นางดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยวานนี้ (17 ต.ค.) ว่า ธปท.ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยใหม่เหลือ
4.3-5.0% จากเดิม 4.8-5.8% และปีหน้าลดลงเหลือ 3.8-5.0% เนื่องจากแรงส่งจากเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ชะลอลงกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนถูกระ
ทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงจะส่งผลต่อภาคการส่งออก
และการลงทุนของภาคเอกชนในบางสาขา
“ความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในขณะนี้มีมากกว่าด้านบวก ไม่ว่าจะเป็น
วิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐฯที่มีโอกาสลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งรวมถึงประเทศใน
แถบเอเชียและไทยด้วยที่มีผลต่อภาคการส่งออกในระยะต่อไป แม้ในปัจจุบันราคาน้ำมันเริ่มลดลงบ้าง
ซึ่งผลดีต่อเศรษฐกิจบ้าง แต่ผลดีดังกล่าวจะน้อยกว่าผลลบผ่านภาคการส่งออก ขณะเดียวกันอัตราการ
เบิกจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 52 นี้ก็มีความเป็นไปได้จะต่ำกว่าประมาณการณ์ คือ 94% ซึ่งมีโอกาส
ให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำประมาณการณ์ไว้อีก รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองอาจกระทบต่อ
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวกว่าที่คาดไว้ได้”
ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับประมาณการณ์การลงทุนและการบริโภคหดตัวลง โดยการบริโภคติดลบ
1.5% ถึง ลบ 0.5% จากเดิม 2-3% และปี 2552 ปรับตัวเพิ่มมาเป็น 7-8% จากเดิม 1.5-2.5% และการลง
ทุนกลับมาติดลบ 3% ถึง ลบ 2% จากเดิม 3-4% และปีหน้า 4.5-5.5% ทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุน
และบริโภคลดลงด้วย โดยการลงทุนอยู่ที่ 4.0-5.0% และ 5.0-6.0% ในปีหน้า ส่วนการบริโภคเหลือ 2.5
-3.5% สำหรับปีนี้ และปีหน้า 3.5-4.5%
“การลงทุนและการบริโภคภาครัฐในขณะนี้มีหลายโครงการติดขัดมาก เพราะราคาต้นทุน
การก่อสร้างโครงการต่างๆ แพงขึ้น ทำให้ผู้ประมูลหลายรายทิ้งงาน และบางโครงการล่าช้าออกไป
ประกอบกับรัฐวิสาหกิจยังมีแผนการลงทุนที่ยังไม่ชัดเจนด้วย แม้ขณะนี้ภาครัฐมีความตั้งใจจะเป็นตัว
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก รวมถึงการออก 6 มาตรการล่าสุดของภาครัฐแสดงความมั่นใจที่ต้องการ
ให้เกิดการใช้จ่าย การเบิกจ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจยังมีแรงล่อเลี้ยงต่อไปได้อีก”
ส่วนภาคการส่งออกยังมีการขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ธปท.ปรับ
ประมาณการณ์มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 20-23% จากเดิม 16-19% อย่างไรก็ตามในช่วงระยะหลัง
จากนี้เริ่มเห็นสัญญาณชัดว่าการส่งออกมีแนวโน้มลดลงจากเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะไตร
มาสแรกของปี 2552 จะเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่ำสุด ทำให้ปีหน้ามูลค่าการส่งออกลดลง
เหลือ 7-10% จากเดิม 12.5-15.5% ขณะที่มูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น 28-31% จากเดิม 27-30% ซึ่ง
เป็นผลตามราคาที่เพิ่มขึ้น และปีหน้าหดเหลือ 8-11% จากเดิม 16.5-19.5% ทำให้ธปท.ปรับดุลการค้า
กลับมาเกินดุลในปีนี้อยู่ที่ 1,000-3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมประเมินขาดดุล 1,500-3,500 ล้าน
เหรียญ แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ได้ปรับ คือ เกินดุล 1,000-4,000 ล้านเหรียญ ในปีนี้ แม้ดุลบริการจาก
การท่องเที่ยวหดตัวลงบ้าง แต่ดุลการค้ายังดีอยู่ ส่วนในปีหน้าเกินดุลไม่เกิน 3,000 ล้านเหรียญ จาก
เดิมที่มองว่าจะขาดดุล 1,000-4,000 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ จากราคาน้ำมันที่ลดลงมากกว่าที่คาด ส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
