รอยเตอร์ - ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) 10 ชาติ ร่วมกับญี่ปุ่น, เกาหลีใต้และจีน ตกลงตั้งกองทุนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเข้าซื้อหนี้เสียและหนุนธนาคารในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินของโลก ทั้งนี้ตามการแถลงของประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์เมื่อวานนี้(15)
อาร์โรโยล่าวสุนทรพจน์ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงมนิลาว่า ธนาคารโลกยังให้คำมั่นว่าจะให้เม็ดเงินเริ่มต้น 10,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับกองทุนฝ่าวิกฤตของประเทศในเอเชียดังกล่าว
“เงินในกองทุนดังกล่าวสามารถนำมาใช้ซื้อสิ่งที่นายธนาคารเรียกกันว่า “สินทรัพย์เน่า” และเพิ่มเงินกองทุนให้แก่สถาบันการเงินและบริษัทเอกชนที่กำลังประสบปัญหา” ประธานาธิบดีอาร์โรโยกล่าว
ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทั่วโลกได้เสนอเม็ดเงินรวมกันสูงถึง 3,200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูปแบบของมาตรการอันหลากหลายเพื่อช่วยกันต้านวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบมากกว่า 70 ปี ซึ่งได้ฉุดเอาสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งให้ล้มครืนลงมาทั้งในสหรัฐฯและยุโรป
วิกฤตครั้งนี้ก็ยังทำให้หลายคนรำลึกถึงวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในเอเชียเมื่อปี 1997 ซึ่งเกิดจากค่าเงินในภูมิภาคดิ่งลงรุนแรงและบรรดานักลงทุนต่างประเทศพากันดึงเงินของตนออกจากภูมิภาคนี้จำนวนมหาศาล
นักวิเคราะห์กล่าวว่าตอนนี้ยังไม่มีความต้องการเร่งด่วนในการอัดฉีดเงินทุนเข้าไปในธนาคารหรือบริษัทใด ๆในเอเชีย เพราะว่าธุรกิจในเอเชียส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์การเงินต่าง ๆของสถาบันการเงินตะวันตกมากนัก ไม่เหมือนตลาดเงินและตลาดทุนที่ได้รับกระทบโดยตรงจากวิกฤตดังกล่าว
แต่การมีกองทุนฉุกเฉินดังกล่าวเอาไว้ก็จะทำให้ประเทศในเอเชียสามารถยืนหยัดต่อปัญหาต่าง ๆที่อาจก่อตัวกลายเป็นวิกฤตในระยะต่อไปได้ รวมทั้งยังจะสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจในเอเชียเพิ่มมากขึ้น
“เรายังมองไม่เห็นภาพวิกฤตหนักหน่วงที่รัฐบาลทั้งหลายจะต้องอัดฉีดเงินทุนให้แก่สถาบันการเงินเลย” ไรเตช มเหชวารี นักวิเคราะห์สินเชื่อหลักของบริษัทจัดอันดับเรตติ้งสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์กล่าว
“ในเอเชียยังไม่มีความต้องการใช้เม็ดเงินฉุกเฉินเช่นนั้น แต่มันเป็นพัฒนาการในทางที่ดี โดยจะเตรียมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ดูแลปัญหาภาคการธนาคารได้ดีกว่าเดิม เพราะมีโอกาสที่ธนาคารในภูมิภาคนี้อาจจะล้มครืนลงมาได้เหมือนกัน
อาร์โรโยกล่าวว่าสมาชิก 10 ชาติของอาเซียน บวกกับญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ รวมทั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะร่วมกันออกเงินร่วมสมทบการตั้งกองทุนนี้ เพิ่มเติมจากเงินเบื้องต้นที่ธนาคารโลกประกาศว่าจะให้
อาร์โรโยกล่าวอีกว่าแผนการก่อตั้งกองทุนนี้ ได้จัดทำกันขึ้นในระหว่างการประชุมธนาคารโลก/ไอเอ็มเอฟที่กรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ตอนนี้ยังมีการหารือเพื่อกำหนดในรายละเอียดกันต่อไป
ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟจะร่วมกันร่างระเบียบเกี่ยวกลไกต่าง ๆและวิธีขอใช้เงินกองทุนนี้ โดยมีรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆเป็นผู้ให้คำแนะนำและช่วยเหลือด้านต่าง ๆ
“สมาชิกของประเทศในอาเซียนรวมทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และบรรดาองค์การระหว่างประเทศ ต่างแสดงความยินดีต่อความคิดริเริ่มในครั้งนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ต้องการเม็ดเงินสามารถเข้าถึงกองทุน แต่ยังจะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย” อาร์โรโยกล่าว
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทำไมอาร์โรโยจึงเป็นผู้ประกาศข่าวนี้ แทนที่จะเป็นประเทศไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในวาระปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ไทยผู้หนึ่งกล่าวว่า อาจจะเป็นเพราะไทยกำลังเผชิญปัญหายุ่งเหยิงทางการเมือง
ก่อนหน้านี้ในปีนี้ ประเทศเอเชียตะวันออกทั้งสาม ได้เสนอแนวคิดเรื่องข้อตกลงสวอปเงินสกุลในเอเชียมูลค่า 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขยายข้อตกลงที่ทำกันไว้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเพื่อให้ประเทศที่ประสบปัญหาขาดดุลการชำระเงินสามารถได้เม็ดเงินเข้าไปเสริมสภาพคล่องในประเทศ เพียงแต่จำนวนเงินที่ตกลงกันไว้นั้นน้อยมาก
อาร์โรโยย้ำว่าอาเซียนบวกสามจะหารือระหว่างกันอีกครั้ง ในช่วงที่มีการประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (อาเซม)ที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือกันในรายละเอียดว่าวิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียอย่างไรบ้าง
อาร์โรโยล่าวสุนทรพจน์ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงมนิลาว่า ธนาคารโลกยังให้คำมั่นว่าจะให้เม็ดเงินเริ่มต้น 10,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับกองทุนฝ่าวิกฤตของประเทศในเอเชียดังกล่าว
“เงินในกองทุนดังกล่าวสามารถนำมาใช้ซื้อสิ่งที่นายธนาคารเรียกกันว่า “สินทรัพย์เน่า” และเพิ่มเงินกองทุนให้แก่สถาบันการเงินและบริษัทเอกชนที่กำลังประสบปัญหา” ประธานาธิบดีอาร์โรโยกล่าว
ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทั่วโลกได้เสนอเม็ดเงินรวมกันสูงถึง 3,200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูปแบบของมาตรการอันหลากหลายเพื่อช่วยกันต้านวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบมากกว่า 70 ปี ซึ่งได้ฉุดเอาสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งให้ล้มครืนลงมาทั้งในสหรัฐฯและยุโรป
วิกฤตครั้งนี้ก็ยังทำให้หลายคนรำลึกถึงวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในเอเชียเมื่อปี 1997 ซึ่งเกิดจากค่าเงินในภูมิภาคดิ่งลงรุนแรงและบรรดานักลงทุนต่างประเทศพากันดึงเงินของตนออกจากภูมิภาคนี้จำนวนมหาศาล
นักวิเคราะห์กล่าวว่าตอนนี้ยังไม่มีความต้องการเร่งด่วนในการอัดฉีดเงินทุนเข้าไปในธนาคารหรือบริษัทใด ๆในเอเชีย เพราะว่าธุรกิจในเอเชียส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์การเงินต่าง ๆของสถาบันการเงินตะวันตกมากนัก ไม่เหมือนตลาดเงินและตลาดทุนที่ได้รับกระทบโดยตรงจากวิกฤตดังกล่าว
แต่การมีกองทุนฉุกเฉินดังกล่าวเอาไว้ก็จะทำให้ประเทศในเอเชียสามารถยืนหยัดต่อปัญหาต่าง ๆที่อาจก่อตัวกลายเป็นวิกฤตในระยะต่อไปได้ รวมทั้งยังจะสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจในเอเชียเพิ่มมากขึ้น
“เรายังมองไม่เห็นภาพวิกฤตหนักหน่วงที่รัฐบาลทั้งหลายจะต้องอัดฉีดเงินทุนให้แก่สถาบันการเงินเลย” ไรเตช มเหชวารี นักวิเคราะห์สินเชื่อหลักของบริษัทจัดอันดับเรตติ้งสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์กล่าว
“ในเอเชียยังไม่มีความต้องการใช้เม็ดเงินฉุกเฉินเช่นนั้น แต่มันเป็นพัฒนาการในทางที่ดี โดยจะเตรียมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ดูแลปัญหาภาคการธนาคารได้ดีกว่าเดิม เพราะมีโอกาสที่ธนาคารในภูมิภาคนี้อาจจะล้มครืนลงมาได้เหมือนกัน
อาร์โรโยกล่าวว่าสมาชิก 10 ชาติของอาเซียน บวกกับญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ รวมทั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะร่วมกันออกเงินร่วมสมทบการตั้งกองทุนนี้ เพิ่มเติมจากเงินเบื้องต้นที่ธนาคารโลกประกาศว่าจะให้
อาร์โรโยกล่าวอีกว่าแผนการก่อตั้งกองทุนนี้ ได้จัดทำกันขึ้นในระหว่างการประชุมธนาคารโลก/ไอเอ็มเอฟที่กรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ตอนนี้ยังมีการหารือเพื่อกำหนดในรายละเอียดกันต่อไป
ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟจะร่วมกันร่างระเบียบเกี่ยวกลไกต่าง ๆและวิธีขอใช้เงินกองทุนนี้ โดยมีรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆเป็นผู้ให้คำแนะนำและช่วยเหลือด้านต่าง ๆ
“สมาชิกของประเทศในอาเซียนรวมทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และบรรดาองค์การระหว่างประเทศ ต่างแสดงความยินดีต่อความคิดริเริ่มในครั้งนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ต้องการเม็ดเงินสามารถเข้าถึงกองทุน แต่ยังจะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย” อาร์โรโยกล่าว
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทำไมอาร์โรโยจึงเป็นผู้ประกาศข่าวนี้ แทนที่จะเป็นประเทศไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในวาระปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ไทยผู้หนึ่งกล่าวว่า อาจจะเป็นเพราะไทยกำลังเผชิญปัญหายุ่งเหยิงทางการเมือง
ก่อนหน้านี้ในปีนี้ ประเทศเอเชียตะวันออกทั้งสาม ได้เสนอแนวคิดเรื่องข้อตกลงสวอปเงินสกุลในเอเชียมูลค่า 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขยายข้อตกลงที่ทำกันไว้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเพื่อให้ประเทศที่ประสบปัญหาขาดดุลการชำระเงินสามารถได้เม็ดเงินเข้าไปเสริมสภาพคล่องในประเทศ เพียงแต่จำนวนเงินที่ตกลงกันไว้นั้นน้อยมาก
อาร์โรโยย้ำว่าอาเซียนบวกสามจะหารือระหว่างกันอีกครั้ง ในช่วงที่มีการประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (อาเซม)ที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือกันในรายละเอียดว่าวิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียอย่างไรบ้าง