ผู้บริหาร “ปูนใหญ่” คาดกำไรปี 51 ลดลง ยอมรับธุรกิจปิโตรเคมีกระทบหนัก คาดแผนลงทุน “ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์” ในเวียดนาม มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ ส่อเค้าล่ม เพราะใช้ Project Finance เพราะแบงก์อาจมีปัญหาสภาพคล่องให้บริษัทกู้ยืม
วันนี้ (22 ต.ค.) นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC คาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2551 โดยคาดว่า กำไรสุทธิในปีนี้ จะลดลงจากปีก่อน โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่า จะมีกำไรต่ำกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งมีกำไร 1.43 หมื่นล้านบาท ดังนั้น โดยจะส่งผลต่อเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลังลดน้อยกว่าที่จ่ายปันผลระหว่างกาลในช่วงครึ่งปีแรกไปที่ 5.50 บาท/หุ้นด้วย
“ยอมรับว่า กำไรสุทธิปีนี้น่าจะลดลงกว่าปีก่อน เนื่องจากราคาปิโตรเคมีเข้าสู่ข่วงขาลง และจะเป็นขาลงต่อเนื่องไปถึงปี 2552 ต่อเนื่องปี 2553 รวมถึงปีนี้ เรายังได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานในช่วงครึ่งปีแรกสูงมาก เพราะใช้นาฟทาเป็นวัตถุดิบ”
ทั้งนี้ ผู้บริหารปูนใหญ่ ระบุว่า ในปี 2550 กลุ่ม SCC มีกำไรสุทธิสูงถึง 30,351.90 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่า เครือซิเมนต์ไทย หรือ SCG จะทำยอดขายในปีนี้ให้เติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 10% หรือมียอดขายเกินกว่า 3 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เร่งผลักดันการส่งออกสินค้าของเครือเพิ่มมากขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี และกระดาษ
**คาดยอดขายในสหรัฐฯ-ยุโรปทรุด
นายกานต์ กล่าวว่า ในการดำเนินธุรกิจของเครือ SCC ในปี 2552 ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่กำลังลุกลามมายังภาคพื้นยุโรป ขณะที่บริษัทพึ่งพาตลาดส่งออกในสหรัฐและยุโรป ประมาณ 10% จึงคาดว่าจะได้รับผลกระทบต่อยอดขายประมาณ 3%
นอกจากนี้ ก็ต้องประเมินตลาดส่งออกในอาเซียน 40-50% ว่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมหรือไม่ เนื่องจากกลุ่มประเทศอาเซียนก็เป็นตลาดส่งออกใหญ่ของบริษัทเช่นกัน พร้อมกันนั้น บริษัทก็พยายามหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาทดแทน อาทิ ตลาดตะวันออกกลาง และ แอฟริกา เป็นต้น
นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่ร่วมกับรัฐบาลเวียดนามมูลค่า 32.5-4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีโอกาสที่จะล้มเลิก เนื่องจากโครงการนี้ใช้เงินกู้ประเภท Project Finance ทั้ง 100% จึงอาจจะมีปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปี 2552 และหากตัดสินใจดำเนินการตามแผนก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2557
“เป็นไปได้ ที่เราจะยกเลิกโครงการนี้ แม้ว่าจะมีการลงทุน ศึกษาโครงการ แต่ขนาดการลงทุนสูงถึง 3,500-4,000 ล้านดอลลาร์ และใช้ Project Finance ทั้งหมด คงเป็นเรื่องยากที่สถาบันการเงินจะมีสภาพคล่องให้บริษัทกู้ยืม แต่ก็ยอมรับว่า เวียดนาม ยังเป็นตลาดที่ดี โอกาสในการเติบโตสูง หากไม่ลงทุนโครงการนี้ ก็ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาส” นายกานต์ กล่าว
สำหรับการลงทุนขยายโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่กัมพูชา บริษัทยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือจะปรับปรุงคุณภาพโรงงานเดิม แต่ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีปัญหา แม้ว่าขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ตาม
**เล็งออกหุ้นกู้กว่า 2.5 หมื่น ลบ.ในปีหน้า
นายกานต์ กล่าววา ในปี 2552 บริษัทจะออกหุ้นกู้ใหม่มากกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบอายุในปีหน้าจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท และ ส่วนที่เหลือจะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน เช่นเดียวกับปี 2551 ที่บริษัทมีหุ้นกู้ครบอายุ 2 ชุดจำนวน 2 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทได้เสอนขาย 3.5 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องสูง และเชื่อมั่นว่า หุ้นกู้ของบริษัทยังได้รับความนิยม โดยการเสนอขายครั้งล่าสุดได้มีนักลงทุนจองเกินกว่าจำนวนที่เปิดขาย
ทั้งนี้ ในปีหน้ามองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่ และกังวลจะกระทบมาถึงเอเชีย ดังนั้น ต้องการให้ภาครัฐเตรียมความพร้อมทั้งด้านนโยบายการเงินและการคลัง และนำมาปฏิบัติจริงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายในเรื่องสำคัญ เพพื่อนำไปใช้ในโครงการสาธารณูปโภค เพราะว่าปีหน้าภาคอสังหาริมทรัพย์มองว่าจะภาวะถดถอย และการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศจะติดลบเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน