เราเดินมาถูกทางแล้ว ในการที่ภาคประชาชนได้ก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์ แบกรับภารกิจนำพาประเทศชาติก้าวพ้นไปจากสภาวะ “ไม่สุกงอมทางการเมือง”
ความไม่สุกงอมทางการเมือง แสดงออกที่ประชาชนไม่ตระหนักรู้ถึงสิทธิเสรีภาพที่แท้จริงของตนเอง ไม่มีองค์กรหรือกลไกของตนเองในการเข้าถึงความจริง ตรวจสอบความจริง ขณะที่อำนาจบริหารประเทศยังวนเวียนอยู่ในมือของกลุ่มทุนที่ยึดเอาผลประโยชน์เฉพาะตนเป็นที่ตั้ง ไม่เป็นไปเพื่อสนองความเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองใหม่ ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ โดยมุ่งติดอาวุธทางปัญญา ให้ปัญญากลายเป็นรากฐานวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน จึงเป็นทางออกที่ถูกต้อง จะช่วยให้ประเทศชาติของเราก้าวเข้าสู่ยุคการเมืองที่ก้าวหน้าได้สำเร็จ นั่นคือ เราจะมีการเมืองที่มีประชาชนเป็นฐาน มีความเป็นระบบและมีเสถียรภาพ จะมีคณะผู้บริหารประเทศที่ดี สามารถอุทิศตัวเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ขณะที่ประชาชนจะมีสิทธิเสรีภาพอย่างพร้อมมูลในด้านต่างๆ ที่เอื้ออย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
การเมืองใหม่ที่ปรากฏ จะเป็นตัวเหตุปัจจัยเบื้องต้นของการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน เพื่อรองรับความต้องการการพัฒนาตนเองของคนไทย ให้เป็นผู้มีสุขได้ทั้งกายและใจ
ย้อนรอยเส้นทางที่เราเดิน
2475 ไม่ใช่คำตอบ เมื่อทหารครองอำนาจมากกว่าพลเรือน
14 ตุลา 16 ก้าวเข้าสู่ยุคแสวงหา ได้รัฐธรรมนูญฉบับสนามม้า และรัฐบาลพระราชทาน แต่ก็ไม่อาจวางรากฐานให้แก่การเมืองใหม่ได้
เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 19 บีบให้ภาคประชาชนเข้าป่า ค้นหาคำตอบด้วยสงครามประชาชน แต่ก็ไม่พบทางออก
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 เราได้ประชาธิปไตยเต็มใบ ก็ยังไม่ใช่คำตอบ เพราะอำนาจการเมืองยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มทุน รวมทั้งกลุ่มเจ้าพ่อท้องถิ่น พัฒนาเป็นกลุ่มทุนการเมือง แสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งเฉพาะกลุ่มเฉพาะตัว ขยายฐานความเป็นเจ้าพ่อ จากท้องถิ่นสู่ระดับชาติ
และเมื่อประเทศไทยเกิดวิกฤตเงินบาท ปี 2540 มีการปรับโครงสร้างอำนาจเงินในสังคมไทยครั้งใหญ่ กลุ่มทุนทักษิณ เกิดผงาดขึ้น แล้วเข้าสู่วงการเมือง จัดตั้งรัฐบาลในปี 2544 อันเป็นที่มาของระบอบทักษิณ และพัฒนาเป็นทุนนิยมสามานย์ ผูกขาดเบ็ดเสร็จทั้งทางด้านการเมืองและธุรกิจ มีแนวโน้มที่จะกลืนกินประเทศชาติ คุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
นำมาซึ่ง “ช่องโอกาส”เปิดทางให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ระบอบทักษิณ จุดระเบิดความไม่พอใจไปทั่ว เกิดกระบวนการตื่นตัวอย่างเฉียบพลันในทุกภาคส่วนสังคมไทย โดยไม่แบ่งแยกสถานภาพทางสังคม เชื้อชาติ ศาสนา สาขาอาชีพ กระทั่งเพศวัย
การ“จุดเทียนปัญญา” และการก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2549 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ แม้ภายหลังจะสะดุดหยุดลงชั่วคราวอันเนื่องจากมีการกระทำรัฐประหาร “19 กันยา 49” แต่การเมืองภาคประชาชนที่ถือเอาการตื่นตัวทางการเมืองเป็นฐาน ได้วางรากฐานอันยั่งยืนให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ในฐานที่จะเป็น “เจ้าภาพ” อย่างแท้จริง ของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
เพราะมันเป็นการแก้ปัญหาที่ตัวประชาชน มุ่งให้ประชาชนเข้มแข็งทางความคิด เกิดความพร้อมในการต่อสู้ฟันฝ่าเอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณต่อไป
และเมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดนำโดยนายสมัคร สุนทรเวชประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อกรุยทางให้แก่การฟื้นตัวของระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่ง ในต้นปี 2551 ก็ได้นำมาซึ่งการประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศชัดเจนถึงจุดมุ่งหมายที่จะ “ล้างการเมืองเก่า - สร้างการเมืองใหม่” เดินหน้าไปบนเส้นทางที่จะพาประเทศชาติหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้อย่างแท้จริง
ขบวนการ “ประชาภิวัฒน์”ที่ยึดมั่นในหลักการ “เอาธรรมนำหน้า สันติอหิงสา และอารยะขัดขืน” ยืนหยัดในแนวทาง“ประชาชนเป็นเจ้าภาพ สร้างอำนาจประชาชน และสถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจทุนนิยมสามานย์” ได้กลายเป็น “ธงนำไชย” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยขับเคลื่อนประสานไปกับขบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” สามารถต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณได้เป็นขั้นๆ
เหตุปัจจัยที่จะทำให้การเมืองใหม่ปรากฏเป็นจริง
1. เพราะการรวมพลัง “ผู้รู้ ผู้ตื่น”จากทุกภาคส่วนของสังคมไทย โดยไม่มีเส้นแบ่งทางเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ เพศวัย และฐานะทางสังคมครั้งนี้ เป็นการรวมตัวกันเข้าภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีลักษณะจัดตั้ง เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายครอบคลุมทั้งประเทศ เกิดการเคลื่อนไหวทางปัญญา รุกทางการเมือง กระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวทางการเมืองอย่างกว้างขวางในระยะเวลาอันสั้น เกิดความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองเก่าไปเป็นการเมืองใหม่โดยอัตโนมัติ
2. การยึดถือเอา “ธรรม” เป็นเส้นแบ่งระหว่าง “เรา”กับ “ศัตรู” ทำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนสามารถสามัคคีพลังศีลธรรมได้อย่างกว้างขวาง เกิดความชอบธรรมที่จะเป็น “เจ้าภาพ” ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสังคมใหม่และชีวิตใหม่ที่คนไทยเฝ้าถวิลหามานาน
3. ลักษณะองค์ประกอบของขบวนการการเมืองภาคประชาชน อันมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ มีหลักคิดและวิธีการนำที่ดี มียุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง และมีความเป็นประชาธิปไตย เป็นที่ยอมรับของมวลชน ทำให้การนำเสนอการเมืองใหม่ที่เป็นทางออกของประเทศไทย เป็นไปด้วยดี ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในขบวนการการเมืองภาคประชาชน และเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป
4. การยืนหยัดต่อสู้ด้วยสันติวิธี ถือเอาชัยชนะทางการเมืองเป็นชัยชนะสูงสุด เป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับลักษณะของยุคสมัย และสภาวะเป็นจริงของประเทศไทยอย่างยิ่ง ทำให้ประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่าย “รุก”ได้ตลอดเวลา และแม้จะถูกคุกคามจากอำนาจรัฐทั้งในรูปของตำรวจ และกลุ่ม นปก. นปช. ถึงกับสร้างความเสียหายถึงบาดเจ็บล้มตาย แต่ผลสุดท้ายก็กลายเป็นชัยชนะของภาคประชาชน ทำให้อำนาจประชาชนโดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ กลายเป็นอำนาจนำ ที่สังคมไทยจะคล้อยตาม
5. ดุลอำนาจระหว่างขบวนการการเมืองภาคประชาชนกับกลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณที่มีรัฐบาลหุ่นเชิดเป็นตัวแทน เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยอำนาจประชาชน ที่ประกอบด้วย “ปัญญา+มหาชน” มีลักษณะเป็นอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดทั้งทางปริมาณและคุณภาพเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตรงกันข้ามกับอำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ที่มาจาก “เงิน+ฝูงชน” เป็นอำนาจที่มีขีดจำกัดทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ปัญหาที่ต้องเผชิญ
1. ที่สำคัญก็คือ ความดื้อรั้นของอำนาจกลุ่มทุนในระบอบทักษิณ พยายามยึดครองอำนาจรัฐไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการใช้อามิสสินจ้าง และตำแหน่งหน้าที่เป็นเครื่องล่อ ทำให้การทำงานของตัวบุคคลต่างๆ ที่ควบคุมกลไกรัฐผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้สามารถระดมกำลัง “ฝูงชน”เข้ามาก่อกวน ระรานขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้เป็นระยะๆ
2. ถัดมาคือการ “แข็งขืน”ของกลุ่มนักวิชาการและผู้ทำงานสื่อจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ “เห็นต่าง”ไปจากขบวนการการเมืองภาคประชาชนหรือ “พันธมิตรฯ” อันเกิดจากการตีความเหตุการณ์สำคัญๆ ทางการเมืองของประเทศไทยและของโลกโดยรวมเป็นไปตามมุมมองที่ต่างไปจากเรา เช่น เรื่องประชาธิปไตย เรื่องของตัวบุคคล เป็นต้น
3. ปัญหาท่าทีของแกนนำบางส่วนในขบวนการการเมืองภาคประชาชน เช่นการใช้วาจาก้าวร้าว หยาบคาย และการโจมตีอย่างรุนแรงต่อผู้ “เห็นต่าง” ทำให้เกิดความเสียหายทางด้านงาน “แนวร่วม” ไปบ้าง แต่ก็มีการปรับปรุงอยู่เป็นระยะๆ
ภารกิจสำคัญเฉพาะหน้า
1. เสริมอำนาจประชาชน (ปัญญา + มหาชน) ด้วยการรุกไล่ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เอาชนะทางการเมืองอย่างไม่สิ้นสุด นั่นหมายถึงว่า ขบวนการฯ ของเราจะยิ่งเติบใหญ่ มหาชนจะเข้าร่วมและให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
2. เสริมประสิทธิภาพการป้องกันตนเอง จากการคุกคามของฝ่ายตรงกันข้าม ในรูปของ “ตำรวจชั่ว” และ “กลุ่ม นปก. หรือกลุ่ม นปช.”
3. เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ปรับปรุงวิธีการทำงาน โดยเฉพาะกับนักวิชาการ “เห็นต่าง” สื่อ “ทิ่มแทง” ทหาร “ลอยตัว” และมวลชน “กลางๆ”
จุดเด่นของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
มีความเห็นตรงกันยิ่งขึ้นแล้วว่า การที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนยืนหยัดในความเป็น “เจ้าภาพ” ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้แก่ประเทศชาตินี้ คือ “หัวใจ” ของการแก้ไขปัญหาทางการเมืองแบบ “ทันโลก”ของประเทศไทย เป็นการค้นพบ “คำตอบ” ที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
ในการนี้ ภาคประชาชนแสดงบทบาทเป็นเจ้าภาพโดยตรง ใช้วิธีการจุดเทียนปัญญา รวมพลังผู้รู้ผู้ตื่นทั่วประเทศจากทุกภาคส่วน ทุกวงการ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกสาขาอาชีพ และทุกเพศวัย เข้าร่วมขบวนการต่อสู้อย่างเปิดเผย ถูกกฎหมาย สันติอหิงสา และอารยะขัดขืนจนกระทั่งกลุ่มครองอำนาจไม่อาจใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลได้อีกต่อไป เป็นการแก้ไขปัญหาการโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชัน การผูกขาดอำนาจเป็นเผด็จการทางการเมืองของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ได้อย่างตรงจุด เห็นผลทันตา
ด้วยจุดยืนและวิธีการที่ถูกต้องดังกล่าว มันได้สร้างฐานรากอันสำคัญให้แก่ชัยชนะของประชาชนชาวไทยโดยรวม ในการที่จะพาตนก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์ พ้นจากสภาวะไม่สุกงอมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว คนไทยเราจะบริหารประเทศด้วยมันสมอง และด้วย “มือ”ของเราเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในสภาพแวดล้อมที่สงบ มีเสถียรภาพ หลุดพ้นจากความวุ่นวายทางการเมืองที่เกาะกินเรามานานถึง 76 ปี
ความไม่สุกงอมทางการเมือง แสดงออกที่ประชาชนไม่ตระหนักรู้ถึงสิทธิเสรีภาพที่แท้จริงของตนเอง ไม่มีองค์กรหรือกลไกของตนเองในการเข้าถึงความจริง ตรวจสอบความจริง ขณะที่อำนาจบริหารประเทศยังวนเวียนอยู่ในมือของกลุ่มทุนที่ยึดเอาผลประโยชน์เฉพาะตนเป็นที่ตั้ง ไม่เป็นไปเพื่อสนองความเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองใหม่ ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ โดยมุ่งติดอาวุธทางปัญญา ให้ปัญญากลายเป็นรากฐานวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน จึงเป็นทางออกที่ถูกต้อง จะช่วยให้ประเทศชาติของเราก้าวเข้าสู่ยุคการเมืองที่ก้าวหน้าได้สำเร็จ นั่นคือ เราจะมีการเมืองที่มีประชาชนเป็นฐาน มีความเป็นระบบและมีเสถียรภาพ จะมีคณะผู้บริหารประเทศที่ดี สามารถอุทิศตัวเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ขณะที่ประชาชนจะมีสิทธิเสรีภาพอย่างพร้อมมูลในด้านต่างๆ ที่เอื้ออย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
การเมืองใหม่ที่ปรากฏ จะเป็นตัวเหตุปัจจัยเบื้องต้นของการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน เพื่อรองรับความต้องการการพัฒนาตนเองของคนไทย ให้เป็นผู้มีสุขได้ทั้งกายและใจ
ย้อนรอยเส้นทางที่เราเดิน
2475 ไม่ใช่คำตอบ เมื่อทหารครองอำนาจมากกว่าพลเรือน
14 ตุลา 16 ก้าวเข้าสู่ยุคแสวงหา ได้รัฐธรรมนูญฉบับสนามม้า และรัฐบาลพระราชทาน แต่ก็ไม่อาจวางรากฐานให้แก่การเมืองใหม่ได้
เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 19 บีบให้ภาคประชาชนเข้าป่า ค้นหาคำตอบด้วยสงครามประชาชน แต่ก็ไม่พบทางออก
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 เราได้ประชาธิปไตยเต็มใบ ก็ยังไม่ใช่คำตอบ เพราะอำนาจการเมืองยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มทุน รวมทั้งกลุ่มเจ้าพ่อท้องถิ่น พัฒนาเป็นกลุ่มทุนการเมือง แสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งเฉพาะกลุ่มเฉพาะตัว ขยายฐานความเป็นเจ้าพ่อ จากท้องถิ่นสู่ระดับชาติ
และเมื่อประเทศไทยเกิดวิกฤตเงินบาท ปี 2540 มีการปรับโครงสร้างอำนาจเงินในสังคมไทยครั้งใหญ่ กลุ่มทุนทักษิณ เกิดผงาดขึ้น แล้วเข้าสู่วงการเมือง จัดตั้งรัฐบาลในปี 2544 อันเป็นที่มาของระบอบทักษิณ และพัฒนาเป็นทุนนิยมสามานย์ ผูกขาดเบ็ดเสร็จทั้งทางด้านการเมืองและธุรกิจ มีแนวโน้มที่จะกลืนกินประเทศชาติ คุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
นำมาซึ่ง “ช่องโอกาส”เปิดทางให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ระบอบทักษิณ จุดระเบิดความไม่พอใจไปทั่ว เกิดกระบวนการตื่นตัวอย่างเฉียบพลันในทุกภาคส่วนสังคมไทย โดยไม่แบ่งแยกสถานภาพทางสังคม เชื้อชาติ ศาสนา สาขาอาชีพ กระทั่งเพศวัย
การ“จุดเทียนปัญญา” และการก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2549 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ แม้ภายหลังจะสะดุดหยุดลงชั่วคราวอันเนื่องจากมีการกระทำรัฐประหาร “19 กันยา 49” แต่การเมืองภาคประชาชนที่ถือเอาการตื่นตัวทางการเมืองเป็นฐาน ได้วางรากฐานอันยั่งยืนให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ในฐานที่จะเป็น “เจ้าภาพ” อย่างแท้จริง ของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
เพราะมันเป็นการแก้ปัญหาที่ตัวประชาชน มุ่งให้ประชาชนเข้มแข็งทางความคิด เกิดความพร้อมในการต่อสู้ฟันฝ่าเอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณต่อไป
และเมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดนำโดยนายสมัคร สุนทรเวชประกาศเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อกรุยทางให้แก่การฟื้นตัวของระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่ง ในต้นปี 2551 ก็ได้นำมาซึ่งการประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศชัดเจนถึงจุดมุ่งหมายที่จะ “ล้างการเมืองเก่า - สร้างการเมืองใหม่” เดินหน้าไปบนเส้นทางที่จะพาประเทศชาติหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้อย่างแท้จริง
ขบวนการ “ประชาภิวัฒน์”ที่ยึดมั่นในหลักการ “เอาธรรมนำหน้า สันติอหิงสา และอารยะขัดขืน” ยืนหยัดในแนวทาง“ประชาชนเป็นเจ้าภาพ สร้างอำนาจประชาชน และสถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจทุนนิยมสามานย์” ได้กลายเป็น “ธงนำไชย” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยขับเคลื่อนประสานไปกับขบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” สามารถต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณได้เป็นขั้นๆ
เหตุปัจจัยที่จะทำให้การเมืองใหม่ปรากฏเป็นจริง
1. เพราะการรวมพลัง “ผู้รู้ ผู้ตื่น”จากทุกภาคส่วนของสังคมไทย โดยไม่มีเส้นแบ่งทางเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ เพศวัย และฐานะทางสังคมครั้งนี้ เป็นการรวมตัวกันเข้าภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีลักษณะจัดตั้ง เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายครอบคลุมทั้งประเทศ เกิดการเคลื่อนไหวทางปัญญา รุกทางการเมือง กระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวทางการเมืองอย่างกว้างขวางในระยะเวลาอันสั้น เกิดความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองเก่าไปเป็นการเมืองใหม่โดยอัตโนมัติ
2. การยึดถือเอา “ธรรม” เป็นเส้นแบ่งระหว่าง “เรา”กับ “ศัตรู” ทำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนสามารถสามัคคีพลังศีลธรรมได้อย่างกว้างขวาง เกิดความชอบธรรมที่จะเป็น “เจ้าภาพ” ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสังคมใหม่และชีวิตใหม่ที่คนไทยเฝ้าถวิลหามานาน
3. ลักษณะองค์ประกอบของขบวนการการเมืองภาคประชาชน อันมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ มีหลักคิดและวิธีการนำที่ดี มียุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง และมีความเป็นประชาธิปไตย เป็นที่ยอมรับของมวลชน ทำให้การนำเสนอการเมืองใหม่ที่เป็นทางออกของประเทศไทย เป็นไปด้วยดี ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในขบวนการการเมืองภาคประชาชน และเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป
4. การยืนหยัดต่อสู้ด้วยสันติวิธี ถือเอาชัยชนะทางการเมืองเป็นชัยชนะสูงสุด เป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับลักษณะของยุคสมัย และสภาวะเป็นจริงของประเทศไทยอย่างยิ่ง ทำให้ประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่าย “รุก”ได้ตลอดเวลา และแม้จะถูกคุกคามจากอำนาจรัฐทั้งในรูปของตำรวจ และกลุ่ม นปก. นปช. ถึงกับสร้างความเสียหายถึงบาดเจ็บล้มตาย แต่ผลสุดท้ายก็กลายเป็นชัยชนะของภาคประชาชน ทำให้อำนาจประชาชนโดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ กลายเป็นอำนาจนำ ที่สังคมไทยจะคล้อยตาม
5. ดุลอำนาจระหว่างขบวนการการเมืองภาคประชาชนกับกลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณที่มีรัฐบาลหุ่นเชิดเป็นตัวแทน เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยอำนาจประชาชน ที่ประกอบด้วย “ปัญญา+มหาชน” มีลักษณะเป็นอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดทั้งทางปริมาณและคุณภาพเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตรงกันข้ามกับอำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ที่มาจาก “เงิน+ฝูงชน” เป็นอำนาจที่มีขีดจำกัดทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ปัญหาที่ต้องเผชิญ
