ผู้จัดการรายวัน - ปูนใหญ่ เบนเข็มหาตลาดใหม่เพิ่ม หลังตลาดสหรัฐฯและยุโรปเกิดวิกฤติการเงิน พร้อมเดินหน้าออกหุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เดิม ส่วนแผนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามอาจยกเลิก เหตุต้องใช้เงินกู้100% ซึ่งอาจมีปัญหา "กานต์"ชี้ได้ข้อสรุปชัดเจนปี52 ขณะที่ผลงานไตรมาส 3กำไรหายกว่า 1,600 ล้านบาท แม้ยอดขายโตขึ้น ผู้บริหารเสียงอ่อยผลงานครึ่งปีหลังวูบเพราะธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้การจ่ายปันผลครึ่งปีหลังต่ำไปด้วย
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) เปิดเผยถึงผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่อาจส่งผลกระทบต่อ SCG ว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดทั้ง2 แห่งมีเพียงแค่10% ของการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 3 %ของยอดขายรวมของ SCG อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมความพร้อมในการรับมือด้วยการหาตลาดใหม่ แถบแอฟริกาและออสเตรีเลีย รวมทั้งภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพมารองรับแทนแล้ว แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมีแนวโน้มชะลอตัว เพราะบริษัทมั่นใจในฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง ประกอบกับการมุ่งมั่นปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกธุรกิจได้ดี
อย่างไรก็ดี ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,939.93 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,549.79 ล้านบาท หรือลดลง 1,609.86 ล้านบาท คิดเป็น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 บริษัทมีกำไรสุทธิภาษีจากการขายเงินลงทุนจำนวน 1,920 ล้านบาท
โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 เครือ SCG มียอดขายสุทธิ 79,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งยอดส่งออกปูนซีเมนต์เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสุทธิก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เพิ่มขึ้น6% จากไตรมาสเดียวกันของปี2550 เนื่องจากสามารถลดต้นทุนพลังงานจากการนำพลังงานความร้อนเหลือใช้ในกระบวนการผลิตมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนของปี 2551 เครือ SCG มียอดขายสุทธิ 238,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิ 20,251 ล้านบาท ลดลง18% จากงวดเดียวกันของปี2550เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ประกอบกับ ในปี 2550 เครือ SCG มีกำไรสุทธิทางภาษีจากการขายเงินลงทุน จำนวน 4,458 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 เครือ SCG สินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ 30 กันยายน 2551 มูลค่า 283,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 เท่ากับ 35,269 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากโครงการลงทุน นอกจากนี้ ในไตรมาส 3ปีนี้ บริษัทฯ ได้นำผลการดำเนินงานของบมจ.ไทย-เยอรมัน เซรามิค อินดัสทรี่ จำกัด (TGCI) มาจัดทำงบการเงินรวม เนื่องจากมีอำนาจควบคุมในการกำหนดนโยบายการเงินและการดำเนินงาน
ส่วน EBITDA ในไตรมาสนี้เท่ากับ 11,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจกระดาษ และต้นทุนพลังงานที่ประหยัดได้จากรายจ่ายลงทุนของธุรกิจซีเมนต์
ออกหุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้านรีไฟแนนซ์หนี้
นายกานต์ กล่าวถึงการออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ว่า ไตรมาส 4 ปีนี้จะออกอีก 25,000 ล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เดิม และใช้เป็นทุนหมุนเวียน หลังจากที่การออกหุ้นกู้งวดล่าสุดมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะมีอายุ 4 ปี และให้ผลตอบแทน 5.35%ต่อปี
สำหรับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลนั้น ได้มีการกำหนดขึ้นมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขที่ชัดเจนได้เนื่องจากต้องรอดูผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังก่อน โดยปีนี้กำไรสุทธิของบริษัทจะลดลงจากปีก่อน ซึ่งครึ่งปีหลังคาดจะมีกำไรต่ำกว่าครึ่งปีแรก ที่มี 1.43 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังจะต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่จ่าย 5.50 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ เนื่องจากราคาปิโตรเคมีเข้าสู่ข่วงขาลง และจะเป็นขาลงต่อเนื่องไปถึงปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 รวมถึงปีนี้ แต่ยืนยันว่ายอดขายปีนี้จะเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 10% หรือเกิน 3 แสนล้านบาท เพราะบริษัทได้เร่งผลักดันการส่งออกสินค้าของเครือเพิ่มมากขึ้น
คาดยกเลิกโครงการปิโตรฯ ที่เวียดนาม
นายกานต์ กล่าวถึงแแผนการลงทุนปิโตรเคมีที่เวียดนามว่า ตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผน โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่ร่วมกับรัฐบาลเวียดนามมูลค่า 32.5-4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีโอกาสที่จะล้มเลิก เนื่องจากโครงการนี้ใช้เงินกู้ประเภท Project Finance ทั้ง 100% จึงอาจจะมีปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 2552 และหากตัดสินใจดำเนินการตามแผนก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2557
"เป็นไปได้ ที่เราจะยกเลิกโครงการนี้ แม้ว่าจะมีการลงทุน ศึกษาโครงการ แต่ขนาดการลงทุนสูงถึง 3,500 -4,000 ล้านดอลลาร์ และใช้ Project Finance ทั้งหมด คงเป็นเรื่องยากที่สถาบันการเงินจะมีสภาพคล่องให้บริษัทกู้ยืม แต่ก็ยอมรับว่าเวียดนาม ยังเป็นตลาดที่ดี โอกาสในการเติบโตสูง หากไม่ลงทุนโครงการนี้ ก็ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาส" นายกานต์ กล่าว
ขณะที่การลงทุนขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่กัมพูชา บริษัทยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือจะปรับปรุงคุณภาพโรงงานเดิม แต่ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีปัญหา แม้ว่าขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาก็ตาม
" สำหรับโครงการลงทุนจนถึงปี 2553 ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ มีมูลค่าทั้งหมดประมาณ 84,000 ล้านบาท ปัจจุบัน ได้ดำเนินการไปแล้วกว่าครึ่ง โดยเงินลงทุนที่เหลืออีก 40,000 ล้านบาท ได้เตรียมเงินกู้และเงินทุนไว้หมดแล้ว ทั้งนี้โครงการก่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่2 ที่ระยอง ก็คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 " นายกานต์กล่าว
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) เปิดเผยถึงผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่อาจส่งผลกระทบต่อ SCG ว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดทั้ง2 แห่งมีเพียงแค่10% ของการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 3 %ของยอดขายรวมของ SCG อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมความพร้อมในการรับมือด้วยการหาตลาดใหม่ แถบแอฟริกาและออสเตรีเลีย รวมทั้งภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพมารองรับแทนแล้ว แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมีแนวโน้มชะลอตัว เพราะบริษัทมั่นใจในฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง ประกอบกับการมุ่งมั่นปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกธุรกิจได้ดี
อย่างไรก็ดี ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,939.93 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,549.79 ล้านบาท หรือลดลง 1,609.86 ล้านบาท คิดเป็น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 บริษัทมีกำไรสุทธิภาษีจากการขายเงินลงทุนจำนวน 1,920 ล้านบาท
โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2551 เครือ SCG มียอดขายสุทธิ 79,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งยอดส่งออกปูนซีเมนต์เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสุทธิก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เพิ่มขึ้น6% จากไตรมาสเดียวกันของปี2550 เนื่องจากสามารถลดต้นทุนพลังงานจากการนำพลังงานความร้อนเหลือใช้ในกระบวนการผลิตมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนของปี 2551 เครือ SCG มียอดขายสุทธิ 238,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิ 20,251 ล้านบาท ลดลง18% จากงวดเดียวกันของปี2550เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ประกอบกับ ในปี 2550 เครือ SCG มีกำไรสุทธิทางภาษีจากการขายเงินลงทุน จำนวน 4,458 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 เครือ SCG สินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ 30 กันยายน 2551 มูลค่า 283,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 เท่ากับ 35,269 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากโครงการลงทุน นอกจากนี้ ในไตรมาส 3ปีนี้ บริษัทฯ ได้นำผลการดำเนินงานของบมจ.ไทย-เยอรมัน เซรามิค อินดัสทรี่ จำกัด (TGCI) มาจัดทำงบการเงินรวม เนื่องจากมีอำนาจควบคุมในการกำหนดนโยบายการเงินและการดำเนินงาน
ส่วน EBITDA ในไตรมาสนี้เท่ากับ 11,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจกระดาษ และต้นทุนพลังงานที่ประหยัดได้จากรายจ่ายลงทุนของธุรกิจซีเมนต์
ออกหุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้านรีไฟแนนซ์หนี้
นายกานต์ กล่าวถึงการออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ว่า ไตรมาส 4 ปีนี้จะออกอีก 25,000 ล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เดิม และใช้เป็นทุนหมุนเวียน หลังจากที่การออกหุ้นกู้งวดล่าสุดมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะมีอายุ 4 ปี และให้ผลตอบแทน 5.35%ต่อปี
สำหรับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลนั้น ได้มีการกำหนดขึ้นมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขที่ชัดเจนได้เนื่องจากต้องรอดูผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังก่อน โดยปีนี้กำไรสุทธิของบริษัทจะลดลงจากปีก่อน ซึ่งครึ่งปีหลังคาดจะมีกำไรต่ำกว่าครึ่งปีแรก ที่มี 1.43 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังจะต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่จ่าย 5.50 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ เนื่องจากราคาปิโตรเคมีเข้าสู่ข่วงขาลง และจะเป็นขาลงต่อเนื่องไปถึงปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 รวมถึงปีนี้ แต่ยืนยันว่ายอดขายปีนี้จะเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 10% หรือเกิน 3 แสนล้านบาท เพราะบริษัทได้เร่งผลักดันการส่งออกสินค้าของเครือเพิ่มมากขึ้น
คาดยกเลิกโครงการปิโตรฯ ที่เวียดนาม
นายกานต์ กล่าวถึงแแผนการลงทุนปิโตรเคมีที่เวียดนามว่า ตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผน โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่ร่วมกับรัฐบาลเวียดนามมูลค่า 32.5-4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีโอกาสที่จะล้มเลิก เนื่องจากโครงการนี้ใช้เงินกู้ประเภท Project Finance ทั้ง 100% จึงอาจจะมีปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 2552 และหากตัดสินใจดำเนินการตามแผนก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2557
"เป็นไปได้ ที่เราจะยกเลิกโครงการนี้ แม้ว่าจะมีการลงทุน ศึกษาโครงการ แต่ขนาดการลงทุนสูงถึง 3,500 -4,000 ล้านดอลลาร์ และใช้ Project Finance ทั้งหมด คงเป็นเรื่องยากที่สถาบันการเงินจะมีสภาพคล่องให้บริษัทกู้ยืม แต่ก็ยอมรับว่าเวียดนาม ยังเป็นตลาดที่ดี โอกาสในการเติบโตสูง หากไม่ลงทุนโครงการนี้ ก็ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาส" นายกานต์ กล่าว
ขณะที่การลงทุนขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่กัมพูชา บริษัทยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือจะปรับปรุงคุณภาพโรงงานเดิม แต่ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีปัญหา แม้ว่าขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาก็ตาม
" สำหรับโครงการลงทุนจนถึงปี 2553 ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ มีมูลค่าทั้งหมดประมาณ 84,000 ล้านบาท ปัจจุบัน ได้ดำเนินการไปแล้วกว่าครึ่ง โดยเงินลงทุนที่เหลืออีก 40,000 ล้านบาท ได้เตรียมเงินกู้และเงินทุนไว้หมดแล้ว ทั้งนี้โครงการก่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่2 ที่ระยอง ก็คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 " นายกานต์กล่าว