และผลของ 6 มาตรการที่มาช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงการคาดการณ์เงินเฟ้อ
เริ่มปรับลดลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง 2.0-2.5% จากเดิม 2.8-3.8% และปีหน้า 2-3% ส่วน
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเช่นกันเหลือ 6.0-6.5% จากครั้งเก่าประเมินไว้ 7.5-8.8% และปีหน้าลดลง 3
-4% อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านราคาน้ำมันก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้
ชิด
“อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสต่ำได้ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากผลกระทบวิกฤตการณ์ทาง
การเงินสหรัฐ รัฐบาลไทยมีการต่ออายุมาตรการดูแลค่าครองชีพในบางส่วน ซึ่งหากไม่มีการดำเนิน
การเช่นนี้เงินเฟ้ออาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกและของไทยที่เริ่มฟื้นตัวอาจจะเป็น
แรงกดดันให้ราคาสินค้าต่างๆ รวมถึงน้ำมันปรับตัวสูงได้”
ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบใหม่ โดยในกรณีฐาน ราคาน้ำมันอยู่ที่ 114
เหรียญต่อบาร์เรล และ 95 เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาส 3 และ 4 ตามลำดับ จากเดิมคาดว่าจะทรงตัว
อยู่ที่ 135 เหรียญต่อบาร์เรลไปยังถึงปีหน้า และเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่ 104.1 เหรียญต่อบาร์เรล จากเดิม 119.6
เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนในกรณีเลวร้ายในไตรมาส 3 อยู่ที่ 114 เหรียญต่อบาร์เรล และลดลงเล็กน้อย
เหลือ 113 เหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาส 4 และถ้าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 108.6 เหรียญต่อบาร์เรล
*ธาริษาชี้วิกฤติส่งผลมากสุดปีหน้า
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติการเงินของโลกจะกระทบต่อ
เศรษฐกิจไทยในปี 2552 มากกว่าปีนี้ แต่จะมาเร็วหรือช้าแค่ไหนต้องติดตามใกล้ชิด ไม่มีใครฟันธงได้
แน่นอนว่าผลกระทบจะมากหรือน้อยขนาดไหน สิ่งที่ควรทำในขณะนี้คือสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา
"การที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ อาจทำให้มีผลต่อการปล่อยสินเชื่อชะลอลงไปบ้าง
ธนาคารพาณิชย์ยังคงต้องปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวัง" นางธาริษากล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่มี
ความจำเป็นต้องประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ฉุกเฉิน เพราะในการประชุม กนง.ครั้ง
ก่อนได้พิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจโลกไว้ครอบคลุมแล้ว
***คลังเตรียมทบทวนจีดีพีใหม่
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. กล่าวภายหลัง
มอบนโยบายให้กับข้าราชการและลูกจ้างของ สศค. ว่า ในภาวะที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหา
วิกฤตการณ์ทางการเงิน ไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ต้องประสานนโยบายการ
เงินการคลังอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและ
สถานการณ์ทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ถึง
ร้อยละ 5.1 ส่วนปีหน้าการขยายตัวน่าจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 4 - 5 โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ สศค.
จะทบทวนประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
"ขณะนี้ สศค.อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มงบประมาณขาดดุลเพิ่มเติม จาก
ปีงบประมาณ 2252 ที่ได้ตั้งเป้าหมายขาดดุลงบประมาณเพื่อใช้ลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ 249,000 ล้าน
บาท" นายสมชัยกล่าว.
