xs
xsm
sm
md
lg

อังกฤษถอนวีซ่าแม้ว-อ้อ ‘สมชาย’ ไม่ละอายใจเลยหรือ?

เผยแพร่:   โดย: สุวิชชา เพียราษฎร์

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 8-9 พฤศจิกายน 2551 ประเดิมก้าวขึ้นสู่ปีที่ 19 ด้วยพาดหัวข่าวตัวไม้ “ห้ามเข้าประเทศ อังกฤษถอนวีซ่าแม้ว-อ้อ” อย่างเงียบๆ แต่ครึกโครมในเวลาต่อมา

หลังจากตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง เนื้อหาข่าวถูกนำเสนอโดยผู้จัดการออนไลน์ออกไปก่อนในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งระบุว่า “นายแอนดี เกรย์ ผู้จัดการฝ่ายติดต่อกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ส่งอีเมลถึงสายการบินที่เป็นสมาชิกเอโอซี (คณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (Airport Operations Committee: AOC) เพื่อแจ้งเตือนให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯ ได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรที่ถือโดยบุคคลสัญชาติไทย ดังนี้ ทักษิณ ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D215863 และพจมาน ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D206635 เพราะวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ต่อไป และขอแนะนำสายการบินทั้งหลายว่าอย่าได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าสหราชอาณาจักร”

วันรุ่งขึ้น สื่อมวลชนทั้งในประเทศ และต่างประเทศแม้แต่สำนักข่าวระดับโลกอย่างบีบีซีต่างขวนขวายเช็กข่าวนี้ให้วุ่น จนกระทั่งต่อมา กระทรวงการต่างประเทศไทย ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว

ขณะที่ปฏิกิริยาจากนักการเมืองที่จงรักภักดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นปากเป็นเสียงให้เขามาตลอดอย่าง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และนายนพดล ปัทมะ กระวีกระวาดทำหน้าที่ปกป้องนายอย่างดูถูกสติปัญญาของผู้คนในสังคมเช่นเคยในทำนองว่า ข่าวดังกล่าวกุขึ้นมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือพ.ต.ท.ทักษิณ

“สายการบินต่างๆ ก็คงไม่ทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลในลักษณะนี้ เนื่องจากการปฏิเสธผู้โดยสารจะทำให้ภาพลักษณ์ของสายการบินเสียหาย ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน สามารถใช้สายการบินอะไรก็ได้ หรือใช้เครื่องบินส่วนตัวก็ได้อีกเหมือนกัน” นี่เป็นคำพูดของนายนพดล

ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีน้องเขยพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกผู้สื่อข่าวรุมซักถามตลอด2 วัน เขาบอกเพียงว่า “เมื่อวานก็พูดไปสองรอบแล้วว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลอังกฤษ เราไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรไม่ได้”

ความเห็นและท่าทีที่เพิกเฉยของนายสมชายสะท้อนให้เห็นอีกครั้งหนึ่งถึงเหตุผลว่า ทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงรู้สึกอับอาย และไม่ต้องการนายกฯ ที่หมดความชอบธรรมคนนี้อยู่สร้างความเสียหายให้ประเทศต่อไป!

นายสมชายและฝ่ายรัฐบาลจะปฎิเสธบิดเบือนด้วยคำพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ข้อเท็จจริงไม่มีวันเป็นอย่างอื่นก็คือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก!

การที่ประเทศอังกฤษระงับวีซ่าเข้าประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือว่าเป็นนัยที่สำคัญมาก เพราะอังกฤษถือเป็นต้นแบบประชาธิปไตย และการตัดสินใจเพิกถอนวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณ และภรรยา แม้จะไม่ได้ระบุเหตุผลที่ชัดเจน แต่ก็แปลความหมายได้ว่า อังกฤษยอมรับและเคารพในหลักนิติธรรม และนิติรัฐ โดยยอมรับในคำตัดสินของศาลไทยและกระบวนการยุติธรรมของไทยที่ตัดสินคดีคุณหญิงพจมาน มีความผิดจริงจากกรณีหลีกเลี่ยงภาษีกรณีซื้อขายหุ้น บ.ชินวัตร คอมพิวเตอร์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาตัดสินให้จำคุก 2 ปีจากกรณีทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.กรณีจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ

น่าสนใจว่า เมื่ออังกฤษดำเนินการเช่นนี้แล้ว ประเทศต่างๆ ในยุโรปจะทำเช่นใด? แต่นั่นอาจไม่สำคัญเท่ากับว่า ประเทศไทยที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับพ.ต.ท.ทักษิณ และพจมาน ที่ไม่ยอมทำอะไรเลยตั้งแต่มีความชัดเจนในการทำผิดของบุคคลทั้งสอง

นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศได้ให้สัมภาษณ์ “ผู้จัดการออนไลน์” เรียกพฤติกรรมที่เพิกเฉยของนายสมชาย และรัฐบาลของเขาว่า “น่าอับอาย-วิปริตที่สุด”

ท่านทูตสุรพงษ์บอกว่า “การลงมือระงับวีซ่าของรัฐบาลอังกฤษดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องอับอาย และวิปริตที่สุด แสดงเห็นว่าขนาดประเทศอังกฤษที่รัฐบาลมีอิสระในการตัดสินใจว่าจะให้ใครเข้าหรือไม่เข้าประเทศ จะให้ใครลี้ภัยหรือไม่ก็ได้ ยังมีท่าทีเช่นนี้ต่อนักโทษหนีคดีของไทย ขณะที่รัฐบาลไทยกลับไม่ทำอะไร คนที่เป็นนักโทษถูกพิพากษาแล้วรัฐบาลยังไม่ยึดพาสปอร์ตคืน ไม่ต้องว่าเป็นพาสปอร์ตแดง แต่พาสปอร์ตธรรมดาก็ด้วยต้องยึดคืนให้หมด ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่เคารพกฎหมายและไม่ทำตามหลักนิติรัฐ”

นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเนื้อหามุ่งทำลายความมั่นคงของสถาบันชาติตามที่ทราบกันดีนั้นสามารถโยงเข้ากับกรณีการเพิกถอนวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณและภรรยาได้เช่นกันว่า รัฐบาลอังกฤษไม่ต้องการจะทำลายความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานกับประเทศไทย

เนื่องเพราะอังกฤษที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับไทยคงไม่ต้องการให้พ.ต.ท.ทักษิณใช้เป็นเวทีโจมตีไทยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หากยังคิดไม่ได้ก็ขอแนะนำให้ย้อนกลับไปดูภาพของนายสมัคร สุนทรเวช ที่นั่งหมดสภาพที่สนามบินฮุสตัน มลรัฐเท็กซัส เบื้องหน้ามีคนชูป้ายต้อนรับว่า “เวรกรรมมีจริง ไม่ต้องรอชาติหน้า”.. ดูไว้เป็นอุทธาหรณ์

คนเราจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ทำอะไรไว้ย่อมเป็นไปตามกรรม!
กำลังโหลดความคิดเห็น