ผมว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องวีรกรรมของ น.ต.จักรี จงศิริ แล้ว เพราะเดิมทีนึกไม่ถึงว่า ผู้บริหารของบริษัทการบินไทยจะมีระดับสติสัมปชัญญะ และสำนึกต่อสถานการณ์ของบ้านเมืองต่ำต้อยถึงเพียงนี้
กัปตันจักรี เป็นประชาชนชั้นหัวกะทิของสังคมไทย เป็นบุคลาการคุณภาพของบริษัทการบินไทย เป็นทหารมีศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติทหารเต็มเปี่ยม ทั้งยังมโนสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่สูงยิ่ง อันพิสูจน์ได้จากการที่ท่านปฏิเสธรับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คนขึ้นเครื่อง หลังจากเกิดเหตุการณ์ ส.ส.และ ส.ว. เหยียบกองเลือดและเนื้อของประชาชน เข้าไปฟัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายแบบสั่วๆ ในสภาฯ
เช้าตรู่ของวันที่ 8 ตุลาคม หลังจากที่เหนื่อยอ่อนจากการติดตามและรายงานเหตุการณ์ข่าววันที่ 6 ต่อเนื่องวันที่ 7 ตุลาคม มาเกือบสองวันเต็ม รุ่นพี่ที่เคารพก็โทร.มาแจ้งข่าวให้ผมทราบเกี่ยวกับ “การอารยะขัดขืนขั้นสูงสุด” ของกัปตันจักรี ที่ปฏิเสธที่จะรับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คน ประกอบไปด้วย นางฟาริดา สุไลมาน ส.ส.สุรินทร์ นายไชยา พรหมมา ส.ส.หนองบัวลำภู และนางชมพู จันทาทอง ส.ส.หนองคาย ขึ้นเครื่อง โดยให้เหตุผลว่า การรับ ส.ส.ที่มีส่วนในการทำร้ายประชาชนขึ้นเครื่องนั้นอาจก่อให้เกิดเหตุร้ายบนเครื่องโดยไม่คาดฝันได้
เช้าวันที่ 8 ต.ค. เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ เป็นสื่อแรกที่นำเสนอข่าวชิ้นดังกล่าว และก็ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก
วีรกรรมของ กัปตันจักรีในเช้าวันนั้นได้ส่งผลในเชิงจิตวิทยาต่อประชาชนในวงกว้าง โดยช่วยปลุกกระแสอารยะขัดขืนรัฐบาลทรราชในหมู่ปัญญาชนทั่วประเทศ ทำให้ทุกคนที่เคยนิ่งเงียบกล้า “ลุกขึ้นสู้” ซึ่งในเวลาต่อมา กลุ่มอาจารย์แพทย์ พยาบาล นักการทูต อาจารย์มหาวิทยาลัย อธิการบดี ต่างทยอยกันออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐและถึงขั้นแสดงการปฏิเสธอย่างรุนแรงต่อ รัฐมนตรี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และตำรวจที่มีบทบาทในการเข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม
อาจารย์แพทย์หลายสถาบัน ประกาศไม่รักษารัฐมนตรี ส.ส.รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ
เอกอัครราชทูตไทยคนหนึ่ง ปฏิเสธที่จะชี้แจงสถานการณ์ภายในประเทศให้ต่างชาติตาม “คำโกหก” ของรัฐบาล
ชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับพันเดินขบวนไปประท้วงที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อธิการบดีหลายสิบมหาวิทยาลัย ไม่เข้าร่วมประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
พนักงานบริษัททีโอทีหลายร้อยคน ออกมารวมตัวขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจจะนับรวมถึงประโยค “ถ้าเป็นผมลาออกไปแล้ว ... ไม่รู้จะอยู่ทำไม” ของนายทหารที่ชื่ออนุพงษ์ เผ่าจินดา ด้วยก็ได้!
หลังจากเหตุการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 8 ต.ค. ก็มีข่าวแพร่ออกมาเป็นระยะๆ ว่า ทางผู้บริหารของบริษัทการบินไทยซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหลบหนีโทษจำคุกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ กำลังหาช่องทางเพื่อเล่นงานกัปตันจักรีอยู่ ขณะที่ทางฝั่ง ส.ส.พลังประชาชน ก็ใช้วิธีการกดดันผ่านกรรมาธิการคมนาคม กำชับให้บอร์ดการบินไทยจัดการกับกัปตันอีกชั้น ทั้งยังมีข่าวว่าอาจมีการส่งเรื่องไปยังกรมขนส่งทางอากาศให้พิจารณาถอนใบอนุญาตการบินอีกด้วย
ทว่า ท่ามกลางข่าวสารว่าฝ่ายการเมืองกำลังจัดการกับกัปตันจักรีที่กล้ากระด้างกระเดื่อง กลับมีเสียงยืนยันอย่างหนักแน่นของกัปตันจักรี ผ่านมาทางพันธมิตรฯ ว่า
“ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้พันธมิตรฯ สู้ต่อไป”
ขณะที่ในช่วงค่ำของวันที่ 13 ต.ค. ภายหลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพของ “น้องโบว์” อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้ขึ้นเวที ณ ทำเนียบ เพื่iiอ่านจดหมายจากเวียงจันทน์ ประเทศลาว ซึ่งกัปตันจักรี ส่งผ่านมายังพี่น้องพันธมิตรฯ และคนไทย โดยในความตอนหนึ่งของจดหมายมีว่า
“เมื่อวันที่ 8 ตอนเช้านั้น ผมได้เห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงภาพผู้คนซึ่งเป็นคนไทยถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ร่างกายฉีกขาด เลือดนองพื้น เป็นภาพซึ่งผมเห็นแล้วรู้สึกอนาจใจอย่างมากที่รัฐบาลโดยการนำของพรรคพลังประชาชน เข่นฆ่าประชาชน โดยคนในพรรคนี้เห็นดีเห็นงามต่อการกระทำกับประชาชน จิตใจของพวกท่านทำด้วยอะไร เพียงเพื่อต้องการที่จะไปอ่านนโยบายบริหารประเทศ ท่านก็ฆ่าฟันผู้คนเข้าไปอ่านนโยบายแล้ว ฉะนั้นภายในนโยบายบริหารเหล่านั้นท่านคงจะต้องฆ่าประชาชนคนไทยไปอีกกี่ศพ ท่านจึงจะบรรลุนโยบายการบริหารประเทศของท่าน”
“ด้วยความคิดดังนั้น ผมเองจึงตัดสินใจที่จะไม่รับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรคพลังประชาชน สาเหตุเพราะหนังสือพิมพ์ซึ่งมีภาพผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าเหล่านั้น เมื่อผู้โดยสารท่านอื่นที่โดยสารไปในเที่ยวบินนั้นได้เห็นภาพและข่าว อาจเกิดบันดาลโทสะ ขาดการยับยั้ง ยกมารุมทำร้าย ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ขณะที่เตรียมขึ้นบินอยู่ ได้รับบาดเจ็บและล้มตายให้ตกไปตามกันก็ได้ จึงมิต้องการให้เกิดเรื่องไม่ดีเช่นนั้นในเครื่องจึงเป็นเหตุผลให้ผมไม่รับ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเข้าเครื่องในวันดังกล่าว ซึ่งถ้าการสอบสวนว่าผมกระทำความผิด และให้ผมไปกล่าวคำขอโทษ ส.ส.เหล่านั้น ก็ขอให้ลงโทษด้วยการฆ่าผมเสียดีกว่าที่จะให้ผมไปกล่าวคำขอโทษกับคนที่ไม่มีศีลธรรมเหล่านั้นให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติทหารนักรบอย่างผม”
ผม ในฐานะคนแกะลายมือและพิมพ์จดหมายของท่านเพื่อเผยแพร่ เมื่อได้อ่านจดหมายถึงสองย่อหน้านี้แล้ว น้ำตามันตกอยู่ข้างในครับ ในใจมันก็คับแค้นจนแทบจะระเบิดออกมา ...
ใจมันพร่ำถามสมองว่า เหตุใดผู้ที่ออกมาแสดงจุดยืน แสดงความเป็นมนุษย์ที่รักในวิถีแห่งสันติ รักในชีวิตเพื่อนมนุษย์ รักในความยุติธรรม และปฏิเสธความเป็นอมนุษย์ของคนบางกลุ่ม จึงต้องถูกกลั่นแกล้งเยี่ยงนี้ อีกทั้งยังถูกคนไร้การศึกษาบางกลุ่มกล่าวหาด้วยว่า เป็นนักบินที่ไร้จรรยาบรรณ ไม่รู้จักหน้าที่ และเป็นผู้มีอาการทางจิต?