4.3-5.0% จากเดิม 4.8-5.8% และปีหน้าลดลงเหลือ 3.8-5.0% เนื่องจากแรงส่งจากเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ชะลอลงกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนถูกระ
ทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงจะส่งผลต่อภาคการส่งออก
และการลงทุนของภาคเอกชนในบางสาขา
“ความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในขณะนี้มีมากกว่าด้านบวก ไม่ว่าจะเป็น
วิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐฯที่มีโอกาสลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งรวมถึงประเทศใน
แถบเอเชียและไทยด้วยที่มีผลต่อภาคการส่งออกในระยะต่อไป แม้ในปัจจุบันราคาน้ำมันเริ่มลดลงบ้าง
ซึ่งผลดีต่อเศรษฐกิจบ้าง แต่ผลดีดังกล่าวจะน้อยกว่าผลลบผ่านภาคการส่งออก ขณะเดียวกันอัตราการ
เบิกจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 52 นี้ก็มีความเป็นไปได้จะต่ำกว่าประมาณการณ์ คือ 94% ซึ่งมีโอกาส
ให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำประมาณการณ์ไว้อีก รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองอาจกระทบต่อ
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวกว่าที่คาดไว้ได้”
ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับประมาณการณ์การลงทุนและการบริโภคหดตัวลง โดยการบริโภคติดลบ
1.5% ถึง ลบ 0.5% จากเดิม 2-3% และปี 2552 ปรับตัวเพิ่มมาเป็น 7-8% จากเดิม 1.5-2.5% และการลง
ทุนกลับมาติดลบ 3% ถึง ลบ 2% จากเดิม 3-4% และปีหน้า 4.5-5.5% ทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุน
และบริโภคลดลงด้วย โดยการลงทุนอยู่ที่ 4.0-5.0% และ 5.0-6.0% ในปีหน้า ส่วนการบริโภคเหลือ 2.5
-3.5% สำหรับปีนี้ และปีหน้า 3.5-4.5%
“การลงทุนและการบริโภคภาครัฐในขณะนี้มีหลายโครงการติดขัดมาก เพราะราคาต้นทุน
การก่อสร้างโครงการต่างๆ แพงขึ้น ทำให้ผู้ประมูลหลายรายทิ้งงาน และบางโครงการล่าช้าออกไป
ประกอบกับรัฐวิสาหกิจยังมีแผนการลงทุนที่ยังไม่ชัดเจนด้วย แม้ขณะนี้ภาครัฐมีความตั้งใจจะเป็นตัว
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก รวมถึงการออก 6 มาตรการล่าสุดของภาครัฐแสดงความมั่นใจที่ต้องการ
ให้เกิดการใช้จ่าย การเบิกจ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจยังมีแรงล่อเลี้ยงต่อไปได้อีก”
ส่วนภาคการส่งออกยังมีการขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ธปท.ปรับ
ประมาณการณ์มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 20-23% จากเดิม 16-19% อย่างไรก็ตามในช่วงระยะหลัง
จากนี้เริ่มเห็นสัญญาณชัดว่าการส่งออกมีแนวโน้มลดลงจากเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะไตร
มาสแรกของปี 2552 จะเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่ำสุด ทำให้ปีหน้ามูลค่าการส่งออกลดลง
เหลือ 7-10% จากเดิม 12.5-15.5% ขณะที่มูลค่าการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น 28-31% จากเดิม 27-30% ซึ่ง
เป็นผลตามราคาที่เพิ่มขึ้น และปีหน้าหดเหลือ 8-11% จากเดิม 16.5-19.5% ทำให้ธปท.ปรับดุลการค้า
กลับมาเกินดุลในปีนี้อยู่ที่ 1,000-3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมประเมินขาดดุล 1,500-3,500 ล้าน
เหรียญ แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ได้ปรับ คือ เกินดุล 1,000-4,000 ล้านเหรียญ ในปีนี้ แม้ดุลบริการจาก
การท่องเที่ยวหดตัวลงบ้าง แต่ดุลการค้ายังดีอยู่ ส่วนในปีหน้าเกินดุลไม่เกิน 3,000 ล้านเหรียญ จาก
เดิมที่มองว่าจะขาดดุล 1,000-4,000 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ จากราคาน้ำมันที่ลดลงมากกว่าที่คาด ส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
