ตลาดหุ้นภาคบ่ายปิดบวก 0.39% แกว่งตามตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีแรงหนุนจากกลุ่ม "แบงก์-พลังงาน" เผยสัญญาณที่ profit taking เริ่มน้อยลง หลังปัจจัยจากภายนอกประเทศที่เห็นสภาพคล่องทางการเงินเริ่มดีขึ้นในระดับหนึ่ง สำหรับปัจจัยการเมือง อาจกดดันภาวะตลาดฯ หลังศาลตัดสินจำคุก "แม้ว" โดยศาลจะอนุมัติออกหมายจับใหม่ และเร่งดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งผลคำพิพากษาจะเพิ่มความกดดันในการบริหารงานของรัฐบาลมือเปื้อนเลือด และกระตุ้นให้ท่าทีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เข้มข้นขึ้น หากจุดยืนแต่ละขั้วถึงทางตัน อาจมีแรงขายทำกำไรถ่วงดัชนีฯ
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 21 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 478.79 จุด เพิ่มขึ้น 1.84 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.39% มูลค่าการซื้อขาย 10,777.61 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีการแกว่งทั้งทางบวก-ลบ
"ตลาดบ้านเราสามารถยืนแดนบวกได้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มแบงก์และกลุ่มพลังงาน ทั้งสองกลุ่มนี้ก็มีน้ำหนักเป็นครึ่งหนึ่งของตลาดแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เห็นว่า profit taking น้อยลง"
ทั้งนี้ พบว่า แรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นแบงก์ ภายหลังจากที่งบฯงวดไตรมาส 3/51 ออกมาดีใช้ได้ ส่วนกลุ่มพลังงานก็รับผลบวกจากการคาดการณ์ว่าทางโอเปคจะลดกำลังการผลิต ในการประชุมวันศุกร์นี้ (24 ต.ค.)
สำหรับปัจจัยจากภายนอกประเทศเวลานี้เป็นเรื่องของสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็คงจะต้องรอดูต่อไปว่าจะเกิดปัญหาอีกหรือเปล่า อีกทั้งรอดูมาตรการช่วยเหลือด้วยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนการเมืองไทย ไม่ได้มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้น ในวันนี้มากนัก โดยเฉพาะกรณีการตัดสินคดีที่ดินรัชดาฯ ก็เป็นเรื่องที่เดินไปตามกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้ว
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ นักลงทุนควรจะเกาะติดกระแสข่าวสารในแต่ละวัน เพราะการลงทุนในระยะนี้จะเป็นในแบบเล่นสั้นตามกระแสข่าว โดยพร้อมจะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกเวลานาที พร้อมให้แนวรับ 470 จุด แนวต้าน 488 จุด และแนะนำ "เทรดดิ้งช่วงสั้น" เลือกเล่นเป็นรายตัว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ จากสภาพคล่องทางการเงินที่ผ่อนคลายลง โดยสะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยปล่อยกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์ในยุโรปที่ลดลง ประกอบกับแผนการช่วยเหลือภาคการเงินวงเงิน 7 แสนล้านเหรียญฯ ที่เริ่มดำเนินการเพื่อเสริม ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน ประกอบกับการแสดงเจตนารมย์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะสนับสนุนให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว ด้วยการเน้นการบริโภคในประเทศให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนเริ่มกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อีกครั้ง ในตลาดน้ำมันที่มีความเป็นไปได้ที่โอเปคจะมีการพิจารณาปรับลดโควต้าการผลิตลงราว 1–1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สำหรับการประชุมฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 ต.ค. ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับเพิ่มขึ้นเป็นตัวแปรผลักดันดัชนีฯ
อย่างไรก็ตาม จากประเด็นการเมืองที่มาถึงจุดเปราะบางที่สำคัญเมื่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายในคดีซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก พร้อมสั่งให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ได้เพิ่มแรงกระเพื่อมต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. และสร้างความกดดันในบรรยากาศทางการเมือง ภายใต้การบริหารของพรรคพลังประชาชน (พปช.) หลังจากนี้
สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ (22 ต.ค.) มองว่าประเด็นการเมืองในประเทศจะมีน้ำหนักในการกดดันบรรยากาศการลงทุนหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาตัดสินว่าความผิด โดยศาลจะอนุมัติออกหมายจับใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีดังกล่าวและเร่งดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งผลคำพิพากษาจะเป็นเพิ่มความกดดันในการบริหารงานของรัฐบาล และกระตุ้นให้ท่าทีการชุมนุมของกลุ่ม นปช.นั้น เข้มข้นขึ้น ซึ่งต่อจับตาดูว่าหลังจากนี้แต่ละขั้วการเมืองจะมีความเห็นอย่างไร และจะมีจุดยืนอย่างไรในการเดินหน้าทางการเมือง ซึ่งในช่วงสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน อาจมีแรงขายลดความเสี่ยงมาถ่วงดัชนีฯ