วานนี้ (18 พ.ย.) นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ ทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงการยื่นอุทธรณ์ คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปีว่า เมื่อเวลา 14.00 น. ตนได้โทรศัพท์ทางไกล สอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ประเทศดูไบ ว่าประสงค์จะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คดี ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 278 วรรค สาม ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ หรือไม่ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ตอบยืนยันว่า จะไม่ใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์
โดยเหตุผลที่ไม่อุทธรณ์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จะอธิบายด้วยตนเองอีกครั้ง คาดว่าจะมีการอธิบายให้ประชาชนทั่วไปทราบอีกครั้งภายใน 1-2 วัน หลังพ้นกำหนดอุทธรณ์ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการระบุว่า จะเป็นวิธีการใด ส่วนที่ว่าจะมีการอธิบายเหตุผลผ่านการโฟนอินในรายการความจริงวันนี้สัญจร วันที่ 14 ธ.ค. ที่สนามกีฬาแห่งชาติ ( ศุภชลาสัย ) นั้นหรือไม่ คิดว่าอาจไม่ใช่ เพราะเป็นช่วงระยะเวลาที่นานเกินไป
แต่อย่างไรก็ดี ในการอุทธรณ์ หากพ.ต.ท.ทักษิณ จะเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ทนายความก็พร้อมจะดำเนินการให้ได้ทันที เพราะก่อนหน้านี้ ได้จัดเตรียมเอกสารไว้แล้ว เพียงแต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ยื่นอุทธรณ์ ทนายความก็จะปฏิบัติตามความประสงค์ของลูกความ
ทั้งนี้ สำหรับกำหนดยื่นอุทธรณ์คดีจะครบกำหนด ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นเวลา 30 วัน นับจากวันที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาคดี เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
นายคำนวณ กล่าวอีกว่า ขณะที่โทรศัพท์พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ พบว่ายังมีน้ำเสียงที่สดใสดี ไม่แสดงออกถึงความเครียด วิตกกังวล ส่วนการพักอยู่ต่างประเทศนั้น ไม่ทราบจะพักอยู่ที่ประเทศดูไบ เป็นเวลานานเท่าใด และจะระหกระเหินไปที่ใดอีกบ้าง
** "แม้ว"เลื่อนโฟนอิน14 ธ.ค.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และผู้จัดรายการความจริงวันนี้ เปิดเผยว่า ได้เลื่อนการจัดรายการซึ่งจะมีการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ จากวันที่ 10 ธ.ค.เป็นวันที่ 14 ธ.ค. ที่สนามศุภชลาศัยเช่นเดิม
ทั้งนี้ในวันดังกล่าวจะเป็นการประกาศจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนของพ.ต.ท.ทักษิณ หลังหวนคืนสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่การประกาศสงคราม พร้อมเตรียมประสาน นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี พูดผ่านรายการความจริงวันนี้ ในวันที่ 23 พ.ย. ที่วัดสวนแก้ว
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังยืนยันด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับประเทศไทยแน่นอน เพราะได้ประกาศต่อสู้ทางการเมืองแล้ว ส่วนจะเป็นห้วงเวลาใดนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นตัวกำหนด แต่เห็นว่าหากมีการปฏิวัติอีกรอบ จะส่งผลให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทยเร็วขึ้น
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศจะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป โดยนายสมชาย ใช้วิธีนิ่ง เฉย เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักว่า เหตุใดนายกฯจึงไม่พูดเรื่องนี้เลย นายสมชาย ก็ยังคงนิ่ง ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มให้ผู้สื่อข่าว
**เชื่อ"แม้ว"กัดแหลกหลังหย่าเมีย
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จดทะเบียนหย่ากับคุณหญิงพจมาน ว่า เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง มีแต่สันนิษฐานเท่านั้น แต่ตนไม่ขอสันนิษฐาน เพราะถ้าพิจารณาตามกฎหมาย ต้องดูจากความเห็นของอัยการ และฝ่าย คตส.ว่ามีผลกระทบต่อคดีที่มีการอายัดทรัพย์หรือไม่ อย่างไร แต่เจตนาที่แท้จริงคงไม่มีใครทราบ
ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ ก็สู้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ความต้องการของประเทศขณะนี้คือ เรื่องของความชอบธรรม ดังนั้นการต่อสู้ หรือการแข่งขันใดๆ ก็ทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของความชอบธรรมด้วย ซึ่งในทางคดี พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถตั้งทนายขึ้นมาแก้ต่างได้ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ใช่อยู่นอกกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการนำมวลชนมาเป็นเกราะกำบังให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อพ้นผิดในคดีทุจริตที่ดินรัชดา รวมทั้งการที่รัฐบาลจะผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทำให้เกิดปัญหาอย่างไร นายชวน กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกันมาก ทั้งการเคลื่อนไหวของมวลชน และของรัฐบาล เพราะรัฐบาลชุดนี้ชัดเจนว่า เป็นรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีนายกฯคนไหนที่มีความใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณ มากขนาดนี้ ซึ่งอาจบอกได้ว่ารัฐบาลผู้ซึ่งมีอำนาจในขณะนี้เป็นคนของพ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง ดังนั้นคนที่จะไปกลั่นแกล้งพ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือคนของพ.ต.ท.ทักษิณเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะผู้มีอำนาจเป็นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ว่ากระบวนการขององค์กรอิสระ เช่น ศาล ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ถูกแทรกแซงได้เหมือนในอดีต ที่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งใครเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระอย่างไรก็ได้ แล้วใช้คนเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ
"พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีสิทธิ์ ที่จะกลับมาเมืองไทย ถ้าสู้ตามวิถีทางที่ตรงไปตรงมาก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ในช่วงหลังการทำอะไรตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจในสมัยนั้นคงทำไม่ได้ง่ายเท่าไรแล้ว เพราะการแทรกแซงศาล และอัยการ เป็นเรื่องยาก ดังนั้นหากพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชาวบ้านมาเรียกร้องให้ ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง หากเชื่อมั่นว่าไม่ทำผิด ก็กลับมาสู้คดีได้ตลอดเวลา และการจะเรียกร้องให้พ้นผิด ไม่สามารถทำได้ เพราะบ้านเมืองปกครองด้วยระบบนิติธรรม ความผิดเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ขณะนี้ก็มองเห็นอยู่ว่า มีสมาชิกของรัฐบาลที่ออกมา พยายามให้คนเข้าชื่อเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ชัดเจนว่า ถ้าเสนอในนาม ส.ส.ก็จะมีปัญหา จึงใช้ประชาชนเสนอกฎหมายแทน เหมือนที่นายกฯ ชอบอ้างว่า ตัวเองไม่เกี่ยวข้อง แต่รัฐบาลในระบบรัฐสภา ต้องอาศัยเสียงข้างมาก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใด ถ้ารัฐบาลไม่เห็นชอบก็ออกไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากคือรัฐบาล ดังนั้นสิ่งที่นายกฯพูด จึงสวนทางกับความจริงตลอดเวลา" นายชวน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในภาวะจนมุมหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้จนมุม เพราะทุกเรื่องทีมีสิทธิ์ในฐานะประชาชนที่จะต่อสู้ในข้อกล่าวหาตามกระบวนการ ถ้าจะจนก็คือเรื่องของความจริง เพราะแม้จะปฏิเสธว่า ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีข้อหยิบยกมาอ้างเพื่อสู้คดีได้ ซึ่งกฎหมายก็เปิดช่องให้หาหลักฐานใหม่มาอุทธรณ์คดีที่จะครบกำหนดในวันที่ 20 นี้ได้
"ผมคิดว่าถ้าจะมีการนำมวลชนเข้ามาเป็นเกราะกำบัง ก็ถือว่าอยู่นอกกฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรม เพราะมีแนวทางอยู่แล้ว ไม่ใช่ใครจะเข้าชื่อแล้วมาเรียกร้องเพื่อปฏิเสธความจริง ก็ทำได้เพียงแค่เรียกร้องขอความเป็นธรรม แต่ความจริงกับเป็นการเรียกร้องของความเป็นธรรมต้องไปด้วยกัน เราจะปฏิเสธความจริง แต่กลับมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ก็สวนทางกัน ผมยังเชื่อว่า ส.ส.คงไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมด้วยตัวเอง แต่คงใช้ชาวบ้านมาเสนอกฎหมายมากกว่า และการเสนอสิ่งเหล่านี้ ก็เพียงเพื่อเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น เนื่องจากบางทีไม่รู้ว่าไปฮ่องกงแต่ละครั้งได้อะไรกันมาบ้าง" นายชวนกล่าว
ส่วน การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร นั้น เป็นสิทธิ์ที่จะดำเนินการได้ แต่ความเหมาะสมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง และพื้นฐานเรื่องที่จะพูด สวนทางกับระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่น การอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง เพราะยุคที่พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจ สิทธิเสรีภาพของฝ่ายต่างๆ ไม่ได้เป็นอย่างปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า แม้จะเป็นรัฐบาลนายสมชาย ในยุคนี้การวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อก็ทำได้มากกว่าในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งตอนนั้นทำไม่ได้ การครอบงำสื่อทำอยู่ฝ่ายเดียวเป็นผลที่ทำให้คนฟังข้างเดียวมาตลอด 5 ปีกว่า
ส่วนการเปิดตัวมูลนิธิของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายชวน กล่าวว่า อะไรก็ตามที่เป็นสิทธิทำได้ภายใต้กรอบกฏหมาย สามารถทำได้ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ลึกๆ อย่างไรก็ตาม แต่เป็นเป็นสิทธิตามกฎหมายก็ทำได้ ทั้งนี้เห็นว่า การให้ความรู้ตรงไปตรงมาเป็นเรื่องที่ดี เพราะปัญหาวันนี้สังคมไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด รู้เฉพาะบางส่วนข้างเดียว ทำให้การตัดสินใจของคนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
**จวกใช้สื่อรัฐโหมข่าว"แม้ว"
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง รายการความจริงวันนี้เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา เหมือนกับเป็นรายการแสดงหนังตะลุง และพยายามที่จะใช้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวชูโรงเรียกความสนใจ เพราะลำพัง 3 เกลอหัวกลม คงจะไม่มีใครอยากดู
ทั้งนี้ รายการในคืนดังกล่าวได้หยิบยกประเด็นการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน มาแก้ต่างให้ ซึ่งตนคิดว่าเป็นการใช้สื่อของรัฐ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มาเป็นกระบอกเสียง โดยที่ทั้ง 3 คน เป็นโฆษกส่วนตัวให้พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และผอ.สถานีโทรทัศน์ดังกล่าวปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซาก หลายครั้งแล้ว จึงอยากจะเรียกร้องให้เข้ามาดูแล
นายเทพไท กล่าวว่า ประเด็นในรายการเมื่อคืนดังกล่าว ได้พยายามบอกถึงเหตุผลการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างว่า ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนที่จะเข้ารายการ ซึ่งสาเหตุของการหย่าก็คือ
1. คุณหญิงพจมานไม่สบายใจกับการทำงานการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ 2. พ.ต.ท.ทักษิณต้องการที่จะทำงานการเมือง และต่อสู้ทางการเมืองด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพะวงกับครอบครัว เพื่อเรียกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กลับคืนมา ชึ่งจากการชี้แจงนี้ ทำให้เห็นว่า การเมืองจากนี้ไปจะเป็นการต่อสู้นอกประเทศ อย่างชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน และถึงขั้นแตกหัก
3. เมื่อหย่าแล้วคุณหญิงพจมานก็มีโอกาสกลับมาประเทศไทย เพื่อสู้คดี และเข้าใจว่า คุณหญิงพจมานก็เป็นบุคคลสำคัญที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอดก็น่าที่จะมาอยู่เบื้องหลัง คอยกำกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นการหย่าครั้งนี้ ถ้าฟังเหตุผลของ 3 เกลอหัวกลมพอจะสรุปได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่แยกกันเดิน รวมกันตี
**4ปัจจัยเร่งอุณหภูมิการเมือง
นายเทพไท กล่าวด้วยว่า ความรุนแรงทางการเมือง จะเกิดขึ้นหลังจากเสร็จงานพระราชพิธีฯ เพราะพฤติกรรมของสมุน พ.ต.ท.ทักษิณ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับความรุนแรง คือ 1. การจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร ซึ่งเดิมจะจัดในวันที่ 10 ธ.ค. แต่ก็เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเข้าใจว่า อาจจะเป็นความไม่สะดวกของ พ.ต.ท.ทักษิณ
2. การที่วิปรัฐบาล ประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่สนใจกระแสคัดค้าน และจะฉวยโอกาสทีเผลอ เสนอเรื่องนี้เข้าสู่สภาฯ 3.เรื่องการตั้ง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.รมน. เข้ามาช่วยงานใน กอ.รมน.นั้น เป็นการส่งสัญญาณเรื่องความรุนแรง 4. เรื่องการหย่าร้างของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อวัตถุประสงค์ในการที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างรุนแรง และเข้มข้น ซึ่งตนคิดว่าพฤติการณ์ทั้งหมดเป็นการสุมฟืนก่อไฟให้ลุกโชน เพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองวิกฤตถึงที่สุด
**"รสนา"ปลุกพลังเงียบสู้"แม้ว"
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อต่อสู้ทางคดีว่า ทางกลุ่มส.ว.ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขามีสิทธิจะเข้ามาต่อสู้คดี ส่วนเมื่อกลับมาแล้วจะทำให้การเมืองรุนแรงขึ้นหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบจะต้องดูแลความปลอดภัยตรงนี้ แต่ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้ามาได้ ส่วนประเด็นทางกฎหมาย ก็ต้องสู้คดีกันไป ไม่คิดว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นมา
เมื่อถามถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไปเปิดมูลนิธิในต่างประเทศ มีการมองว่า เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อจะรบขั้นแตกหัก น.ส.รสนา กล่าวว่า ไม่อยากให้สังคมไทยเป็นอย่างนั้น ขณะนี้สังคมไทยแตกแยกมาก เป็นสีเหลือง สีแดง ตนเป็นคนธรรมศาสตร์ เลือดเหลือง-แดง เหลืองคือธรรมประจำจิต แดงคือโลหิตอุทิศให้ ขออุทิศให้ประเทศชาติส่วนรวมทั้งหมด ไม่ใช่อุทิศให้กับพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง
น.ส.รสนา กล่าวว่า ทั้งเหลือง และแดง เป็นประชาชนคนไทย มือตบ ตีนตบ มีความสำคัญกับชีวิต แต่ต้องควบคุมด้วยหัวใจและสมอง อย่าปล่อยให้มือและตีน ถูกดึงไปเพื่อทำลายล้างกัน ไม่อยากเห็นคนไทยด้วยกัน ทำลายกัน เราต้องการทั้งมือ และตีน ไม่ใช่มืออย่างเดียว หรือตีนอย่างเดียว และไม่อยากเห็นอดีตผู้นำคนใด ทำให้คนไทยต้องมาฆ่าฟันกัน คิดว่าคนที่อยู่กลางๆ พวกพลังเงียบในสังคมกำลังทุกข์ใจกับสภาพสังคมขณะนี้ จึงคิดว่า เสียงเงียบทั้งหลาย ต้องลุกขึ้นมาพูด ไม่ให้สังคมไทยก้าวไปสู่ความรุนแรง ในฐานะของ ส.ว. เราจะพยายามทำอย่างเต็มที่เช่นกัน ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นเรื่องของคนส่วนน้อยที่แสวงหาผลประโยชน์บนความขัดแย้งของประชาชน ซึ่งก็มีเพียงแค่นักการเมืองบางส่วนเท่านั้น แต่ถ้าเสียงเงียบ ส่วนใหญ่ยังเงียบอยู่ ความารุนแรงจะเกิดขึ้น เราไม่ควรปล่อยให้สังคมกลายเป็นเครื่องมือ หรือตัวประกันที่ทำให้เกิดความรุนแรง
**"บิ๊กจิ๋ว"บวชไถ่บาป
มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุ ในวันนี้ (19พ.ย.) โดยจะไปบวชที่วัดป่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งการบวชครั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบ และได้เดินทางไปกับบุตรชายเพียงลำพัง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความยุ่งยาก และการตัดสินใจบวชครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการหลบปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง
แหล่งข่าวคนสนิทของพล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า ก่อนตัดสินใจบวช พล.อ. ชวลิตได้มีการพูดคุยกับคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยาและคนสนิทเพียงไม่กี่คนมาระยะหนึ่งแล้ว หลังบ้านเมืองมีความวุ่นวายมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความเสียใจให้กับพล.อ.ชวลิต เป็นอย่างมาก
"พล.อ.ชวลิต อายุ70 กว่าปีแล้วและยังไม่เคยได้บวช ก็อยากจะบวชในครั้งนี้ โดยการตัดสินใจบวชครั้งนี้มีอยู่ 3 ประเด็น คือ 1. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2. บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง และ 3. บวชเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลกับประชาชนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา"
