ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วานนี้ (28 ต.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสาธิต ปิตุเดชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีต่อ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กับพวกฐานความผิดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการกระทำการหรือไม่กระทำการในตำแหน่งพนักงานอัยการ อันเป็นการมิชอบ เพื่อช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องรับโทษตามประมวลกฏหมายป.ป.ช.มาตรา 83, 157 และ 200
นายกรณ์ กล่าวภายหลังยื่นหนังสือว่าสืบเนื่องจากอัยการสูงสุดและคณะ ได้พิจราณาสำนวนการสอบสวน คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และได้มีความเห็นไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ที่ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท เอสซี แอสเซทฯ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)ได้ยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณา
ทั้งนี้ทางคณะทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำการศึกษากฏหมาย ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยได้ประเมิณว่าอัยกสารสูงสุดตีความกฏหมาย ไม่ถูกต้อง และเป็นการยกประโยชน์ให้กับผู้ถูกร้องเรียนถือว่าเป็นการละเว้นต่อหน้าที่ ในมาตรา 157 และ กระทำผิดต่อบทบาทหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ตาม มาตรา 200 ซึ่งการทำผิดในลักษณะนี้ถือว่ามีความสัมพันธ์ต่อคดีอื่นอีกมากมาย ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการที่จะเห็นอัยการสูงสุดมีส่วนร่วมในขบวนการที่จะปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมาตนได้ร่วมหารือกับ กลต. ที่เป็นผู้ดูแลกฏหมายโดยตรงและได้เห็นพ้องตรงกับตนทั้ง 100 % การตีความกฏหมายของอัยการสูงสุด ไม่ตรงกับความหมายและเจตนาดั้งเดิม โดยทางฝ่ายกฏหมายของ กลต.จะทำความคิดเห็นเพื่อยื่นให้กับ ดีเอสไอ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ ดีเอสไอ ต้องดำเนินการต่อไป ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด ถ้าดีเอสไอ ไม่เห็นด้วยกับอัยการสูงสุด ก็ต้องเป็นผู้ชี้ขาด ดังนั้นกรณีนี้ทาง กลต.จะได้ทำความเห็นที่ชัดเจนไปยังอัยการสูงสุดและทางดีเอสไอก็ยังพร้อมที่จะสรุปคดีนี้ ภายในสิ้นเดือนตุลาคมเชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่ล่าช้า อัยการสูงสุดก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชี้ขาด
การที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องจึงถือว่าเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว เช่นเดียวกับการตีความของหัวหน้าทีมพิจารณาคดีเอสซี แอสเสทฯ ของอัยการ ซึ่งตรงนี้ผมเห็นว่า เป็นการกระทำผิด ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ส่งผลต่อการไม่ยื่นฟ้อง ก็เป็นกรกระทำที่ไม่ควร พวกเราในฐานะผู้แทนของประชาชนเราต้องนำความกระจ่าง เพื่อเป็นประโยชณ์ต่อสัรายงานข่าวแจ้งว่า คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเสทฯในขั้นตอนของอัยการสูงสุด เป็นการพิจารณาสั่งสำนวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 3 และพวกรวม 4 คนฐานความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535(ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น) ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องประกอบด้วย ผู้ต้องหาที่ 1นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริษัท เอสซี เอสแสทฯ ผู้ต้องหาที่ 2 นางบุษบา ดามาพงศ์ อดีตกรรมการ บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด ผู้ต้องหาที่ 3 พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ต้องหาที่ 4 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร
นายกรณ์ กล่าวภายหลังยื่นหนังสือว่าสืบเนื่องจากอัยการสูงสุดและคณะ ได้พิจราณาสำนวนการสอบสวน คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และได้มีความเห็นไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ที่ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท เอสซี แอสเซทฯ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)ได้ยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณา
ทั้งนี้ทางคณะทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำการศึกษากฏหมาย ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยได้ประเมิณว่าอัยกสารสูงสุดตีความกฏหมาย ไม่ถูกต้อง และเป็นการยกประโยชน์ให้กับผู้ถูกร้องเรียนถือว่าเป็นการละเว้นต่อหน้าที่ ในมาตรา 157 และ กระทำผิดต่อบทบาทหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ตาม มาตรา 200 ซึ่งการทำผิดในลักษณะนี้ถือว่ามีความสัมพันธ์ต่อคดีอื่นอีกมากมาย ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการที่จะเห็นอัยการสูงสุดมีส่วนร่วมในขบวนการที่จะปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมาตนได้ร่วมหารือกับ กลต. ที่เป็นผู้ดูแลกฏหมายโดยตรงและได้เห็นพ้องตรงกับตนทั้ง 100 % การตีความกฏหมายของอัยการสูงสุด ไม่ตรงกับความหมายและเจตนาดั้งเดิม โดยทางฝ่ายกฏหมายของ กลต.จะทำความคิดเห็นเพื่อยื่นให้กับ ดีเอสไอ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ ดีเอสไอ ต้องดำเนินการต่อไป ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด ถ้าดีเอสไอ ไม่เห็นด้วยกับอัยการสูงสุด ก็ต้องเป็นผู้ชี้ขาด ดังนั้นกรณีนี้ทาง กลต.จะได้ทำความเห็นที่ชัดเจนไปยังอัยการสูงสุดและทางดีเอสไอก็ยังพร้อมที่จะสรุปคดีนี้ ภายในสิ้นเดือนตุลาคมเชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่ล่าช้า อัยการสูงสุดก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชี้ขาด
การที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องจึงถือว่าเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว เช่นเดียวกับการตีความของหัวหน้าทีมพิจารณาคดีเอสซี แอสเสทฯ ของอัยการ ซึ่งตรงนี้ผมเห็นว่า เป็นการกระทำผิด ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ส่งผลต่อการไม่ยื่นฟ้อง ก็เป็นกรกระทำที่ไม่ควร พวกเราในฐานะผู้แทนของประชาชนเราต้องนำความกระจ่าง เพื่อเป็นประโยชณ์ต่อสัรายงานข่าวแจ้งว่า คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเสทฯในขั้นตอนของอัยการสูงสุด เป็นการพิจารณาสั่งสำนวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 3 และพวกรวม 4 คนฐานความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535(ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น) ทั้งนี้ผู้ต้องหาที่อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องประกอบด้วย ผู้ต้องหาที่ 1นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริษัท เอสซี เอสแสทฯ ผู้ต้องหาที่ 2 นางบุษบา ดามาพงศ์ อดีตกรรมการ บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด ผู้ต้องหาที่ 3 พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ต้องหาที่ 4 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร
