ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกหนุน ผันผวนแรงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยภาคเช้ารูดแตะระดับต่ำสุด 442 จุด ก่อนได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานดันช่วงปิดตลาดบวก 5.57 จุด ที่ 462.93 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉียด 1.4 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ แนะดัชนีตลาดหุ้นยังแกว่งตัว ให้ถือเงินสดรอดูทิศทางตลาดหุ้นโลก-การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด พร้อมจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกรอบสองของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวผันผวนค่อนข้างรุนแรง จากช่วงเช้าที่มีแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง ฉุดดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตลอดช่วงเช้า ก่อนจะเริ่มมีแรงซื้อเข้าในในหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยผลักดันให้ดัชนีเริ่มปรับตัวดีขึ้น และสามารถยืนเหนือแดนบวกได้เป็นผลสำเร็จ
โดยช่วงเช้าดัชนีได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 442.67 จุด จนกระทั่งเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีเริ่มปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 462.93 จุด และปิดการซื้อขายที่ 462.93 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 5.57 จุด หรือคิดเป็น 1.25% มูลค่าการซื้อขายรวม 13,704.59 ล้านบาท ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1.82 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 519.55 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 521.37 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 183 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายรวม 1,875.39 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 102 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือคิดเป็น 3.03% มูลค่า 1,664.52 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (PANPU) ราคาปิด 212 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 2.91% มูลค่า 1,302.84 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (6 พ.ย.) แกว่งผันผวนรุนแรงทั้งในแดนบวกและลบ โดยช่วงเช้าปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใดเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้น ขณะที่ช่วงบ่ายได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มพลังงาน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสามารถยืนเหนือแดนบวกได้
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าตลาดยังผันผวนตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย โดยนักลงทุนควรจับตาปัญหาการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีทางออก ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มพลังงาน ธุรกิจเดินเรือ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 440-450 จุด แนวต้านอยู่ที่ 470-480 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นลงตลอดวัน ขณะที่แนวโน้มวันนี้คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อาทิ ราคาน้ำมันโลก และปัจจัยการเมืองในประเทศ ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับที่ 442 จุด และแนวต้านที่ 475 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดกา ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนาสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ยังมีแรงเทขายสลับกับแรงซื้อของนักลงทุนอยู่ตลอดทั้งวัน ซึ่งช่วงเช้าร่วงลงตามราคาน้ำมันที่ปรับลดไปกว่า 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และดัชนีดาวโจนส์ ขณะที่ช่วงบ่ายดีดขึ้นมาจากแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติในหุ้นกลุ่มเดินเรือและกลุ่มพลังงาน รวมถึงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้ ยังแกว่งตัว โดยให้จับตาทิศทางตลาดหุ้นเอเชียและสหรัฐฯ และราคาน้ำมัน ขณะทีนักลงทุนควรถือเงินสด เพื่อรอดูสถานการณ์ และให้แนวรับอยู่ที่ 450-453 จุด แนวต้านอยู่ที่ 475-478 จุด”
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนจากแรงเทขายทำกำไรภายหลังจากตลาดหุ้นปรับขึ้นแรงติดต่อกันหลายวัน ซึ่งภายหลังจากรับข่าวสภาพคล่องของระบบการเงินที่ดีขึ้นช่วงสั้นจากความร่วมมือในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาชุดใหม่ทั้งการว่างงานและดัชนีภาคบริการ ได้ตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยและหมายถึงความท้าทายที่รออยู่สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่
ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ลดลงต่ำกว่าราคาพื้นฐานมากได้จูงใจให้นักลงทุนบางส่วนเข้ามาช้อนซื้อ และทำให้ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงท้ายการซื้อขาย สวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับลง โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยได้ปรับลงแรงกว่าตลาดภูมิภาคเช่นกัน
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน ประกอบกับนักลงทุนถือเงินสดเพื่อรอข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ภายใต้การนำของนายบารัก โอบามา จะออกมาตรการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจชุดที่สอง และเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจการเงินอเมริกาให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ขณะเดียวกันนักลงทุนจะต้องติดตามการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขที่ออกมายังไม่ดีนัก และเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้ความตกต่ำของเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะกดดันการลงทุนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนระยะยาวเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดี ประเมินแนวรับ 450 จุด แนวต้าน 465 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวผันผวนค่อนข้างรุนแรง จากช่วงเช้าที่มีแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง ฉุดดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตลอดช่วงเช้า ก่อนจะเริ่มมีแรงซื้อเข้าในในหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยผลักดันให้ดัชนีเริ่มปรับตัวดีขึ้น และสามารถยืนเหนือแดนบวกได้เป็นผลสำเร็จ
โดยช่วงเช้าดัชนีได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 442.67 จุด จนกระทั่งเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีเริ่มปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 462.93 จุด และปิดการซื้อขายที่ 462.93 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 5.57 จุด หรือคิดเป็น 1.25% มูลค่าการซื้อขายรวม 13,704.59 ล้านบาท ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1.82 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 519.55 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 521.37 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 183 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายรวม 1,875.39 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 102 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือคิดเป็น 3.03% มูลค่า 1,664.52 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (PANPU) ราคาปิด 212 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 2.91% มูลค่า 1,302.84 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (6 พ.ย.) แกว่งผันผวนรุนแรงทั้งในแดนบวกและลบ โดยช่วงเช้าปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใดเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้น ขณะที่ช่วงบ่ายได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มพลังงาน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสามารถยืนเหนือแดนบวกได้
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าตลาดยังผันผวนตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย โดยนักลงทุนควรจับตาปัญหาการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีทางออก ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มพลังงาน ธุรกิจเดินเรือ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 440-450 จุด แนวต้านอยู่ที่ 470-480 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นลงตลอดวัน ขณะที่แนวโน้มวันนี้คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อาทิ ราคาน้ำมันโลก และปัจจัยการเมืองในประเทศ ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับที่ 442 จุด และแนวต้านที่ 475 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดกา ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนาสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ยังมีแรงเทขายสลับกับแรงซื้อของนักลงทุนอยู่ตลอดทั้งวัน ซึ่งช่วงเช้าร่วงลงตามราคาน้ำมันที่ปรับลดไปกว่า 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และดัชนีดาวโจนส์ ขณะที่ช่วงบ่ายดีดขึ้นมาจากแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติในหุ้นกลุ่มเดินเรือและกลุ่มพลังงาน รวมถึงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้ ยังแกว่งตัว โดยให้จับตาทิศทางตลาดหุ้นเอเชียและสหรัฐฯ และราคาน้ำมัน ขณะทีนักลงทุนควรถือเงินสด เพื่อรอดูสถานการณ์ และให้แนวรับอยู่ที่ 450-453 จุด แนวต้านอยู่ที่ 475-478 จุด”
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนจากแรงเทขายทำกำไรภายหลังจากตลาดหุ้นปรับขึ้นแรงติดต่อกันหลายวัน ซึ่งภายหลังจากรับข่าวสภาพคล่องของระบบการเงินที่ดีขึ้นช่วงสั้นจากความร่วมมือในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาชุดใหม่ทั้งการว่างงานและดัชนีภาคบริการ ได้ตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยและหมายถึงความท้าทายที่รออยู่สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่
ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ลดลงต่ำกว่าราคาพื้นฐานมากได้จูงใจให้นักลงทุนบางส่วนเข้ามาช้อนซื้อ และทำให้ดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงท้ายการซื้อขาย สวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับลง โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยได้ปรับลงแรงกว่าตลาดภูมิภาคเช่นกัน
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน ประกอบกับนักลงทุนถือเงินสดเพื่อรอข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ภายใต้การนำของนายบารัก โอบามา จะออกมาตรการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจชุดที่สอง และเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจการเงินอเมริกาให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ขณะเดียวกันนักลงทุนจะต้องติดตามการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขที่ออกมายังไม่ดีนัก และเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งชี้ความตกต่ำของเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะกดดันการลงทุนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนระยะยาวเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดี ประเมินแนวรับ 450 จุด แนวต้าน 465 จุด