ผมคนหนึ่งล่ะที่ยืนยันว่า กัปตันจักรีไม่ได้ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ได้ไม่รู้จักหน้าที่ และไม่ได้เป็นผู้มีอาการทางจิต เพียงแต่ท่านเป็นคนคนหนึ่ง ที่รู้จักความหมายของคำว่า “มโนสำนึกของความเป็นคน” ดีกว่าใครหลายคนเท่านั้น
กัปตันจักรี ยินดีที่จะถูกลงโทษทางวินัย ดีกว่าทำลายมโนสำนึกของความเป็นคนของตัวเองด้วยการลดตัวลงไปรับใช้พวกที่ไร้ศีลธรรม ท่านยินยอมที่จะถูกตักเตือน ถูกลดชั้นจากการเป็นกัปตัน ถูกไล่ออก หรือกระทั่งถูกฆ่าให้ตาย เสียดีกว่าที่จะลดศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยการไปก้มหัวขอโทษไอ้พวกสมุนรับใช้ทรราชมือเปื้อนเลือด
หลังจากวันที่ 13 ต.ค. ข่าวคราวเกี่ยวกับกัปตันจักรีเงียบหายไปอีกพักใหญ่ ...
ทว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็เป็นรุ่นพี่คนเดิมและตัวผมอีกนั่นแหละที่เป็นนักข่าวกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับทราบข่าวว่า กัปตันจักรี ถูกกัปตันโสภิต โภคะสุวรรณ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรการบิน บริษัทการบินไทยสั่งให้หยุดการสอนนักบินลูกศิษย์เป็นการชั่วคราวโดยปราศจากเหตุผลใดๆ และส่งผลมาเป็นการอารยะขัดขืนด้วยการประกาศลาออกจากการเป็นครูสอนนักบินของกัปตันครูฝึกบินของบริษัทการบินไทยจำนวน 5 คน ซึ่งมีทีท่าว่าอาจจะขยายตัวไปอีก
ผมสงสัยจริงๆ ว่า เพียงแค่การปฏิเสธที่จะรับ ส.ส.ขึ้นเครื่องบินของกัปตันจักรี โดยมีเหตุผลที่อธิบายได้ กลับส่งผลให้ท่านโดนลงโทษหนักหนาขนาดนี้ แล้วการที่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรี ส.ส.พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภา 63 คน ที่เหยียบร่างประชาชนที่ชุ่มไปด้วยเลือด แขน-ขาที่ขาดสะบั้นของประชาชน เข้าไปแถลงนโยบายในสภาฯ รวมถึง ไอ้พวกตำรวจชั่วอีกหลายร้อยคนที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 400 คน ทุพพลภาพหลายสิบคน และเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน
คนพวกนี้ สมควรที่จะได้รับการลงโทษอย่างไร?
กัปตันจักรี เป็นประชาชนชั้นหัวกะทิของสังคมไทย เป็นบุคลาการคุณภาพของบริษัทการบินไทย เป็นทหารมีศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติทหารเต็มเปี่ยม ทั้งยังมโนสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่สูงยิ่ง อันพิสูจน์ได้จากการที่ท่านปฏิเสธรับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คนขึ้นเครื่อง หลังจากเกิดเหตุการณ์ ส.ส.และ ส.ว. เหยียบกองเลือดและเนื้อของประชาชน เข้าไปฟัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายแบบสั่วๆ ในสภาฯ
เช้าตรู่ของวันที่ 8 ตุลาคม หลังจากที่เหนื่อยอ่อนจากการติดตามและรายงานเหตุการณ์ข่าววันที่ 6 ต่อเนื่องวันที่ 7 ตุลาคม มาเกือบสองวันเต็ม รุ่นพี่ที่เคารพก็โทร.มาแจ้งข่าวให้ผมทราบเกี่ยวกับ “การอารยะขัดขืนขั้นสูงสุด” ของกัปตันจักรี ที่ปฏิเสธที่จะรับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คน ประกอบไปด้วย นางฟาริดา สุไลมาน ส.ส.สุรินทร์ นายไชยา พรหมมา ส.ส.หนองบัวลำภู และนางชมพู จันทาทอง ส.ส.หนองคาย ขึ้นเครื่อง โดยให้เหตุผลว่า การรับ ส.ส.ที่มีส่วนในการทำร้ายประชาชนขึ้นเครื่องนั้นอาจก่อให้เกิดเหตุร้ายบนเครื่องโดยไม่คาดฝันได้
เช้าวันที่ 8 ต.ค. เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ เป็นสื่อแรกที่นำเสนอข่าวชิ้นดังกล่าว และก็ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก
วีรกรรมของ กัปตันจักรีในเช้าวันนั้นได้ส่งผลในเชิงจิตวิทยาต่อประชาชนในวงกว้าง โดยช่วยปลุกกระแสอารยะขัดขืนรัฐบาลทรราชในหมู่ปัญญาชนทั่วประเทศ ทำให้ทุกคนที่เคยนิ่งเงียบกล้า “ลุกขึ้นสู้” ซึ่งในเวลาต่อมา กลุ่มอาจารย์แพทย์ พยาบาล นักการทูต อาจารย์มหาวิทยาลัย อธิการบดี ต่างทยอยกันออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐและถึงขั้นแสดงการปฏิเสธอย่างรุนแรงต่อ รัฐมนตรี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และตำรวจที่มีบทบาทในการเข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม
อาจารย์แพทย์หลายสถาบัน ประกาศไม่รักษารัฐมนตรี ส.ส.รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ
เอกอัครราชทูตไทยคนหนึ่ง ปฏิเสธที่จะชี้แจงสถานการณ์ภายในประเทศให้ต่างชาติตาม “คำโกหก” ของรัฐบาล
ชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับพันเดินขบวนไปประท้วงที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อธิการบดีหลายสิบมหาวิทยาลัย ไม่เข้าร่วมประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
พนักงานบริษัททีโอทีหลายร้อยคน ออกมารวมตัวขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจจะนับรวมถึงประโยค “ถ้าเป็นผมลาออกไปแล้ว ... ไม่รู้จะอยู่ทำไม” ของนายทหารที่ชื่ออนุพงษ์ เผ่าจินดา ด้วยก็ได้!
หลังจากเหตุการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 8 ต.ค. ก็มีข่าวแพร่ออกมาเป็นระยะๆ ว่า ทางผู้บริหารของบริษัทการบินไทยซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหลบหนีโทษจำคุกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ กำลังหาช่องทางเพื่อเล่นงานกัปตันจักรีอยู่ ขณะที่ทางฝั่ง ส.ส.พลังประชาชน ก็ใช้วิธีการกดดันผ่านกรรมาธิการคมนาคม กำชับให้บอร์ดการบินไทยจัดการกับกัปตันอีกชั้น ทั้งยังมีข่าวว่าอาจมีการส่งเรื่องไปยังกรมขนส่งทางอากาศให้พิจารณาถอนใบอนุญาตการบินอีกด้วย
ทว่า ท่ามกลางข่าวสารว่าฝ่ายการเมืองกำลังจัดการกับกัปตันจักรีที่กล้ากระด้างกระเดื่อง กลับมีเสียงยืนยันอย่างหนักแน่นของกัปตันจักรี ผ่านมาทางพันธมิตรฯ ว่า
“ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้พันธมิตรฯ สู้ต่อไป”
ขณะที่ในช่วงค่ำของวันที่ 13 ต.ค. ภายหลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพของ “น้องโบว์” อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้ขึ้นเวที ณ ทำเนียบ เพื่iiอ่านจดหมายจากเวียงจันทน์ ประเทศลาว ซึ่งกัปตันจักรี ส่งผ่านมายังพี่น้องพันธมิตรฯ และคนไทย โดยในความตอนหนึ่งของจดหมายมีว่า
“เมื่อวันที่ 8 ตอนเช้านั้น ผมได้เห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงภาพผู้คนซึ่งเป็นคนไทยถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ร่างกายฉีกขาด เลือดนองพื้น เป็นภาพซึ่งผมเห็นแล้วรู้สึกอนาจใจอย่างมากที่รัฐบาลโดยการนำของพรรคพลังประชาชน เข่นฆ่าประชาชน โดยคนในพรรคนี้เห็นดีเห็นงามต่อการกระทำกับประชาชน จิตใจของพวกท่านทำด้วยอะไร เพียงเพื่อต้องการที่จะไปอ่านนโยบายบริหารประเทศ ท่านก็ฆ่าฟันผู้คนเข้าไปอ่านนโยบายแล้ว ฉะนั้นภายในนโยบายบริหารเหล่านั้นท่านคงจะต้องฆ่าประชาชนคนไทยไปอีกกี่ศพ ท่านจึงจะบรรลุนโยบายการบริหารประเทศของท่าน”
“ด้วยความคิดดังนั้น ผมเองจึงตัดสินใจที่จะไม่รับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรคพลังประชาชน สาเหตุเพราะหนังสือพิมพ์ซึ่งมีภาพผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าเหล่านั้น เมื่อผู้โดยสารท่านอื่นที่โดยสารไปในเที่ยวบินนั้นได้เห็นภาพและข่าว อาจเกิดบันดาลโทสะ ขาดการยับยั้ง ยกมารุมทำร้าย ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ขณะที่เตรียมขึ้นบินอยู่ ได้รับบาดเจ็บและล้มตายให้ตกไปตามกันก็ได้ จึงมิต้องการให้เกิดเรื่องไม่ดีเช่นนั้นในเครื่องจึงเป็นเหตุผลให้ผมไม่รับ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเข้าเครื่องในวันดังกล่าว ซึ่งถ้าการสอบสวนว่าผมกระทำความผิด และให้ผมไปกล่าวคำขอโทษ ส.ส.เหล่านั้น ก็ขอให้ลงโทษด้วยการฆ่าผมเสียดีกว่าที่จะให้ผมไปกล่าวคำขอโทษกับคนที่ไม่มีศีลธรรมเหล่านั้นให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติทหารนักรบอย่างผม”
ผม ในฐานะคนแกะลายมือและพิมพ์จดหมายของท่านเพื่อเผยแพร่ เมื่อได้อ่านจดหมายถึงสองย่อหน้านี้แล้ว น้ำตามันตกอยู่ข้างในครับ ในใจมันก็คับแค้นจนแทบจะระเบิดออกมา ...
