ผู้จัดการรายวัน - อัยการชี้แม้ว-อ้อหย่ากันไม่มีผลต่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน เหตุทั้งสองเคยให้การกับ ป.ป.ช.โอนขาดไปแล้ว จับพิรุธหย่าการเมือง"เป็ดเหลิม"เผยเองเจอนายใหญ่สองผัวเมียอี๋อ๋อก่อนมีข่าวหย่าตามมา ส่วน"สมพงษ์"อ้างไม่รู้แม้วอยู่ไหน โบ้ยยกเลิกพาสปอร์ตแดง โยนอัยการนำตัวมาดำเนินคดี "อภิสิทธิ์"จี้"สมชาย"ทำหน้าที่หยุดพี่เมียป่วนประเทศ "เทพเทือก"ระบุแม้วหวังสู้คดียึดทรัพย์และเปิดสงครามแตกหักเต็มรูปแบบ เตือนสักวันจะได้บทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ สมชายปัดตอบโฟนอินรอบใหม่ก่อปัญหา โฆษก กอ.รมน.เผย กม.ใหม่สกัด "พัลลภ" นั่งผู้ช่วย ผอ.กอ.รมน.
วานนี้ (17 พ.ย.) นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ในฐานะคณะทำงานรับผิดชอบว่าความ คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จดทะเบียนหย่ากับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาว่า การจดทะเบียนหย่าของทั้งสองคนไม่มีผลต่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด เนื่องจากคดีนี้อัยการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยเพียงคนเดียว ตามมติของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ชี้มูลความผิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติจากการขายหุ้นให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงค์โปร์ ที่แม้จะโอนหุ้นให้กับบุคคลธรรมดา นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนต่างๆแล้ว แต่ก็ยังมีการกระทำแทนในลักษณะของนอมินี และปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ไม่ได้ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน อีกทั้งตอนต้นทั้งสองไม่ได้แจ้งกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าเป็นทรัพย์สินของตนเอง แต่ได้แจ้งว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้โอนไปให้กับบุตรชาย บุตรสาว ญาติสนิทใกล้ชิด และบุคคลอื่นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นเจ้าของทรัพย์
“ประเด็นการหย่าแล้วจะเป็นเหตุผลให้คุณหญิงพจมาน ยื่นคำร้องค้านและขอให้ศาลฎีกาฯสั่งแยกทรัพย์สินในส่วนของตัวเองออกจากส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ได้ เพราะทั้งสองเคยให้การกับ ป.ป.ช. ว่าได้โอนขาดหรือโอนพราง หรือขายให้โดยมีค่าตอบแทนไปแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะต้องพิสูจน์ ส่วนคุณหญิงพจมาน อาจจะมาเป็นพยานให้ก็ได้ รวมทั้งการหย่าแม้จะทำให้ทั้งสองสามารถทำนิติกรรมเพียงลำพังได้ แต่ก็ไม่สามารถยื่นคำร้องของเพิกถอนทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ได้ เพราะขณะนี้ คตส.นั้นไม่มีสถานะภาพแล้ว ส่วน ป.ป.ช.ก็เคยวินิจฉัยว้าแล้วว่าไม่มีอำนาจที่จะเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สิน ซึ่งธนาคารพาณิชย์หรือหน่วยงานที่อายัดทรัพย์ไว้คงไม่กล้าดำเนินการอะไร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน” นายนันทศักดิ์ กล่าว
นายนันทศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ ให้บุคคลธรรมดา นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นผู้มีชื่อครอบครองบัญชีในธนาคารหรือทรัพย์สินตามคำร้องที่อัยการขอให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและการได้มาซึ่งทรัพย์สินแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรายใดได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลฎีกาฯไปแล้วหรือไม่ โดยคดีนี้ศาลนัดพร้อมคู่ความรวมทั้งผู้ร้องคัดค้านเพื่อยื่นบัญชีรายชื่อพยานและกำหนดประเด็นนำสืบในวันที่ 25 ธันวาคม นี้ เวลา 10.00 น.
****เหลิมงงแม้วหย่าทั้งที่ยังรักกันดี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข กล่าวยอมรับว่า ได้เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานที่ประเทศฮ่องกง แต่ไม่มีนายเนวิน ชิดชอบตามที่เป็นข่าว โดยคุยกันเรื่องเก่าๆ ในอดีต ไม่มีเรื่องการเมือง ส่วนเรื่องการหย่าร้างของคนทั้งสอง เท่าที่เห็นวันไปกินข้าวก็เห็นยังพูดคุยสนิทสนามหัวเราะต่อกระซิก ไม่น่ามีอะไรนำไปสู่การหย่าร้างได้ ตนมารู้จากสื่อทีหลังว่าหย่ากันตอนตนกลัยมาเมืองไทยแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า การหย่าของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ไม่มีใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีและทรัพย์สินซึ่งหากหย่า จริงก็แปลว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำนิติกรรมสัญญาก็ไม่ต้องขอความเห็น ชอบใดๆ จากอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และสินสมรสก็แบบกันคนละครึ่ง คนที่มาวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้เป็นพวกอวดรู้สู่ฉลาด ถ้าสังคมไทยไปตามกระแสก็จะไปได้เพียงระยะสั้น แต่ถ้าระยะยาวบ้านเมืองจะเสียหาย เป็นกระบวนการทำลายความชอบธรรม ของคนที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจะเกิดความเสียหาย เหมือนกับกรณีที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งวันนี้ได้คืนที่ดินไปแล้ว จึงอย่าไปซ้ำเติมในเรื่องนี้อีกเลย เพราะไม่ใช่การทุจริต แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย
ส่วนการหย่าร้างเป็นไพ่ใบสุดท้ายในการแก้เกมการเมืองหรือไม่นั้น ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามพ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวเท่านั้น จึงได้คำตอบที่ดีที่สุด ถามคนอื่นไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้ตอบไปก็ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ที่รู้คือ คุณหญิงพจมานไม่ชอบเรื่องการเมือง ไม่อยากให้เล่นการเมือง ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นคนที่สู้ชีวิต มีกฎกติกามีเหตุผล แต่ไม่ยอมคน ส่วนที่มีข่าวว่ามาเคลื่อนไหวเรื่อง การเมือง น่าจะเป็นเพียงประเด็นโจมตีของสื่อมวลชนเท่านั้น และก็ไม่ทราบด้วยว่า หย่าเพื่อเตรียมตัวเล่นการเมืองหรือไม่