1. ที่สำคัญก็คือ ความดื้อรั้นของอำนาจกลุ่มทุนในระบอบทักษิณ พยายามยึดครองอำนาจรัฐไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการใช้อามิสสินจ้าง และตำแหน่งหน้าที่เป็นเครื่องล่อ ทำให้การทำงานของตัวบุคคลต่างๆ ที่ควบคุมกลไกรัฐผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้สามารถระดมกำลัง “ฝูงชน”เข้ามาก่อกวน ระรานขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้เป็นระยะๆ
2. ถัดมาคือการ “แข็งขืน”ของกลุ่มนักวิชาการและผู้ทำงานสื่อจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ “เห็นต่าง”ไปจากขบวนการการเมืองภาคประชาชนหรือ “พันธมิตรฯ” อันเกิดจากการตีความเหตุการณ์สำคัญๆ ทางการเมืองของประเทศไทยและของโลกโดยรวมเป็นไปตามมุมมองที่ต่างไปจากเรา เช่น เรื่องประชาธิปไตย เรื่องของตัวบุคคล เป็นต้น
3. ปัญหาท่าทีของแกนนำบางส่วนในขบวนการการเมืองภาคประชาชน เช่นการใช้วาจาก้าวร้าว หยาบคาย และการโจมตีอย่างรุนแรงต่อผู้ “เห็นต่าง” ทำให้เกิดความเสียหายทางด้านงาน “แนวร่วม” ไปบ้าง แต่ก็มีการปรับปรุงอยู่เป็นระยะๆ
ภารกิจสำคัญเฉพาะหน้า
1. เสริมอำนาจประชาชน (ปัญญา + มหาชน) ด้วยการรุกไล่ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เอาชนะทางการเมืองอย่างไม่สิ้นสุด นั่นหมายถึงว่า ขบวนการฯ ของเราจะยิ่งเติบใหญ่ มหาชนจะเข้าร่วมและให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
2. เสริมประสิทธิภาพการป้องกันตนเอง จากการคุกคามของฝ่ายตรงกันข้าม ในรูปของ “ตำรวจชั่ว” และ “กลุ่ม นปก. หรือกลุ่ม นปช.”
3. เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ปรับปรุงวิธีการทำงาน โดยเฉพาะกับนักวิชาการ “เห็นต่าง” สื่อ “ทิ่มแทง” ทหาร “ลอยตัว” และมวลชน “กลางๆ”
จุดเด่นของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
มีความเห็นตรงกันยิ่งขึ้นแล้วว่า การที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนยืนหยัดในความเป็น “เจ้าภาพ” ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้แก่ประเทศชาตินี้ คือ “หัวใจ” ของการแก้ไขปัญหาทางการเมืองแบบ “ทันโลก”ของประเทศไทย เป็นการค้นพบ “คำตอบ” ที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
ในการนี้ ภาคประชาชนแสดงบทบาทเป็นเจ้าภาพโดยตรง ใช้วิธีการจุดเทียนปัญญา รวมพลังผู้รู้ผู้ตื่นทั่วประเทศจากทุกภาคส่วน ทุกวงการ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกสาขาอาชีพ และทุกเพศวัย เข้าร่วมขบวนการต่อสู้อย่างเปิดเผย ถูกกฎหมาย สันติอหิงสา และอารยะขัดขืนจนกระทั่งกลุ่มครองอำนาจไม่อาจใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลได้อีกต่อไป เป็นการแก้ไขปัญหาการโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชัน การผูกขาดอำนาจเป็นเผด็จการทางการเมืองของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ได้อย่างตรงจุด เห็นผลทันตา
ด้วยจุดยืนและวิธีการที่ถูกต้องดังกล่าว มันได้สร้างฐานรากอันสำคัญให้แก่ชัยชนะของประชาชนชาวไทยโดยรวม ในการที่จะพาตนก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์ พ้นจากสภาวะไม่สุกงอมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว คนไทยเราจะบริหารประเทศด้วยมันสมอง และด้วย “มือ”ของเราเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในสภาพแวดล้อมที่สงบ มีเสถียรภาพ หลุดพ้นจากความวุ่นวายทางการเมืองที่เกาะกินเรามานานถึง 76 ปี