และผลของ 6 มาตรการที่มาช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงการคาดการณ์เงินเฟ้อ
เริ่มปรับลดลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง 2.0-2.5% จากเดิม 2.8-3.8% และปีหน้า 2-3% ส่วน
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเช่นกันเหลือ 6.0-6.5% จากครั้งเก่าประเมินไว้ 7.5-8.8% และปีหน้าลดลง 3
-4% อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านราคาน้ำมันก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้
ชิด
“อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสต่ำได้ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากผลกระทบวิกฤตการณ์ทาง
การเงินสหรัฐ รัฐบาลไทยมีการต่ออายุมาตรการดูแลค่าครองชีพในบางส่วน ซึ่งหากไม่มีการดำเนิน
การเช่นนี้เงินเฟ้ออาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ รวมถึงเศรษฐกิจโลกและของไทยที่เริ่มฟื้นตัวอาจจะเป็น
แรงกดดันให้ราคาสินค้าต่างๆ รวมถึงน้ำมันปรับตัวสูงได้”
ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบใหม่ โดยในกรณีฐาน ราคาน้ำมันอยู่ที่ 114
เหรียญต่อบาร์เรล และ 95 เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาส 3 และ 4 ตามลำดับ จากเดิมคาดว่าจะทรงตัว
อยู่ที่ 135 เหรียญต่อบาร์เรลไปยังถึงปีหน้า และเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่ 104.1 เหรียญต่อบาร์เรล จากเดิม 119.6
เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนในกรณีเลวร้ายในไตรมาส 3 อยู่ที่ 114 เหรียญต่อบาร์เรล และลดลงเล็กน้อย
เหลือ 113 เหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาส 4 และถ้าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 108.6 เหรียญต่อบาร์เรล
*ธาริษาชี้วิกฤติส่งผลมากสุดปีหน้า
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติการเงินของโลกจะกระทบต่อ
เศรษฐกิจไทยในปี 2552 มากกว่าปีนี้ แต่จะมาเร็วหรือช้าแค่ไหนต้องติดตามใกล้ชิด ไม่มีใครฟันธงได้
แน่นอนว่าผลกระทบจะมากหรือน้อยขนาดไหน สิ่งที่ควรทำในขณะนี้คือสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา
"การที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ อาจทำให้มีผลต่อการปล่อยสินเชื่อชะลอลงไปบ้าง
ธนาคารพาณิชย์ยังคงต้องปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวัง" นางธาริษากล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่มี
ความจำเป็นต้องประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ฉุกเฉิน เพราะในการประชุม กนง.ครั้ง
ก่อนได้พิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจโลกไว้ครอบคลุมแล้ว
***คลังเตรียมทบทวนจีดีพีใหม่
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. กล่าวภายหลัง
มอบนโยบายให้กับข้าราชการและลูกจ้างของ สศค. ว่า ในภาวะที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหา
วิกฤตการณ์ทางการเงิน ไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ต้องประสานนโยบายการ
เงินการคลังอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและ
สถานการณ์ทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ถึง
ร้อยละ 5.1 ส่วนปีหน้าการขยายตัวน่าจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 4 - 5 โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ สศค.
จะทบทวนประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
"ขณะนี้ สศค.อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มงบประมาณขาดดุลเพิ่มเติม จาก
ปีงบประมาณ 2252 ที่ได้ตั้งเป้าหมายขาดดุลงบประมาณเพื่อใช้ลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ 249,000 ล้าน
บาท" นายสมชัยกล่าว.