ใจมันพร่ำถามสมองว่า เหตุใดผู้ที่ออกมาแสดงจุดยืน แสดงความเป็นมนุษย์ที่รักในวิถีแห่งสันติ รักในชีวิตเพื่อนมนุษย์ รักในความยุติธรรม และปฏิเสธความเป็นอมนุษย์ของคนบางกลุ่ม จึงต้องถูกกลั่นแกล้งเยี่ยงนี้ อีกทั้งยังถูกคนไร้การศึกษาบางกลุ่มกล่าวหาด้วยว่า เป็นนักบินที่ไร้จรรยาบรรณ ไม่รู้จักหน้าที่ และเป็นผู้มีอาการทางจิต?
ผมคนหนึ่งล่ะที่ยืนยันว่า กัปตันจักรีไม่ได้ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ได้ไม่รู้จักหน้าที่ และไม่ได้เป็นผู้มีอาการทางจิต เพียงแต่ท่านเป็นคนคนหนึ่ง ที่รู้จักความหมายของคำว่า “มโนสำนึกของความเป็นคน” ดีกว่าใครหลายคนเท่านั้น
กัปตันจักรี ยินดีที่จะถูกลงโทษทางวินัย ดีกว่าทำลายมโนสำนึกของความเป็นคนของตัวเองด้วยการลดตัวลงไปรับใช้พวกที่ไร้ศีลธรรม ท่านยินยอมที่จะถูกตักเตือน ถูกลดชั้นจากการเป็นกัปตัน ถูกไล่ออก หรือกระทั่งถูกฆ่าให้ตาย เสียดีกว่าที่จะลดศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยการไปก้มหัวขอโทษไอ้พวกสมุนรับใช้ทรราชมือเปื้อนเลือด
หลังจากวันที่ 13 ต.ค. ข่าวคราวเกี่ยวกับกัปตันจักรีเงียบหายไปอีกพักใหญ่ ...
ทว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็เป็นรุ่นพี่คนเดิมและตัวผมอีกนั่นแหละที่เป็นนักข่าวกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับทราบข่าวว่า กัปตันจักรี ถูกกัปตันโสภิต โภคะสุวรรณ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรการบิน บริษัทการบินไทยสั่งให้หยุดการสอนนักบินลูกศิษย์เป็นการชั่วคราวโดยปราศจากเหตุผลใดๆ และส่งผลมาเป็นการอารยะขัดขืนด้วยการประกาศลาออกจากการเป็นครูสอนนักบินของกัปตันครูฝึกบินของบริษัทการบินไทยจำนวน 5 คน ซึ่งมีทีท่าว่าอาจจะขยายตัวไปอีก
ผมสงสัยจริงๆ ว่า เพียงแค่การปฏิเสธที่จะรับ ส.ส.ขึ้นเครื่องบินของกัปตันจักรี โดยมีเหตุผลที่อธิบายได้ กลับส่งผลให้ท่านโดนลงโทษหนักหนาขนาดนี้ แล้วการที่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรี ส.ส.พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภา 63 คน ที่เหยียบร่างประชาชนที่ชุ่มไปด้วยเลือด แขน-ขาที่ขาดสะบั้นของประชาชน เข้าไปแถลงนโยบายในสภาฯ รวมถึง ไอ้พวกตำรวจชั่วอีกหลายร้อยคนที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 400 คน ทุพพลภาพหลายสิบคน และเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน
คนพวกนี้ สมควรที่จะได้รับการลงโทษอย่างไร?