xs
xsm
sm
md
lg

ก่อนรัฐล้มละลาย?!

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

หนึ่งในความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญคือการนำลายลักษณ์สวยหรูสู่ภาคปฏิบัติการจริง ซึ่งปัจจุบันคงไม่มีดัชนีชี้วัดใดสำคัญและเป็นปัญหามากเท่ากับมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่ว่าประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

ด้วยแม้นเจตนารมณ์มาตรานี้จักชัดเจนยิ่งยวดว่าต้องการคุ้มครองความเสมอภาคให้แก่ประชาชนชาวไทยภายใต้หลักกฎหมายเดียวกันอันเป็นไปตามหลักความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย (Principle of Equality before the Law) ที่บัญญัติครั้งแรกตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475 และต่อเนื่องมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

หากกระนั้นผันผ่านเวลามากลับพิสูจน์ชัดถึงความล้มเหลวของประเทศไทยในการนำหลักการสากลของการคุ้มครองโดยไม่แบ่งแยก (Discrimination) นี้ไปใช้จริง เพราะยิ่งนานวันยิ่งสูญเสียทั้งชีวิตทรัพย์สินและแรงศรัทธาจากการ ‘ลอยนวล’ ของผู้เคยและกำลังครองอำนาจรัฐหลังกระทำผิด ผิดแผกจากคนปลายอ้อปลายแขมผู้ผจญการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจนกระทั่งถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลอยู่เสมอๆ

การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่ควรได้รับโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติเช่นนี้เองนำผืนแผ่นดินไทยทั้งในใจกลางพระนครและชายแดนหล่นหุบห้วงนรกร้อนระอุ หลายรายจากพรากจากความขัดแย้งทางการเมืองกลางกรุงยามบวกกับ 3,325 ชีวิตที่สิ้นสุดในเหตุการณ์ความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ ณ นาทีนี้ประเทศไทยขยับเข้าใกล้ภาวะรัฐล้มละลาย (Failed states) แล้ว เพราะไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้เลย

กอปรกับโครงสร้างสังคมไทยเองก็ยังเสียสมดุลด้วยถูกทุนธุรกิจการเมืองขนาดใหญ่เข้ามากุมอำนาจเหนือการเมืองและรัฐเรื่อยมาจนมุ่งผลิตนโยบายสาธารณะต่างๆ เพื่อตอบสนองธนกิจการเมืองและคะแนนเสียงเป็นสำคัญ

ความเป็นธรรมทางสังคมที่ควบคู่มากับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และภาคประชาสังคม (Civil society) อันเป็นกลไกสร้างโครงสร้างสังคมดุลยภาพจึงทอนกำลังลงมหาศาลจากการถูกล่วงละเมิดและละเลยโดยรัฐ

ถึงแม้นรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จะวางหลักการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ตลอดจนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบอำนาจรัฐไว้ หากทว่าในทางปฏิบัติกลับเผชิญอุปสรรคสำคัญอันเนื่องมาจากไม่มีกฎหมายลำดับรองออกมารับรองสิทธิเสรีภาพ ทำให้ไม่สามารถอ้างสิทธิในศาลได้ และไม่ได้กำหนดมาตรการในการบัญญัติกฎหมายลำดับรองให้เป็นไปตามหลักการสิทธิเสรีภาพที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังไม่ได้กำหนดกลไกในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้รัฐธรรมนูญของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน

ต่างจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่นอกจากจะร่างขึ้นโดยคงหลักการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าแล้ว ยังขยายและเพิ่มหลักการใหม่ไม่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใดมาก่อน ตลอดจนได้กำหนดกลไกมาตรการการรองรับและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพให้ปรากฏขึ้นจริง

ยิ่งกว่านั้นยังได้บันทึกเจตนารมณ์รายมาตราเพื่อทวีประโยชน์และลดปัญหาการตีความบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ไม่ให้เกิดประเด็นปัญหาการบังคับใช้ในแต่ละมาตราเหมือนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ทำให้ประชาชนกลายเป็นผู้เสียหายอันเนื่องมาจากถูกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับ หรือไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังอาจผ่อนทอนการสูญเสียประโยชน์จากการตีความกฎหมายแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ตามแรงปัจจัยทางธุรกิจการเมืองได้ด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนที่ยึดโยงกับการสร้างเสริมสุขภาวะคน ครอบครัว ชุมชน และสังคม เพื่อสร้างสรรค์ ‘สุขภาวะประชาธิปไตย’ ที่ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพและดุลยภาพ ตามนิยามสุขภาพของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 อันหมายถึงภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล และสิทธิมนุษยชนที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียม ที่ถูกลดความสำคัญลงมากจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง

ทั้งๆ การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนรัดร้อยถ้อยถักกับการสร้างเสริมสุขภาวะของประชาชนอย่างแนบแน่น ด้วยทุกคราวครั้งที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ลดทอนสิทธิพลเมือง หรือทำลายความชอบธรรมของภาคประชาสังคมจะกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

ทว่าหากสามารถกำหนดนโยบายสาธารณะด้านสิทธิที่เชื่อมโยงกับสุขภาพด้วยกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม (Participatory public policy process: P4) อันเป็นกระบวนการทางสังคมบนฐานพลังปัญญา ใช้ความรู้จากการวิเคราะห์สังเคราะห์มากำหนดสร้างนโยบายที่ทุกฝ่ายเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมเรียนรู้อย่างเปิดเผย โปร่งใส ‘ไร้นอกไร้ใน’ เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญได้นั้นย่อมก่อคุณูปการต่อประเทศชาติมหาศาล

เพราะอริยะสังคมเป็นธรรมถูกต้องดีงามและเป็นประโยชน์สุขต่อคนทั้งมวลย่อมเกิดไม่ได้หากขาดหายนโยบายสาธารณะที่ผลิดอกออกผลจากรัฐธรรมนูญว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนที่นำไปปฏิบัติการจริงจัง ผสานกับพลังภาคีเครือข่ายที่เชื่อมร้อยกันสรรสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ สังเคราะห์บทเรียนกรณีที่ประสบความสำเร็จ (Good practice) รวมทั้งจัดทำร่างกฎหมายให้อนุวัติตามรัฐธรรมนูญ

การเคลื่อนเครือข่ายทางสังคมในนามภาคประชาสังคมหรือการเมืองภาคพลเมืองจึงเคลื่อนขับสังคมไทยไปสู่หมุดหมายใหม่ได้ ไม่ต่างจากบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาพลิกโฉมหน้าประเทศมหาอำนาจด้วยวลีเรียบง่ายทว่าท้าทายยุคสมัยตกต่ำทางเศรษฐกิจสังคมและความมั่นคงทั่วโลกว่า ‘Change we can believe in’ ที่เป็นการเคลื่อนไหวของประชาชนคนธรรมดาผู้หลอมรวมกันเปลี่ยนแปลงสังคมจนประสบชัยชนะพิเศษสุด

การพลิกกลับมาคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญของประเทศไทยทั้งในฉบับ 2540 และขยายความอย่างเป็นรูปธรรมใน 2550 ผ่านหมวด 1 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (มาตรา 4) หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย (มาตรา 26-29) หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 87) และหมวด 7 การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน (มาตรา 163-165)

พร้อมผลึกพลังผลักดันร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและสุขภาวะที่เสนอได้โดยประชาชนผู้มีสิทธิ 10,000 รายชื่อ หรือประชาชนจำนวนหนึ่งในกรณี อปท. ในประเด็นสิทธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยเฉพาะพัฒนาการเด็กปฐมวัย สิทธิคนพิการ คนวิกลจริต คนไร้บ้าน เด็กเร่ร่อน ผู้สูงอายุรายได้ไม่เพียงพอ และสิทธิการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาทางเลือก

รวมถึงสิทธิผู้บริโภค เกษตรกร สิทธิในการทำงาน สิทธิชุมชน สิทธิในการจัดตั้งสมาคมและสหภาพข้าราชการ รวมถึงการวางผังเมือง ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และการทำหนังสือสัญญาต่างประเทศ เฉกเช่นเดียวกันกับสร้างกลไกส่งเสริมสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิผ่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง ถึงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

ขอเพียงแค่คนไทยไม่ถดถอยทดท้อพัฒนาปรับเปลี่ยนตนเองจากปัจเจกบุคคลเป็นมวลมหาประชาชนพลเมืองเคลื่อนขับ ‘การเมืองใหม่’ ที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ตลอดจนธำรงหลักความเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายไว้ได้ไม่ว่าผู้กระทำผิดนั้นจะมีอำนาจทรัพย์สินเท่าใด ให้เหมือนอเมริกาที่ประชาชนอเมริกันปลดแอกจากนักการเมืองลุอำนาจได้

อยู่ที่ว่าวันนี้เราพร้อมเปลี่ยนแปลง (Change) ตนเองแค่ไหน หรือต้องรอให้ประเทศชาติเข้าโหมดรัฐล้มละลายทั้งด้านสิทธิเสรีภาพและวินัยการเงินการคลังก่อน?!

คอลัมน์เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น