แหล่งข่าวคนเดิม บอกด้วยว่า พล.อ.ชวลิตได้พูดเปรยๆ กับคนสนิท ตอนนี้อยากปลีกวิเวกเพื่อหลบปัญหาความวุ่นวาย และการบวชครั้งก็เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลต่างๆ ให้กับเจ้ากรรมนาย เวร ทั้งหลาย โดยเหตุการณ์ที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้กับพล.อ. ชวลิตมาก ทั้งนี้การหลบไปถือศีลของ พล.อ.ชวลิตครั้งนี้ คงจะอยู่สักระยะหนึ่ง เมื่อจิตใจสงบดีแล้ว ก็จะลาสิขาบทกลับมาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง
โดยเหตุผลที่ไม่อุทธรณ์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จะอธิบายด้วยตนเองอีกครั้ง คาดว่าจะมีการอธิบายให้ประชาชนทั่วไปทราบอีกครั้งภายใน 1-2 วัน หลังพ้นกำหนดอุทธรณ์ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการระบุว่า จะเป็นวิธีการใด ส่วนที่ว่าจะมีการอธิบายเหตุผลผ่านการโฟนอินในรายการความจริงวันนี้สัญจร วันที่ 14 ธ.ค. ที่สนามกีฬาแห่งชาติ ( ศุภชลาสัย ) นั้นหรือไม่ คิดว่าอาจไม่ใช่ เพราะเป็นช่วงระยะเวลาที่นานเกินไป
แต่อย่างไรก็ดี ในการอุทธรณ์ หากพ.ต.ท.ทักษิณ จะเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ทนายความก็พร้อมจะดำเนินการให้ได้ทันที เพราะก่อนหน้านี้ ได้จัดเตรียมเอกสารไว้แล้ว เพียงแต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ยื่นอุทธรณ์ ทนายความก็จะปฏิบัติตามความประสงค์ของลูกความ
ทั้งนี้ สำหรับกำหนดยื่นอุทธรณ์คดีจะครบกำหนด ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นเวลา 30 วัน นับจากวันที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาคดี เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
นายคำนวณ กล่าวอีกว่า ขณะที่โทรศัพท์พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ พบว่ายังมีน้ำเสียงที่สดใสดี ไม่แสดงออกถึงความเครียด วิตกกังวล ส่วนการพักอยู่ต่างประเทศนั้น ไม่ทราบจะพักอยู่ที่ประเทศดูไบ เป็นเวลานานเท่าใด และจะระหกระเหินไปที่ใดอีกบ้าง
** "แม้ว"เลื่อนโฟนอิน14 ธ.ค.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และผู้จัดรายการความจริงวันนี้ เปิดเผยว่า ได้เลื่อนการจัดรายการซึ่งจะมีการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ จากวันที่ 10 ธ.ค.เป็นวันที่ 14 ธ.ค. ที่สนามศุภชลาศัยเช่นเดิม
ทั้งนี้ในวันดังกล่าวจะเป็นการประกาศจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนของพ.ต.ท.ทักษิณ หลังหวนคืนสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่การประกาศสงคราม พร้อมเตรียมประสาน นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี พูดผ่านรายการความจริงวันนี้ ในวันที่ 23 พ.ย. ที่วัดสวนแก้ว
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังยืนยันด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับประเทศไทยแน่นอน เพราะได้ประกาศต่อสู้ทางการเมืองแล้ว ส่วนจะเป็นห้วงเวลาใดนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นตัวกำหนด แต่เห็นว่าหากมีการปฏิวัติอีกรอบ จะส่งผลให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทยเร็วขึ้น
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศจะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป โดยนายสมชาย ใช้วิธีนิ่ง เฉย เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักว่า เหตุใดนายกฯจึงไม่พูดเรื่องนี้เลย นายสมชาย ก็ยังคงนิ่ง ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มให้ผู้สื่อข่าว
**เชื่อ"แม้ว"กัดแหลกหลังหย่าเมีย
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จดทะเบียนหย่ากับคุณหญิงพจมาน ว่า เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง มีแต่สันนิษฐานเท่านั้น แต่ตนไม่ขอสันนิษฐาน เพราะถ้าพิจารณาตามกฎหมาย ต้องดูจากความเห็นของอัยการ และฝ่าย คตส.ว่ามีผลกระทบต่อคดีที่มีการอายัดทรัพย์หรือไม่ อย่างไร แต่เจตนาที่แท้จริงคงไม่มีใครทราบ
ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ ก็สู้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ความต้องการของประเทศขณะนี้คือ เรื่องของความชอบธรรม ดังนั้นการต่อสู้ หรือการแข่งขันใดๆ ก็ทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของความชอบธรรมด้วย ซึ่งในทางคดี พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถตั้งทนายขึ้นมาแก้ต่างได้ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ใช่อยู่นอกกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการนำมวลชนมาเป็นเกราะกำบังให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อพ้นผิดในคดีทุจริตที่ดินรัชดา รวมทั้งการที่รัฐบาลจะผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทำให้เกิดปัญหาอย่างไร นายชวน กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกันมาก ทั้งการเคลื่อนไหวของมวลชน และของรัฐบาล เพราะรัฐบาลชุดนี้ชัดเจนว่า เป็นรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีนายกฯคนไหนที่มีความใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณ มากขนาดนี้ ซึ่งอาจบอกได้ว่ารัฐบาลผู้ซึ่งมีอำนาจในขณะนี้เป็นคนของพ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง ดังนั้นคนที่จะไปกลั่นแกล้งพ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือคนของพ.ต.ท.ทักษิณเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะผู้มีอำนาจเป็นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ว่ากระบวนการขององค์กรอิสระ เช่น ศาล ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ถูกแทรกแซงได้เหมือนในอดีต ที่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งใครเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระอย่างไรก็ได้ แล้วใช้คนเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ
"พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีสิทธิ์ ที่จะกลับมาเมืองไทย ถ้าสู้ตามวิถีทางที่ตรงไปตรงมาก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ในช่วงหลังการทำอะไรตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจในสมัยนั้นคงทำไม่ได้ง่ายเท่าไรแล้ว เพราะการแทรกแซงศาล และอัยการ เป็นเรื่องยาก ดังนั้นหากพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชาวบ้านมาเรียกร้องให้ ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง หากเชื่อมั่นว่าไม่ทำผิด ก็กลับมาสู้คดีได้ตลอดเวลา และการจะเรียกร้องให้พ้นผิด ไม่สามารถทำได้ เพราะบ้านเมืองปกครองด้วยระบบนิติธรรม ความผิดเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ขณะนี้ก็มองเห็นอยู่ว่า มีสมาชิกของรัฐบาลที่ออกมา พยายามให้คนเข้าชื่อเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ชัดเจนว่า ถ้าเสนอในนาม ส.ส.ก็จะมีปัญหา จึงใช้ประชาชนเสนอกฎหมายแทน เหมือนที่นายกฯ ชอบอ้างว่า ตัวเองไม่เกี่ยวข้อง แต่รัฐบาลในระบบรัฐสภา ต้องอาศัยเสียงข้างมาก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใด ถ้ารัฐบาลไม่เห็นชอบก็ออกไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากคือรัฐบาล ดังนั้นสิ่งที่นายกฯพูด จึงสวนทางกับความจริงตลอดเวลา" นายชวน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในภาวะจนมุมหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้จนมุม เพราะทุกเรื่องทีมีสิทธิ์ในฐานะประชาชนที่จะต่อสู้ในข้อกล่าวหาตามกระบวนการ ถ้าจะจนก็คือเรื่องของความจริง เพราะแม้จะปฏิเสธว่า ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีข้อหยิบยกมาอ้างเพื่อสู้คดีได้ ซึ่งกฎหมายก็เปิดช่องให้หาหลักฐานใหม่มาอุทธรณ์คดีที่จะครบกำหนดในวันที่ 20 นี้ได้
"ผมคิดว่าถ้าจะมีการนำมวลชนเข้ามาเป็นเกราะกำบัง ก็ถือว่าอยู่นอกกฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรม เพราะมีแนวทางอยู่แล้ว ไม่ใช่ใครจะเข้าชื่อแล้วมาเรียกร้องเพื่อปฏิเสธความจริง ก็ทำได้เพียงแค่เรียกร้องขอความเป็นธรรม แต่ความจริงกับเป็นการเรียกร้องของความเป็นธรรมต้องไปด้วยกัน เราจะปฏิเสธความจริง แต่กลับมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ก็สวนทางกัน ผมยังเชื่อว่า ส.ส.คงไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมด้วยตัวเอง แต่คงใช้ชาวบ้านมาเสนอกฎหมายมากกว่า และการเสนอสิ่งเหล่านี้ ก็เพียงเพื่อเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น เนื่องจากบางทีไม่รู้ว่าไปฮ่องกงแต่ละครั้งได้อะไรกันมาบ้าง" นายชวนกล่าว
ส่วน การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร นั้น เป็นสิทธิ์ที่จะดำเนินการได้ แต่ความเหมาะสมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง และพื้นฐานเรื่องที่จะพูด สวนทางกับระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่น การอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง เพราะยุคที่พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจ สิทธิเสรีภาพของฝ่ายต่างๆ ไม่ได้เป็นอย่างปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า แม้จะเป็นรัฐบาลนายสมชาย ในยุคนี้การวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อก็ทำได้มากกว่าในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งตอนนั้นทำไม่ได้ การครอบงำสื่อทำอยู่ฝ่ายเดียวเป็นผลที่ทำให้คนฟังข้างเดียวมาตลอด 5 ปีกว่า
ส่วนการเปิดตัวมูลนิธิของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายชวน กล่าวว่า อะไรก็ตามที่เป็นสิทธิทำได้ภายใต้กรอบกฏหมาย สามารถทำได้ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ลึกๆ อย่างไรก็ตาม แต่เป็นเป็นสิทธิตามกฎหมายก็ทำได้ ทั้งนี้เห็นว่า การให้ความรู้ตรงไปตรงมาเป็นเรื่องที่ดี เพราะปัญหาวันนี้สังคมไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด รู้เฉพาะบางส่วนข้างเดียว ทำให้การตัดสินใจของคนไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
**จวกใช้สื่อรัฐโหมข่าว"แม้ว"
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง รายการความจริงวันนี้เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา เหมือนกับเป็นรายการแสดงหนังตะลุง และพยายามที่จะใช้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวชูโรงเรียกความสนใจ เพราะลำพัง 3 เกลอหัวกลม คงจะไม่มีใครอยากดู
ทั้งนี้ รายการในคืนดังกล่าวได้หยิบยกประเด็นการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน มาแก้ต่างให้ ซึ่งตนคิดว่าเป็นการใช้สื่อของรัฐ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที มาเป็นกระบอกเสียง โดยที่ทั้ง 3 คน เป็นโฆษกส่วนตัวให้พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และผอ.สถานีโทรทัศน์ดังกล่าวปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซาก หลายครั้งแล้ว จึงอยากจะเรียกร้องให้เข้ามาดูแล
นายเทพไท กล่าวว่า ประเด็นในรายการเมื่อคืนดังกล่าว ได้พยายามบอกถึงเหตุผลการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างว่า ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนที่จะเข้ารายการ ซึ่งสาเหตุของการหย่าก็คือ
1. คุณหญิงพจมานไม่สบายใจกับการทำงานการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ 2. พ.ต.ท.ทักษิณต้องการที่จะทำงานการเมือง และต่อสู้ทางการเมืองด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพะวงกับครอบครัว เพื่อเรียกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กลับคืนมา ชึ่งจากการชี้แจงนี้ ทำให้เห็นว่า การเมืองจากนี้ไปจะเป็นการต่อสู้นอกประเทศ อย่างชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน และถึงขั้นแตกหัก
3. เมื่อหย่าแล้วคุณหญิงพจมานก็มีโอกาสกลับมาประเทศไทย เพื่อสู้คดี และเข้าใจว่า คุณหญิงพจมานก็เป็นบุคคลสำคัญที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอดก็น่าที่จะมาอยู่เบื้องหลัง คอยกำกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นการหย่าครั้งนี้ ถ้าฟังเหตุผลของ 3 เกลอหัวกลมพอจะสรุปได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่แยกกันเดิน รวมกันตี
**4ปัจจัยเร่งอุณหภูมิการเมือง
นายเทพไท กล่าวด้วยว่า ความรุนแรงทางการเมือง จะเกิดขึ้นหลังจากเสร็จงานพระราชพิธีฯ เพราะพฤติกรรมของสมุน พ.ต.ท.ทักษิณ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับความรุนแรง คือ 1. การจัดรายการความจริงวันนี้สัญจร ซึ่งเดิมจะจัดในวันที่ 10 ธ.ค. แต่ก็เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเข้าใจว่า อาจจะเป็นความไม่สะดวกของ พ.ต.ท.ทักษิณ
2. การที่วิปรัฐบาล ประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่สนใจกระแสคัดค้าน และจะฉวยโอกาสทีเผลอ เสนอเรื่องนี้เข้าสู่สภาฯ 3.เรื่องการตั้ง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.รมน. เข้ามาช่วยงานใน กอ.รมน.นั้น เป็นการส่งสัญญาณเรื่องความรุนแรง 4. เรื่องการหย่าร้างของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อวัตถุประสงค์ในการที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างรุนแรง และเข้มข้น ซึ่งตนคิดว่าพฤติการณ์ทั้งหมดเป็นการสุมฟืนก่อไฟให้ลุกโชน เพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองวิกฤตถึงที่สุด
**"รสนา"ปลุกพลังเงียบสู้"แม้ว"
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อต่อสู้ทางคดีว่า ทางกลุ่มส.ว.ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขามีสิทธิจะเข้ามาต่อสู้คดี ส่วนเมื่อกลับมาแล้วจะทำให้การเมืองรุนแรงขึ้นหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบจะต้องดูแลความปลอดภัยตรงนี้ แต่ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้ามาได้ ส่วนประเด็นทางกฎหมาย ก็ต้องสู้คดีกันไป ไม่คิดว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นมา
เมื่อถามถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไปเปิดมูลนิธิในต่างประเทศ มีการมองว่า เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อจะรบขั้นแตกหัก น.ส.รสนา กล่าวว่า ไม่อยากให้สังคมไทยเป็นอย่างนั้น ขณะนี้สังคมไทยแตกแยกมาก เป็นสีเหลือง สีแดง ตนเป็นคนธรรมศาสตร์ เลือดเหลือง-แดง เหลืองคือธรรมประจำจิต แดงคือโลหิตอุทิศให้ ขออุทิศให้ประเทศชาติส่วนรวมทั้งหมด ไม่ใช่อุทิศให้กับพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง
น.ส.รสนา กล่าวว่า ทั้งเหลือง และแดง เป็นประชาชนคนไทย มือตบ ตีนตบ มีความสำคัญกับชีวิต แต่ต้องควบคุมด้วยหัวใจและสมอง อย่าปล่อยให้มือและตีน ถูกดึงไปเพื่อทำลายล้างกัน ไม่อยากเห็นคนไทยด้วยกัน ทำลายกัน เราต้องการทั้งมือ และตีน ไม่ใช่มืออย่างเดียว หรือตีนอย่างเดียว และไม่อยากเห็นอดีตผู้นำคนใด ทำให้คนไทยต้องมาฆ่าฟันกัน คิดว่าคนที่อยู่กลางๆ พวกพลังเงียบในสังคมกำลังทุกข์ใจกับสภาพสังคมขณะนี้ จึงคิดว่า เสียงเงียบทั้งหลาย ต้องลุกขึ้นมาพูด ไม่ให้สังคมไทยก้าวไปสู่ความรุนแรง ในฐานะของ ส.ว. เราจะพยายามทำอย่างเต็มที่เช่นกัน ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นเรื่องของคนส่วนน้อยที่แสวงหาผลประโยชน์บนความขัดแย้งของประชาชน ซึ่งก็มีเพียงแค่นักการเมืองบางส่วนเท่านั้น แต่ถ้าเสียงเงียบ ส่วนใหญ่ยังเงียบอยู่ ความารุนแรงจะเกิดขึ้น เราไม่ควรปล่อยให้สังคมกลายเป็นเครื่องมือ หรือตัวประกันที่ทำให้เกิดความรุนแรง
**"บิ๊กจิ๋ว"บวชไถ่บาป
มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุ ในวันนี้ (19พ.ย.) โดยจะไปบวชที่วัดป่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งการบวชครั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบ และได้เดินทางไปกับบุตรชายเพียงลำพัง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความยุ่งยาก และการตัดสินใจบวชครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการหลบปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง
แหล่งข่าวคนสนิทของพล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า ก่อนตัดสินใจบวช พล.อ. ชวลิตได้มีการพูดคุยกับคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยาและคนสนิทเพียงไม่กี่คนมาระยะหนึ่งแล้ว หลังบ้านเมืองมีความวุ่นวายมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความเสียใจให้กับพล.อ.ชวลิต เป็นอย่างมาก
"พล.อ.ชวลิต อายุ70 กว่าปีแล้วและยังไม่เคยได้บวช ก็อยากจะบวชในครั้งนี้ โดยการตัดสินใจบวชครั้งนี้มีอยู่ 3 ประเด็น คือ 1. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2. บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง และ 3. บวชเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลกับประชาชนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา"
แหล่งข่าวคนเดิม บอกด้วยว่า พล.อ.ชวลิตได้พูดเปรยๆ กับคนสนิท ตอนนี้อยากปลีกวิเวกเพื่อหลบปัญหาความวุ่นวาย และการบวชครั้งก็เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลต่างๆ ให้กับเจ้ากรรมนาย เวร ทั้งหลาย โดยเหตุการณ์ที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้กับพล.อ. ชวลิตมาก ทั้งนี้การหลบไปถือศีลของ พล.อ.ชวลิตครั้งนี้ คงจะอยู่สักระยะหนึ่ง เมื่อจิตใจสงบดีแล้ว ก็จะลาสิขาบทกลับมาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง