ตลาดหุ้นไทยเด้งแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังธนาคารกลางทั่วโลกประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกู้วิกฤตการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ บวกกับปัจจัยการเมืองไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิกว่า 941 ล้านบาท หนุนดัชนีปิดสูงสุดที่ 449.19 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 32 จุด มูลค่าการซื้อขายคึกคัก 1.7 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ เตือนอย่าวางใจอาจเจอแรงเทขายทำกำไรหากดัชนีปรับตัวเหนือ 450 จุด เหตุเศรษฐกิจโลกยังมีหลายปัจจัยเสี่ยง
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า ท่ามกลางแรงซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างคึกคักและต่อเนื่อง ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางทั่วโลก ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกู้วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
โดยระหว่างการซื้อขายดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 431.98 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 449.19 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนกว่า 32.66 จุด หรือคิดเป็น 7.84% มูลค่าการซื้อขายรวม 17,012.80 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยมียอดซื้อสุทธิรวม 941.78 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,064.57 ล้านบาท และ นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,006.36 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 98 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 12 บาท หรือคิดเป็น 13.95% มูลค่าการซื้อขาย 2,116.70 ล้านบาท บมจ.ปตท.ปิดที่ 177 บาท เพิ่มขึ้น 18 บาท หรือ 11.32% มูลค่า 2,032.40 ล้านบาท และ บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ปิดที่ 0.47 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 27.03% มูลค่า 1,302.60 ล้านบาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 พ.ย.) ทะยานขึ้นตามดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นเอเชีย ภายหลังจากที่ดัชนีเดือนตุลาคมปรับลงมากว่า 160 จุด รวมทั้งได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางทั่วโลก อาทิ ธนาคารอังกฤษ ยุโรป และ ออสเตรเลีย มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงต่ำมากแล้ว ทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาทยอยซื้อลงทุน โดยมียอดซื้อสุทธิเข้ามาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรง อยู่นอกเหนือความคาดหมายในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรง ทำให้ลดแรงกดดันทางการเมืองลงในช่วงสั้น และมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้น”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อาจจะเจอแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุน ขณะที่ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และการเมืองภายในประเทศที่อึมครึม โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ให้นักลงทุนขายทำกำไรหากดัชนีปรับตัวมาถึงระดับ 450 จุด และประเมินแนวรับไว้ที่ 400-410 จุด แนวต้านที่ 455-460 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า วานนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง จากปัญหาทางการเมืองที่ไม่เกิดความรุนแรง ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลและคาดการณ์ว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงยาวไปจนช่วงวันที่ (14-19 พ.ย.) ของงานประราชพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
“แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังผันผวน ตามทิศทางราคาน้ำมัน และตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากดัชนีรีบาวนด์ขึ้นเหนือระดับ 450 จุด อาจจะมีแรงเทขายทำกำไร (take profit) ออกมาจากดัชนีที่พุ่งแรงเมื่อวานนี้ ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในระยะสั้นยังคงเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร โดยมีแนวรับอยู่ที่ 430 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450-460 จุด” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
ด้าน นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ตามตลาดในเอเชียและสหรัฐฯ และข่าวการที่ธนาคารกลางยุโรปและอีกหลายๆ ประเทศ มีมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเงิน อีกทั้งเริ่มมีแรงช้อนซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำให้ตลาดปิดบวก
ส่วนตลาดหุ้นไทยวันนี้ อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กนอย แต่อาจมีแรงขายออกมาหากดัชนีดีดมาอยู่ที่ระดับ 450 จุดขึ้นไป ดังนั้น นักลงทุนระยะสั้นควรรอจังหวะแล้วเทขายทำกำไรเมื่อดัชนีถึงระดับดังกล่าว ซึ่งให้แนวรับอยู่ที่ 420 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 464 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า ท่ามกลางแรงซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างคึกคักและต่อเนื่อง ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางทั่วโลก ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกู้วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
โดยระหว่างการซื้อขายดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 431.98 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 449.19 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนกว่า 32.66 จุด หรือคิดเป็น 7.84% มูลค่าการซื้อขายรวม 17,012.80 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยมียอดซื้อสุทธิรวม 941.78 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,064.57 ล้านบาท และ นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,006.36 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 98 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 12 บาท หรือคิดเป็น 13.95% มูลค่าการซื้อขาย 2,116.70 ล้านบาท บมจ.ปตท.ปิดที่ 177 บาท เพิ่มขึ้น 18 บาท หรือ 11.32% มูลค่า 2,032.40 ล้านบาท และ บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ปิดที่ 0.47 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 27.03% มูลค่า 1,302.60 ล้านบาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 พ.ย.) ทะยานขึ้นตามดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นเอเชีย ภายหลังจากที่ดัชนีเดือนตุลาคมปรับลงมากว่า 160 จุด รวมทั้งได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางทั่วโลก อาทิ ธนาคารอังกฤษ ยุโรป และ ออสเตรเลีย มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงต่ำมากแล้ว ทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาทยอยซื้อลงทุน โดยมียอดซื้อสุทธิเข้ามาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรง อยู่นอกเหนือความคาดหมายในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรง ทำให้ลดแรงกดดันทางการเมืองลงในช่วงสั้น และมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้น”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อาจจะเจอแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุน ขณะที่ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และการเมืองภายในประเทศที่อึมครึม โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ให้นักลงทุนขายทำกำไรหากดัชนีปรับตัวมาถึงระดับ 450 จุด และประเมินแนวรับไว้ที่ 400-410 จุด แนวต้านที่ 455-460 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า วานนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง จากปัญหาทางการเมืองที่ไม่เกิดความรุนแรง ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลและคาดการณ์ว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงยาวไปจนช่วงวันที่ (14-19 พ.ย.) ของงานประราชพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
“แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังผันผวน ตามทิศทางราคาน้ำมัน และตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากดัชนีรีบาวนด์ขึ้นเหนือระดับ 450 จุด อาจจะมีแรงเทขายทำกำไร (take profit) ออกมาจากดัชนีที่พุ่งแรงเมื่อวานนี้ ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในระยะสั้นยังคงเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร โดยมีแนวรับอยู่ที่ 430 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450-460 จุด” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
ด้าน นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ตามตลาดในเอเชียและสหรัฐฯ และข่าวการที่ธนาคารกลางยุโรปและอีกหลายๆ ประเทศ มีมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเงิน อีกทั้งเริ่มมีแรงช้อนซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำให้ตลาดปิดบวก
ส่วนตลาดหุ้นไทยวันนี้ อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กนอย แต่อาจมีแรงขายออกมาหากดัชนีดีดมาอยู่ที่ระดับ 450 จุดขึ้นไป ดังนั้น นักลงทุนระยะสั้นควรรอจังหวะแล้วเทขายทำกำไรเมื่อดัชนีถึงระดับดังกล่าว ซึ่งให้แนวรับอยู่ที่ 420 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 464 จุด