่สำคัญ ทุกฝ่าย ทุกกลุ่มจะดิ้นกันอย่างสุดตัวเพื่ออยู่รอด และจะพยายามพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เพื่อช่วงชิงฐานะการนำในระบบโลกในเวลาเดียวกัน
อะไรจะเป็นไปอย่างไร คงต้องติดตามกันในอนาคต
ผมกลัวว่าเพื่อนๆจะเครียดมาก จึงกล่าวต่อว่า
“เราทุกคนต้องเข้าใจว่า วิกฤตล้วนก่อเกิดขึ้นจากการที่ระบบเสียสมดุลอย่างยิ่ง ดังนั้น วิกฤตนี้เองจะผลัก หรือกลายเป็นพลังที่จะพลิกให้ระบบโลกเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่
หากมองในแง่นี้ วิกฤตในตัวเอง คือ สิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง”
ผมได้ยกตัวอย่าง เช่น
วิกฤตสิ่งแวดล้อมเกิดจากการเสียสมดุลทางด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น วิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังผลักให้มนุษยชาติ ต้องหันมาปรับดุล หรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติใหม่
ถ้าเราปรับได้ดี วิกฤตนี้ก็จะสิ้นสุดลงไป
วิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจก็ไม่ต่างกัน ล้วนก่อเกิดจากการเสียสมดุลอย่างยิ่งเช่นกัน
สาเหตุใหญ่ของการเสียดุลอย่างยิ่งมาจากการก่อเกิดทุนพิเศษประเภทหนึ่ง ที่เราเรียกว่า ‘ทุนปั่นกำไร’ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีพลังอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีพลังในการปั่นเศรษฐกิจโลกให้พองโต ขยายใหญ่มาก และแตกในที่สุด
เราคงประเมินไม่ได้ว่า ทุนแบบนี้จะมีขนาดใหญ่แค่ไหน เพราะขึ้นกับช่วง ‘พอง’ หรือ ‘หด’ แต่เท่าที่ประเมินแบบคร่าวๆ เฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ทุนนี้ใหญ่กว่าเศรษฐกิจจริงประมาณ 5 เท่า (ในช่วงที่พองตัว)
หรือกล่าวได้ว่าประเทศสหรัฐฯ ทั้งประเทศถูกครอบด้วยทุนปั่นกำไร ทุนปั่นกำไรนี้ไม่ได้มีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้น ยังมีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจทั้งโลก ผ่านการเชื่อมตัวของบรรดาสถาบันการเงินทั่วโลก และตลาดที่เราเรียกว่า ตลาดทุน (หุ้น และเงิน) ทั่วโลก
โลกที่ไร้พรมแดนทางการเงิน ซึ่งมีศูนย์กลางที่สหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นอำนาจใหม่ที่ยืนอยู่เหนือระบบโลก และอยู่เหนือการควบคุมของประเทศหนึ่งประเทศใด
ระบบทุนนี้เอื้อประโยชน์และสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ระบบทุนศูนย์กลาง แต่เป็นทุนที่มีลักษณะเป็นทุนกาฝาก ที่มีอำนาจในการทำลายสูงมาก
เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจจะควบคุมได้ ระบบโลกก็จะเกิดการเสียดุล และหนีไม่พ้นที่จะพอง และแตก
อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนี้กำลังนำระบบโลกก้าวสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ มองในแง่ดี วิกฤตนี้ก็น่าจะนำสู่การพังทลายลงของระบบเก่า และจะเปิดเงื่อนไขให้ ‘สิ่งใหม่’ หรือ ‘ระบบใหม่’ หรือ ‘สิ่งใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้น’ มีโอกาสที่จะเติบใหญ่ และขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เวลาเกิดวิกฤตใหญ่ สิ่งที่เราต้องหาให้พบคือ
อะไร คือ เส้นทางใหม่ (วัฒนธรรมใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และการเมืองใหม่) ที่จะนำระบบโลกให้ก้าวไปข้างหน้า
อะไร คือ พลังทางเทคโนโลยีใหม่ ที่จะนำ หรือผลักดันการเคลื่อนตัวของเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่
นี่คือ ‘เส้นทาง’ หรือ ‘ยุทธศาสตร์โลก’ ที่เราทุกคนต้องช่วยกันค้นหา
ถ้าหาเจอ เราก็จะพบทางออกจากวิกฤต และนำสู่การสร้าง ‘ระบบโลกใหม่’ ที่มีดุลยภาพใหม่ ก่อกำเนิดขึ้น (ยังมีต่อ)