xs
xsm
sm
md
lg

ฝรั่งหวนคืนตลาดหุ้นไทย โบรกเกอร์หวั่นลิ่วล้อ“แม้ว”ก่อหวอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – นักลงทุนต่างชาติ เริ่มหวนคืนตลาดหุ้นไทย หลังวิกฤตสถาบันการเงินเริ่มคลี่คลายได้ระดับหนึ่ง ประเดิมซื้อสุทธิกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ดัชนียังแกว่งตัวตามทิศทางตลาดโลก โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ด้านนักวิเคราะห์ เผยบรรยากาศตลาดหุ้นไทยยังร้อนระอุ หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก “พ.ต.ท.ทักษิณ” 2 ปี อาจจุดชนวนให้กลุ่มนปช. ก่อหวอดและนำไปสู่ความรุนแรง พร้อมแนะชะลอลงทุน หรือขายทิ้งหากราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (21 ต.ค.) ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ช่วงบ่ายจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน ขณะที่ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในขณะนี้ยังเป็นปัจจัยต่างประเทศ เรื่องของวิกฤตสถาบันการเงินโลก รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเอง

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือราคาปิดครั้งก่อนตลอดทั้งวัน หลังจากที่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 786.00 จุด และต่ำสุดที่ 477.28 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 478.79 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 1.84 จุด หรือคิดเป็น 0.39% มูลค่าการซื้อขาย 10,777.61 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 307.75 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซ้อสุทธิ 615.39 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 923.14 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 104 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 3 บาท หรือคิดเป็น 2.97% มูลค่าการซื้อขาย 1,505.95 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปิดที่ 74.50 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 4.20% มูลค่าการซื้อขาย 955.45 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 57.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 1.77% มูลค่าการซื้อขาย 748.57 ล้านบาท

นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่แกว่งตัวทั้งแดนบวก-ลบ แต่ตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือระดับราคาปิดครั้งก่อนได้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงาน

“นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นแบงก์ หลังกำไรไตรมาส 3/51 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่หุ้นพลังงานเองจะได้รับข่าวดีจากการประชุมโอเปกในวันที่ 24 ต.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการลดกำลังการผลิต เพื่อไม่ให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไปมากกว่าระดับนี้”

ส่วนปัจจัยต่างประเทศเรื่องของวิกฤตสถาบันการเงินโลก เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง หลังจากทางการของทุกประเทศทั่วโลกประกาศมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน ส่งผลใฟ้สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้น แต่นักลงทุนจะต้องติดตามผลจากมาตรการดังกล่าวรวมถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่ได้

“ปัญหาด้านการเมืองไม่มีผลต่อตลาดหุ้นวานนี้มากนัก โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและภริยา เพราะเป็นเพียงขั้นตอนและกระบวนทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว”

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ นักลงทุนต้องติดตามความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะการลงทุนในระยะนี้จะเป็นในแบบเล่นสั้นตามกระแสข่าวที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยให้แนวรับ 470 จุด แนวต้าน 488 จุด

นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้ คาดว่ายังแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยควรจับตานโยบายของสหรัฐฯ ในการแก้ไขวิกฤตการเงิน ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ หรือกลุ่มโอเปค (OPEC) ที่มีแนวโน้มจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน

ขณะที่ ปัจจัยในประเทศ ยังต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังมืดมน รวมทั้งความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากศาลฎีกา มีคำตัดสินจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี ในคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในระยะสั้นจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 465-470 จุด และแนวต้าน 480-490 จุด

นางสาวจันทนา วัฒนกูล ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีบี จำกัด (มหาชน) หรือ KTBS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ และยังมีแนวโน้มผันผวน โดยนักลงทุนต้องติดตามผลจากการแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของโลก รวมถึงปัจจัยด้านการเมืองด้วย โดยกลยุทธ์การลงทุนให้ขายหากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น แนวรับอยู่ที่ระดับ 450-468 จุด และแนวต้านที่ 480-500 จุด

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยคาดว่าดัชนีจะยังคงเคลื่อนไหวอยุ่ในกรอบแคบๆ โดยต้องจับตาทิศทางตลาดต่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่อึมครึม ซึ่งหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีผลประกอบการที่ดี และประเมินแนวรับไว้ที่ 460 จุด และแนวต้านที่ 490 จุด

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศจากสภาพคล่องที่ผ่อนคลาย บวกกับมาตรการบรรเทาปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการและเสริมความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน ประกอบกับการแสดงเจตนารมย์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สนับสนุนให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวด้วยการเน้นการบริโภคในประเทศให้เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อีกครั้ง ในตลาดน้ำมันที่มีความเป็นไปได้ที่โอเปคจะมีการพิจารณาปรับลดกำลังการผลิตลงประมาณ 1–1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สำหรับการประชุมฉุกเฉินที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 ต.ค. 2551 นี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับเพิ่มขึ้น และผลักดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากประเด็นการเมืองที่มาถึงจุดเปราะบางและส่อเค้าที่จะเกิดความรุนแรงอีกครั้ง หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดในคดีซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก พร้อมสั่งให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี อันอาจจะจุดกระแสให้กลุ่มนปช. ออกมาเคลื่อนไหว และสร้างความกดดันต่อบรรยากาศทางการเมือง

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นวันนี้ ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงถูกกดดันจากปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาตัดสินให้จำคุก 2 ปี จะทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องติดตามการปรับเปลี่ยนขั้วทางการเมืองว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 460 จุด และแนวต้าน 500 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น