***จำไม่ได้สนธิมีหนี้บุญคุณอะไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พันธมิตรหมดความชอบธรรมในการชุมนุม แล้ว เพราะการเมืองใหม่ ที่ให้มีการแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 ไม่เป็นที่ยอมรับ เอาเหตุผลมาใช้ดีกว่า ตอนนี้ก็เลิกฟังพันธมิตรฯพูดแล้ว เพราะมีแต่การพูดจาหยาบคาย หากบันทึกเทปที่เวทีพันธมิตรว่าจะมาแจ้งจับเรื่องหมิ่นประมาทก็คงหาทนายไม่พอ เพราะในรอบ 6เดือนที่ผ่านมา หากจะฟ้องร้องคงทำได้ 200 กว่าคดี แต่ของตนและครอบครัวมี 3-4 คดีเท่านั้น 1 ฟ้องนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. ขึ้นเวทีปราศรัย 28 นาที ด่าตน 17 ข้อ และแจ้งจับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จะได้รำลึกถึงกันถึงความหลังครั้งเก่า
ผมโดนด่าแหลกลาน แต่สุดท้ายจะถอนฟ้องให้ เพราะผมรู้จักกับคุณสนธิมาตั้งแต่ปี 2517 คุณสนธิบอกว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเขาใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดนั้น ผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าไปเป็นหนี้บุญคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ความเห็นทางการเมืองจะไม่ตรงกัน แต่คุณสนธิก็ไปไกลแล้ว นุ่งขาวห่มขาว เดินพรมน้ำมนต์ เข้าถึงโลกุตระ จะแก้แต่มนต์เขมร ไม่แก้มนต์พม่าบ้าง ก็อยากให้กลับเข้าวัดเข้าอาศรมไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานให้ลูกชายมาบริหารงานแทนจะดีกว่า ขอฝากบอกคุณสนธิด้วยว่า รมว.สาธารณสุขยังรักและเคารพอยู่ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆที่ยังรักกัน
***ไม่คิดนั่งนายกรัฐมนตรี
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีรายชื่อติดโผเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ยังไม่เคยคิดในเรื่องนี้ ตนอยู่เป็นรมว.สาธารณสุข ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ส่วนการที่จะไปเป็นรองนายกฯหรือนายกฯ นั้นคงเป็นไปไม่ได้เพราะอาวุโสน้อยและไม่เป็นแกนนำพรรค อีกทั้งยังมีคนที่เหมาะสมกว่าขณะนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามทั้งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่ว่างอยู่ คนพูดอาจดูรายชื่อจากคน ที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายคน
***สมพงษ์บื้อไม่รู้ทักษิณอยู่ไหน
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ตนไม่ได้รับรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปอยู่ประเทศใดในขณะนี้ อย่างไรก็ตามคิดว่า ปลัดกระทรวงการต่างประเทศคงจะแจ้งไปยังสถานทูตทุกแห่งให้รายงานความ เคลื่อนไหว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับตนทราบจากสื่อ
การนำตัวกลับมาดำเนินคดีเป็นเรื่องที่ทางอัยการต้องดำเนินการว่า อยู่ที่ไหนส่งหมายอย่างไร ระเบียบการของศาลต้องมีที่อยู่ ถึงจะส่งหมายไป ผมได้เรียนไปแล้วว่าจะให้ความเป็นธรรม ผมกำลังเสาะหาข้อมูลต่างๆ ตอนนี้ก็ได้ฟังความข้างเดียวว่าต้องการให้ถอนพาสปอร์ต กลุ่มคนที่ต้องการจะให้ถอนนี่เป็นยังไง
***อ้างไม่ได้ดูระเบียบถอนพาสปอร์ต
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงที่สุดแล้วจำเป็นต้องถอน พาสปอร์ตแดงหรือไม่ นายสมพงษ์กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นระเบียบนั้นว่าเป็นอย่างไร เห็นแต่ว่าเป็นดุลยพินิจ แต่ยังไม่เห็นระเบียบว่าผู้ที่ได้รับวีซ่าหรือพาสปอร์ต จะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตามตนจะต้องขอดูระเบียบ หากมีความจำเป็นต้องถอนก็ต้องถอน
ส่วนการหย่าระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กับคุณหญิงพจมาน จะเป็นการทำให้ คุณหญิงพจมาน เข้าอังกฤษได้ง่ายขึ้นใช่หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตน ก็ไม่ทราบ หากหย่าแล้วสามารถเข้าประเทศได้ง่ายเป็นตนก็คงหย่าเหมือนกัน
***มาร์คจี้สมชายหยุดแม้วป่วน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับคุณหญิงพจมาน อยากให้ให้รอฟัง เจ้าตัวดีกว่า เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่าเป็นการหย่าเพื่อนำมาต่อสู้ ทางการเมือง แต่ตนก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อตัวเอง ส่วนจะทำให้สถานการรณ์บ้านเมืองบานปลายหรือไม่นั้น ตนก็หวังว่าท่านจะหยุด เพื่อเห็นแก้บ้านเมือง หากท่านไม่หยุดเราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็ไม่จริงจังในการที่จะทำให้ปัญหายุติ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศจำเป็นจะต้องมีท่าทีต่อเรื่องนี้ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ต้องว่ากันแบบตรงไปตรงมาอย่าเลือกปฏิวัติ
ส่วนทางออกของปัญหาตอนนี้อยู่ที่รัฐบาลการลาออกหรือยุบสภา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลก็ยังมีปมเรื่องของเหตุการณ์อะไรต่างๆ ที่มีกรรมการสอบอยู่ เป็นเรื่องที่ยังคาราคาซัง ซึ่งตนได้เสนอมานานแล้วว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ การแก้ปัญหาอะไรก็สำเร็จยาก บ้านเมืองก็เสียโอกาส
สำหรับการถอนพาสปอร์ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เดินทางไปประเทศต่างๆ ได้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถวงถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเห็นว่า มีการโยนการตัดสินใจไปมาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับนายกฯ แต่จริงๆแล้ว กระทรวงการต่างประเทศต้องตัดสินใจไปตามระเบียบที่มีอยู่
*** ถ้าพัลลภไม่อยู่ในกรอบวุ่นแน่
ส่วนกรณีที่ครม.จะแต่งตั้งพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน.เป็น ผช.ผอ.กอ.รมน.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะเป็นจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ตนยังป็นห่วงในเรื่องของการแก้ปัญหาที่ต้องใช้สันติวิธี ถ้าหากว่ายังอยู่ในกรอบนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่หากไม่ใช่วิธีนี้ก็กังวลว่า ทุกอย่างจะวุ่นวายขึ้นไปอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าประวัติของ พล.อ.พัลลภ เป็นคนที่ค่อนข้างจะใช้ความรุนแรง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่นโยบาย และใครที่ไปอยู่ตรงนั้นก็ต้องปฏิบัติตาม นโยบายของรัฐบาล เพราะ กอ.รมน.ไม่ใช่องค์กรอิสระ แต่เป็นหน่วยงานของรัฐ และรัฐบาลต้องเป็นผู้กำหนดนโยบาย เมื่อถามว่า เป็นการส่งสัญยาณหรือไม่ว่าจากนี้ไป การแก้ปัญหากลุ่มพันธมิตรฯ จะใช้ความรุนแรงมากขึ้น หัวหน้าพรรคประชาธิปตย์ กล่าวว่า ตนคิดว่าขณะนี้นายกฯ ก็ยังย้ำเรื่องสานเสวนาอยู่ แต่ยังไม่เห็นมีรูปธรรม ในการขยับเรื่องดังกล่าวเลย
***แม้วหย่าเมียเปิดสงครามเต็มรูปแบบ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่มีใครทราบเบื้องหน้าเบื้องหลังว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อมีการหย่าเกิดขึ้นจริงก็มีเงื่อนไขทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินที่จะต้องมีการแยกแยะว่าทรัพย์สินส่วนไหนเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ทรัพย์สินส่วนไหน เป็นของคุณหญิงพจมาน ซึ่งจะต้องมีผลในการต่อสู้คดียึดทรัพย์ ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นเหตุผลของการหย่าครั้งนี้ก็ได้ แต่ที่เห็นชัดเจนคือเป็นการยืนยันด้วยตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเองว่าไม่เคยคิดเลิกเล่นการเมือง และเตรียมการที่จะต่อสู้ทางการเมือง ในทุกวิถีทาง ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเรากังวลใจ เพราะวิธีการต่อสู้ทางกาเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้เป็นการมุ่งเรื่องของตัวเองเป็นสำคัญ แต่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ ของประเทศโดยส่วนรวม
ผมกังวลใจว่าจะเกิดปัญหาในบ้านเมืองมากมาย รุนแรงไปกว่านี้ เพราะลักษณะของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นลักษณะของคนที่ไม่ยอมแพ้ และไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ในการต่อสู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหมือนกับว่าพ.ต.ท.ทักษิณเปิดสงครามเต็มรูปแบบมากขึ้น หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น โดยดูจากลักษณะแนวทางการตัดสินใจ รวมทั้งสิ่งที่ได้ทำมาตลอด คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณตั้งใจจะทำการเมืองแบบแตกหัก และหวังที่จะเอาชัยชนะให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียหายกับประเทศไทยอย่างไรก็ตาม และไม่คิดว่ารัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จะช่วยอะไรได้ เพราะรัฐบาล ก็ฟังคำสั่งของพ.ต.ท.ทักษิณทุกอย่าง จะให้ใครเข้า ออกก็อยู่ที่พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น แม้แต่ตัวนายกฯ เองพ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนตั้ง
***ชี้ประชาชนเท่านั้นจะหยุดแม้วได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าล่าสุดมีข่าวว่าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พ.ต.ท.ทักษิณมองตัวนายกฯ คนใหม่ไว้แล้ว เช่น นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน นายสุเทพ กล่าวว่า แสดงว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจจริงๆ ในพรรคการเมือง และมีอำนาจเหนือนักการเมืองเหล่านี้ เพราะฉะนั้นสั่งอะไรก็ได้ทุกอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณสามารถที่จะให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นนายกฯ ได้จริงๆ เพราะใช้เงินซื้อเสียง และโกงการเลือกตั้ง ชนะการเลือกตั้งด้วยเลียงข้างมาก แล้วใช้เสียงข้างมากนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ดังนั้น คนที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดแล้ว เขาเชื่อฟังมากที่สุดก็จะได้รับความไว้วางใจ โดยไม่คำนึงว่าคนนั้นจะมีความรู้ ความสามารถเป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ทำได้ทั้งนั้น
ส่วนจะอะไรจะสามารถหยุดพ.ต.ท.ทักษิณได้นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่ที่ประชาชน เมื่อประชาชนได้เห็นพิษภัยจากการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณชัดเจนยิ่งขึ้น กระบวนการการเลือกตั้งก็ต้องช่วยกันป้องกัน อย่าให้บรรดาลูกสมุน ลิ่วล้อของพ.ต.ท.ทักษิณได้เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีคนมายกมือสนับสนุนคนที่พ.ต.ท.ทักษิณสั่งให้เป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรี
***ปลุกชาวบ้านสู้เพื่อตัวเองไม่ง่าย
ส่วนที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาประเทศไทย โดยไม่มีการอุทธรณ์คดี และหากพ.ต.ท.ทักษิณติดคุกเมื่อไหร่ความรุนแรงจะเกิดขึ้นทันทีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า พวกนี้เป็นพวกที่ใช้วิธีการต่อสู้ทุกรูปแบบ พวกนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตยแต่อาศัยเปลือกของระบอบประชาธิปไตยแฝงเข้ามา จิตวิญญาณแท้จริง ก็เอาแต่พรรคพวก ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไร ไม่คำนึงถึง เมื่อถามว่าคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะเลือดเข้าตาจนถึงขนาดเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วต้องปลุกประชาชน นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องวที่ทำได้ไม่ง่าย ตนคิดว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจทำอย่างนั้นจริงๆ ก็จะเจอประชาชนที่เขาต่อต้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมาหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ต้องดูและให้สติกันว่าไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนที่จะมาทุบตีกันเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ บางทีฝ่ายที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณเมื่อเห็นมวลชนที่ยิ่งใหญ่ ที่ออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณจริงๆ เขาก็อาจจะยอมก็ได้ ต่อข้อถามว่าเวลานี้กลไกรัฐพึ่งพาไม่ได้แล้วจะสามารถพึ่งพากลไกอะไรได้บ้าง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันหนึ่งก็ต้องมีคนออกมาจัดการกับรัฐคือ ประชาชนนั่นเอง
***สมชายขอพันธมิตรฯ เห็นแก่บ้านเมือง
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงหลังงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาสราชนครินทร์เสร็จสิ้นรัฐบาลจะถือโอกาสเรียกร้องความสามัคคีของคน ในชาติ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่อยู่ในทำเนียบฯว่า เคยพูดมาแล้วว่า เราเคารพในสิทธิการชุมนุม หรือเรียกร้องเรื่องต่าง ๆ หากเป็นไปตาม กฎเกณฑ์และกฎหมาย ดังนั้น ถ้าสามารถทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง ก็ควรจะทำ
อย่างไรก็ตาม หากกลุ่มผู้ชุมนุมออกไปจากทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็คงต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการซ่อมแซม เนื่องจากมีความเสียหายมาก และต้องใช้งบประมาณมาก อย่าลืมว่าทำเนียบรัฐบาลเป็นสมบัติของชาติ มาจากภาษีประชาชน ไม่ใช่ของรัฐบาล ของตนหรือของใครจึงก็อยากจะขอร้องให้ช่วยกันคิดเรื่องนี้หน่อย
ส่วนจะมีการหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางร่วมมือแก้ปัญหาอย่างไรนั้น นายสมชาย กล่าวว่า ก็เห็นมีคนบอกว่าจะมีการนัดเจรจาพูดคุยกัน แต่จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นมีการนัดหมายเลย
เรื่องการเจรจาเห็นว่าเครือข่ายสานเสวนาได้ทำอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะนัดกันอย่างไร ซึ่งผมยืนยันว่าเห็นด้วยถ้าจะมีการพูดคุยกัน เพราะทุกคนควรจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองเป็นหลัก
นายสมชาย กล่าวว่า จากนี้ไปก็จะมีงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งเราก็จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดอาเซียน และก็จะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ จึงอยากให้คนไทยมีความสุข อย่างงานพระราชพิธีที่ผ่านมา ก็เห็นได้ว่า คนไทยทุกคนแสดงออกถึงความจงรักภักดี และความเป็นหนึ่งเดียวกันดีมาก ตนก็ต้องขอขอบคุณ
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะแสดงความจริงใจในการสร้างความสมานฉันท์อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การสร้างความสมานฉันท์เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องหาทางแก้กันไป การเป็นรัฐบาลบางครั้งก็ต้องอดทน พยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น และที่มีประชาชนบางส่วนบอกว่าอยากให้แก้ปัญหาให้เสร็จแบบทันใจ ตนก็เข้าใจ เป็นความคิดที่ถูกแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องใช้เวลา รัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ดังนั้นก็ต้องช่วยกันดูอีกที
***ปัดพูดถึง ทักษิณ โฟนอิน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะโฟนอินอีกครั้งในเดือน ธ.ค.หรือไม่ นายกฯปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะให้ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มาเป็นผู้ช่วย ผอ.กอ.รมน. นายสมชายไม่ยอมตอบคำถาม และเดินเลี่ยงขึ้นรถไปประชุมการเตรียมความพร้อมการจัดงานสโมสรสันนิบาต ที่หอประชุมกองทัพเรือทันที
***พัลลภเป็นได้แค่ที่ปรึกษา กอ.รมน.
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เปิดเผยภายหลังการประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันของ กอ.รมน. ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ กอ.รมน.เป็นประธาน ถึงกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. ระบุว่าได้รับการทาบทามจาก นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน.ให้มาเป็นผู้ช่วย ผอ.รมน. เพื่อมาแก้ไขปัญหา การชุมนุมของพันธมิตรฯว่า ในส่วนของ กอ.รมน. ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ทราบจากข่าวเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับ ผอ.รมน. จะพิจารณาตามกรอบของ กฎหมาย อย่างไรก็ตามการจัดบุคลากรเข้ามาทำงานใน กอ.รมน.ปัจจุบันต่างจากอดีต ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการอำนวยการอีก 22 คนด้วย
นายกฯในฐานะ ผอ.รมน.มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วย ผอ.รมน.ได้ ซึ่งเป็นไปตาม กรอบ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร มาตรา 5 วรรค 4 ที่ว่าด้วย ผอ.รมน.สามารถแต่งตั้งผู้ช่วยได้ โดยบุคคลนั้นต้องอยู่ในสังกัดของ กอ.รมน. หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างและการแบ่งมอบงาน กรณีของ พล.อ.พัลลภ เมื่อไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คงต้องตีความอีกครั้ง และขึ้นอยู่กับ ผอ.รมน.จะตัดสินใจเพิ่มเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนด ในมาตรา 10 (4) ที่สามารถแต่งตั้งที่ปรึกษา ผอ.รมน. ซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์อย่างน้อยด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ได้ ทั้งนี้ ไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่า เมื่อ พล.อ.พัลลภ เข้ามาแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาพันธมิตรฯ ได้หรือไม่.
วานนี้ (17 พ.ย.) นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ในฐานะคณะทำงานรับผิดชอบว่าความ คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จดทะเบียนหย่ากับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาว่า การจดทะเบียนหย่าของทั้งสองคนไม่มีผลต่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด เนื่องจากคดีนี้อัยการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยเพียงคนเดียว ตามมติของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ชี้มูลความผิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติจากการขายหุ้นให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงค์โปร์ ที่แม้จะโอนหุ้นให้กับบุคคลธรรมดา นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนต่างๆแล้ว แต่ก็ยังมีการกระทำแทนในลักษณะของนอมินี และปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ไม่ได้ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน อีกทั้งตอนต้นทั้งสองไม่ได้แจ้งกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าเป็นทรัพย์สินของตนเอง แต่ได้แจ้งว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้โอนไปให้กับบุตรชาย บุตรสาว ญาติสนิทใกล้ชิด และบุคคลอื่นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นเจ้าของทรัพย์
“ประเด็นการหย่าแล้วจะเป็นเหตุผลให้คุณหญิงพจมาน ยื่นคำร้องค้านและขอให้ศาลฎีกาฯสั่งแยกทรัพย์สินในส่วนของตัวเองออกจากส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ได้ เพราะทั้งสองเคยให้การกับ ป.ป.ช. ว่าได้โอนขาดหรือโอนพราง หรือขายให้โดยมีค่าตอบแทนไปแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะต้องพิสูจน์ ส่วนคุณหญิงพจมาน อาจจะมาเป็นพยานให้ก็ได้ รวมทั้งการหย่าแม้จะทำให้ทั้งสองสามารถทำนิติกรรมเพียงลำพังได้ แต่ก็ไม่สามารถยื่นคำร้องของเพิกถอนทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ได้ เพราะขณะนี้ คตส.นั้นไม่มีสถานะภาพแล้ว ส่วน ป.ป.ช.ก็เคยวินิจฉัยว้าแล้วว่าไม่มีอำนาจที่จะเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สิน ซึ่งธนาคารพาณิชย์หรือหน่วยงานที่อายัดทรัพย์ไว้คงไม่กล้าดำเนินการอะไร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน” นายนันทศักดิ์ กล่าว
นายนันทศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ ให้บุคคลธรรมดา นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นผู้มีชื่อครอบครองบัญชีในธนาคารหรือทรัพย์สินตามคำร้องที่อัยการขอให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและการได้มาซึ่งทรัพย์สินแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรายใดได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลฎีกาฯไปแล้วหรือไม่ โดยคดีนี้ศาลนัดพร้อมคู่ความรวมทั้งผู้ร้องคัดค้านเพื่อยื่นบัญชีรายชื่อพยานและกำหนดประเด็นนำสืบในวันที่ 25 ธันวาคม นี้ เวลา 10.00 น.
****เหลิมงงแม้วหย่าทั้งที่ยังรักกันดี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข กล่าวยอมรับว่า ได้เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานที่ประเทศฮ่องกง แต่ไม่มีนายเนวิน ชิดชอบตามที่เป็นข่าว โดยคุยกันเรื่องเก่าๆ ในอดีต ไม่มีเรื่องการเมือง ส่วนเรื่องการหย่าร้างของคนทั้งสอง เท่าที่เห็นวันไปกินข้าวก็เห็นยังพูดคุยสนิทสนามหัวเราะต่อกระซิก ไม่น่ามีอะไรนำไปสู่การหย่าร้างได้ ตนมารู้จากสื่อทีหลังว่าหย่ากันตอนตนกลัยมาเมืองไทยแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า การหย่าของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ไม่มีใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีและทรัพย์สินซึ่งหากหย่า จริงก็แปลว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำนิติกรรมสัญญาก็ไม่ต้องขอความเห็น ชอบใดๆ จากอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น และสินสมรสก็แบบกันคนละครึ่ง คนที่มาวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้เป็นพวกอวดรู้สู่ฉลาด ถ้าสังคมไทยไปตามกระแสก็จะไปได้เพียงระยะสั้น แต่ถ้าระยะยาวบ้านเมืองจะเสียหาย เป็นกระบวนการทำลายความชอบธรรม ของคนที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจะเกิดความเสียหาย เหมือนกับกรณีที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งวันนี้ได้คืนที่ดินไปแล้ว จึงอย่าไปซ้ำเติมในเรื่องนี้อีกเลย เพราะไม่ใช่การทุจริต แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย
ส่วนการหย่าร้างเป็นไพ่ใบสุดท้ายในการแก้เกมการเมืองหรือไม่นั้น ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามพ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวเท่านั้น จึงได้คำตอบที่ดีที่สุด ถามคนอื่นไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้ตอบไปก็ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ที่รู้คือ คุณหญิงพจมานไม่ชอบเรื่องการเมือง ไม่อยากให้เล่นการเมือง ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นคนที่สู้ชีวิต มีกฎกติกามีเหตุผล แต่ไม่ยอมคน ส่วนที่มีข่าวว่ามาเคลื่อนไหวเรื่อง การเมือง น่าจะเป็นเพียงประเด็นโจมตีของสื่อมวลชนเท่านั้น และก็ไม่ทราบด้วยว่า หย่าเพื่อเตรียมตัวเล่นการเมืองหรือไม่
***จำไม่ได้สนธิมีหนี้บุญคุณอะไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พันธมิตรหมดความชอบธรรมในการชุมนุม แล้ว เพราะการเมืองใหม่ ที่ให้มีการแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 ไม่เป็นที่ยอมรับ เอาเหตุผลมาใช้ดีกว่า ตอนนี้ก็เลิกฟังพันธมิตรฯพูดแล้ว เพราะมีแต่การพูดจาหยาบคาย หากบันทึกเทปที่เวทีพันธมิตรว่าจะมาแจ้งจับเรื่องหมิ่นประมาทก็คงหาทนายไม่พอ เพราะในรอบ 6เดือนที่ผ่านมา หากจะฟ้องร้องคงทำได้ 200 กว่าคดี แต่ของตนและครอบครัวมี 3-4 คดีเท่านั้น 1 ฟ้องนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. ขึ้นเวทีปราศรัย 28 นาที ด่าตน 17 ข้อ และแจ้งจับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ จะได้รำลึกถึงกันถึงความหลังครั้งเก่า
ผมโดนด่าแหลกลาน แต่สุดท้ายจะถอนฟ้องให้ เพราะผมรู้จักกับคุณสนธิมาตั้งแต่ปี 2517 คุณสนธิบอกว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเขาใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดนั้น ผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าไปเป็นหนี้บุญคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ความเห็นทางการเมืองจะไม่ตรงกัน แต่คุณสนธิก็ไปไกลแล้ว นุ่งขาวห่มขาว เดินพรมน้ำมนต์ เข้าถึงโลกุตระ จะแก้แต่มนต์เขมร ไม่แก้มนต์พม่าบ้าง ก็อยากให้กลับเข้าวัดเข้าอาศรมไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานให้ลูกชายมาบริหารงานแทนจะดีกว่า ขอฝากบอกคุณสนธิด้วยว่า รมว.สาธารณสุขยังรักและเคารพอยู่ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆที่ยังรักกัน
***ไม่คิดนั่งนายกรัฐมนตรี
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีรายชื่อติดโผเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ยังไม่เคยคิดในเรื่องนี้ ตนอยู่เป็นรมว.สาธารณสุข ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ส่วนการที่จะไปเป็นรองนายกฯหรือนายกฯ นั้นคงเป็นไปไม่ได้เพราะอาวุโสน้อยและไม่เป็นแกนนำพรรค อีกทั้งยังมีคนที่เหมาะสมกว่าขณะนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามทั้งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่ว่างอยู่ คนพูดอาจดูรายชื่อจากคน ที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายคน
***สมพงษ์บื้อไม่รู้ทักษิณอยู่ไหน
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ตนไม่ได้รับรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปอยู่ประเทศใดในขณะนี้ อย่างไรก็ตามคิดว่า ปลัดกระทรวงการต่างประเทศคงจะแจ้งไปยังสถานทูตทุกแห่งให้รายงานความ เคลื่อนไหว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับตนทราบจากสื่อ
การนำตัวกลับมาดำเนินคดีเป็นเรื่องที่ทางอัยการต้องดำเนินการว่า อยู่ที่ไหนส่งหมายอย่างไร ระเบียบการของศาลต้องมีที่อยู่ ถึงจะส่งหมายไป ผมได้เรียนไปแล้วว่าจะให้ความเป็นธรรม ผมกำลังเสาะหาข้อมูลต่างๆ ตอนนี้ก็ได้ฟังความข้างเดียวว่าต้องการให้ถอนพาสปอร์ต กลุ่มคนที่ต้องการจะให้ถอนนี่เป็นยังไง
***อ้างไม่ได้ดูระเบียบถอนพาสปอร์ต
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงที่สุดแล้วจำเป็นต้องถอน พาสปอร์ตแดงหรือไม่ นายสมพงษ์กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นระเบียบนั้นว่าเป็นอย่างไร เห็นแต่ว่าเป็นดุลยพินิจ แต่ยังไม่เห็นระเบียบว่าผู้ที่ได้รับวีซ่าหรือพาสปอร์ต จะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตามตนจะต้องขอดูระเบียบ หากมีความจำเป็นต้องถอนก็ต้องถอน
ส่วนการหย่าระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กับคุณหญิงพจมาน จะเป็นการทำให้ คุณหญิงพจมาน เข้าอังกฤษได้ง่ายขึ้นใช่หรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตน ก็ไม่ทราบ หากหย่าแล้วสามารถเข้าประเทศได้ง่ายเป็นตนก็คงหย่าเหมือนกัน
***มาร์คจี้สมชายหยุดแม้วป่วน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับคุณหญิงพจมาน อยากให้ให้รอฟัง เจ้าตัวดีกว่า เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่าเป็นการหย่าเพื่อนำมาต่อสู้ ทางการเมือง แต่ตนก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อตัวเอง ส่วนจะทำให้สถานการรณ์บ้านเมืองบานปลายหรือไม่นั้น ตนก็หวังว่าท่านจะหยุด เพื่อเห็นแก้บ้านเมือง หากท่านไม่หยุดเราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็ไม่จริงจังในการที่จะทำให้ปัญหายุติ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศจำเป็นจะต้องมีท่าทีต่อเรื่องนี้ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ต้องว่ากันแบบตรงไปตรงมาอย่าเลือกปฏิวัติ
ส่วนทางออกของปัญหาตอนนี้อยู่ที่รัฐบาลการลาออกหรือยุบสภา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลก็ยังมีปมเรื่องของเหตุการณ์อะไรต่างๆ ที่มีกรรมการสอบอยู่ เป็นเรื่องที่ยังคาราคาซัง ซึ่งตนได้เสนอมานานแล้วว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ การแก้ปัญหาอะไรก็สำเร็จยาก บ้านเมืองก็เสียโอกาส
สำหรับการถอนพาสปอร์ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เดินทางไปประเทศต่างๆ ได้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถวงถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเห็นว่า มีการโยนการตัดสินใจไปมาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับนายกฯ แต่จริงๆแล้ว กระทรวงการต่างประเทศต้องตัดสินใจไปตามระเบียบที่มีอยู่
*** ถ้าพัลลภไม่อยู่ในกรอบวุ่นแน่
ส่วนกรณีที่ครม.จะแต่งตั้งพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน.เป็น ผช.ผอ.กอ.รมน.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะเป็นจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ตนยังป็นห่วงในเรื่องของการแก้ปัญหาที่ต้องใช้สันติวิธี ถ้าหากว่ายังอยู่ในกรอบนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่หากไม่ใช่วิธีนี้ก็กังวลว่า ทุกอย่างจะวุ่นวายขึ้นไปอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าประวัติของ พล.อ.พัลลภ เป็นคนที่ค่อนข้างจะใช้ความรุนแรง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่นโยบาย และใครที่ไปอยู่ตรงนั้นก็ต้องปฏิบัติตาม นโยบายของรัฐบาล เพราะ กอ.รมน.ไม่ใช่องค์กรอิสระ แต่เป็นหน่วยงานของรัฐ และรัฐบาลต้องเป็นผู้กำหนดนโยบาย เมื่อถามว่า เป็นการส่งสัญยาณหรือไม่ว่าจากนี้ไป การแก้ปัญหากลุ่มพันธมิตรฯ จะใช้ความรุนแรงมากขึ้น หัวหน้าพรรคประชาธิปตย์ กล่าวว่า ตนคิดว่าขณะนี้นายกฯ ก็ยังย้ำเรื่องสานเสวนาอยู่ แต่ยังไม่เห็นมีรูปธรรม ในการขยับเรื่องดังกล่าวเลย
***แม้วหย่าเมียเปิดสงครามเต็มรูปแบบ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการหย่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่มีใครทราบเบื้องหน้าเบื้องหลังว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อมีการหย่าเกิดขึ้นจริงก็มีเงื่อนไขทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินที่จะต้องมีการแยกแยะว่าทรัพย์สินส่วนไหนเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ทรัพย์สินส่วนไหน เป็นของคุณหญิงพจมาน ซึ่งจะต้องมีผลในการต่อสู้คดียึดทรัพย์ ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นเหตุผลของการหย่าครั้งนี้ก็ได้ แต่ที่เห็นชัดเจนคือเป็นการยืนยันด้วยตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเองว่าไม่เคยคิดเลิกเล่นการเมือง และเตรียมการที่จะต่อสู้ทางการเมือง ในทุกวิถีทาง ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเรากังวลใจ เพราะวิธีการต่อสู้ทางกาเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้เป็นการมุ่งเรื่องของตัวเองเป็นสำคัญ แต่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ ของประเทศโดยส่วนรวม
ผมกังวลใจว่าจะเกิดปัญหาในบ้านเมืองมากมาย รุนแรงไปกว่านี้ เพราะลักษณะของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นลักษณะของคนที่ไม่ยอมแพ้ และไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ในการต่อสู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหมือนกับว่าพ.ต.ท.ทักษิณเปิดสงครามเต็มรูปแบบมากขึ้น หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น โดยดูจากลักษณะแนวทางการตัดสินใจ รวมทั้งสิ่งที่ได้ทำมาตลอด คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณตั้งใจจะทำการเมืองแบบแตกหัก และหวังที่จะเอาชัยชนะให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียหายกับประเทศไทยอย่างไรก็ตาม และไม่คิดว่ารัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จะช่วยอะไรได้ เพราะรัฐบาล ก็ฟังคำสั่งของพ.ต.ท.ทักษิณทุกอย่าง จะให้ใครเข้า ออกก็อยู่ที่พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น แม้แต่ตัวนายกฯ เองพ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนตั้ง
***ชี้ประชาชนเท่านั้นจะหยุดแม้วได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าล่าสุดมีข่าวว่าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พ.ต.ท.ทักษิณมองตัวนายกฯ คนใหม่ไว้แล้ว เช่น นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน นายสุเทพ กล่าวว่า แสดงว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจจริงๆ ในพรรคการเมือง และมีอำนาจเหนือนักการเมืองเหล่านี้ เพราะฉะนั้นสั่งอะไรก็ได้ทุกอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณสามารถที่จะให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นนายกฯ ได้จริงๆ เพราะใช้เงินซื้อเสียง และโกงการเลือกตั้ง ชนะการเลือกตั้งด้วยเลียงข้างมาก แล้วใช้เสียงข้างมากนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ดังนั้น คนที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดแล้ว เขาเชื่อฟังมากที่สุดก็จะได้รับความไว้วางใจ โดยไม่คำนึงว่าคนนั้นจะมีความรู้ ความสามารถเป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ทำได้ทั้งนั้น
ส่วนจะอะไรจะสามารถหยุดพ.ต.ท.ทักษิณได้นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่ที่ประชาชน เมื่อประชาชนได้เห็นพิษภัยจากการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณชัดเจนยิ่งขึ้น กระบวนการการเลือกตั้งก็ต้องช่วยกันป้องกัน อย่าให้บรรดาลูกสมุน ลิ่วล้อของพ.ต.ท.ทักษิณได้เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีคนมายกมือสนับสนุนคนที่พ.ต.ท.ทักษิณสั่งให้เป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรี
***ปลุกชาวบ้านสู้เพื่อตัวเองไม่ง่าย
ส่วนที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาประเทศไทย โดยไม่มีการอุทธรณ์คดี และหากพ.ต.ท.ทักษิณติดคุกเมื่อไหร่ความรุนแรงจะเกิดขึ้นทันทีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า พวกนี้เป็นพวกที่ใช้วิธีการต่อสู้ทุกรูปแบบ พวกนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตยแต่อาศัยเปลือกของระบอบประชาธิปไตยแฝงเข้ามา จิตวิญญาณแท้จริง ก็เอาแต่พรรคพวก ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไร ไม่คำนึงถึง เมื่อถามว่าคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะเลือดเข้าตาจนถึงขนาดเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วต้องปลุกประชาชน นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องวที่ทำได้ไม่ง่าย ตนคิดว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจทำอย่างนั้นจริงๆ ก็จะเจอประชาชนที่เขาต่อต้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมาหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ต้องดูและให้สติกันว่าไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนที่จะมาทุบตีกันเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ บางทีฝ่ายที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณเมื่อเห็นมวลชนที่ยิ่งใหญ่ ที่ออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณจริงๆ เขาก็อาจจะยอมก็ได้ ต่อข้อถามว่าเวลานี้กลไกรัฐพึ่งพาไม่ได้แล้วจะสามารถพึ่งพากลไกอะไรได้บ้าง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันหนึ่งก็ต้องมีคนออกมาจัดการกับรัฐคือ ประชาชนนั่นเอง
***สมชายขอพันธมิตรฯ เห็นแก่บ้านเมือง
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงหลังงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาสราชนครินทร์เสร็จสิ้นรัฐบาลจะถือโอกาสเรียกร้องความสามัคคีของคน ในชาติ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่อยู่ในทำเนียบฯว่า เคยพูดมาแล้วว่า เราเคารพในสิทธิการชุมนุม หรือเรียกร้องเรื่องต่าง ๆ หากเป็นไปตาม กฎเกณฑ์และกฎหมาย ดังนั้น ถ้าสามารถทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง ก็ควรจะทำ
อย่างไรก็ตาม หากกลุ่มผู้ชุมนุมออกไปจากทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็คงต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการซ่อมแซม เนื่องจากมีความเสียหายมาก และต้องใช้งบประมาณมาก อย่าลืมว่าทำเนียบรัฐบาลเป็นสมบัติของชาติ มาจากภาษีประชาชน ไม่ใช่ของรัฐบาล ของตนหรือของใครจึงก็อยากจะขอร้องให้ช่วยกันคิดเรื่องนี้หน่อย
ส่วนจะมีการหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางร่วมมือแก้ปัญหาอย่างไรนั้น นายสมชาย กล่าวว่า ก็เห็นมีคนบอกว่าจะมีการนัดเจรจาพูดคุยกัน แต่จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นมีการนัดหมายเลย
เรื่องการเจรจาเห็นว่าเครือข่ายสานเสวนาได้ทำอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะนัดกันอย่างไร ซึ่งผมยืนยันว่าเห็นด้วยถ้าจะมีการพูดคุยกัน เพราะทุกคนควรจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองเป็นหลัก
นายสมชาย กล่าวว่า จากนี้ไปก็จะมีงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งเราก็จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดอาเซียน และก็จะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ จึงอยากให้คนไทยมีความสุข อย่างงานพระราชพิธีที่ผ่านมา ก็เห็นได้ว่า คนไทยทุกคนแสดงออกถึงความจงรักภักดี และความเป็นหนึ่งเดียวกันดีมาก ตนก็ต้องขอขอบคุณ
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะแสดงความจริงใจในการสร้างความสมานฉันท์อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การสร้างความสมานฉันท์เป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องหาทางแก้กันไป การเป็นรัฐบาลบางครั้งก็ต้องอดทน พยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น และที่มีประชาชนบางส่วนบอกว่าอยากให้แก้ปัญหาให้เสร็จแบบทันใจ ตนก็เข้าใจ เป็นความคิดที่ถูกแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องใช้เวลา รัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ดังนั้นก็ต้องช่วยกันดูอีกที
***ปัดพูดถึง ทักษิณ โฟนอิน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะโฟนอินอีกครั้งในเดือน ธ.ค.หรือไม่ นายกฯปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะให้ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มาเป็นผู้ช่วย ผอ.กอ.รมน. นายสมชายไม่ยอมตอบคำถาม และเดินเลี่ยงขึ้นรถไปประชุมการเตรียมความพร้อมการจัดงานสโมสรสันนิบาต ที่หอประชุมกองทัพเรือทันที
***พัลลภเป็นได้แค่ที่ปรึกษา กอ.รมน.
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เปิดเผยภายหลังการประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันของ กอ.รมน. ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ กอ.รมน.เป็นประธาน ถึงกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. ระบุว่าได้รับการทาบทามจาก นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน.ให้มาเป็นผู้ช่วย ผอ.รมน. เพื่อมาแก้ไขปัญหา การชุมนุมของพันธมิตรฯว่า ในส่วนของ กอ.รมน. ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ทราบจากข่าวเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับ ผอ.รมน. จะพิจารณาตามกรอบของ กฎหมาย อย่างไรก็ตามการจัดบุคลากรเข้ามาทำงานใน กอ.รมน.ปัจจุบันต่างจากอดีต ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการอำนวยการอีก 22 คนด้วย
นายกฯในฐานะ ผอ.รมน.มีอำนาจแต่งตั้งผู้ช่วย ผอ.รมน.ได้ ซึ่งเป็นไปตาม กรอบ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร มาตรา 5 วรรค 4 ที่ว่าด้วย ผอ.รมน.สามารถแต่งตั้งผู้ช่วยได้ โดยบุคคลนั้นต้องอยู่ในสังกัดของ กอ.รมน. หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างและการแบ่งมอบงาน กรณีของ พล.อ.พัลลภ เมื่อไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คงต้องตีความอีกครั้ง และขึ้นอยู่กับ ผอ.รมน.จะตัดสินใจเพิ่มเจ้าหน้าที่ เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนด ในมาตรา 10 (4) ที่สามารถแต่งตั้งที่ปรึกษา ผอ.รมน. ซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์อย่างน้อยด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ได้ ทั้งนี้ ไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่า เมื่อ พล.อ.พัลลภ เข้ามาแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาพันธมิตรฯ ได้หรือไม่.