“วันอังคารที่ 7 ตุลาคม” ที่ผ่านมา ถูกเรียกขานสารพัดว่าเป็น “7 ตุลาฯ มหาวิปโยค – 7 ตุลาฯ ทมิฬ” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้าง “ความเสียใจ-สลดใจ” แก่คนไทยที่มีความรักชาติบ้านเมือง และรักห่วงใยคนไทยด้วยกันเอง กับเหตุการณ์ที่ “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ได้ยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสู่ฝูงชนที่ชุมนุมประท้วงหน้ารัฐสภา กรณีที่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พร้อมสมาชิกรัฐสภา เดินทางเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา เพื่อแถลงนโยบาย
ภาพเหตุการณ์ที่ถูกนำมาเผยแพร่ ทั้งทางสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เป็นภาพที่น่าอเนจอนาถใจที่สุดกับประชาชนที่จมอยู่บนกองเลือด ขาขาด แขนขาด เสมือนกับถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งมิใช่เป็นเพียงแค่ระเบิดแก๊สน้ำตาแต่เพียงอย่างเดียว
การปะทะกันตลอดทั้งวัน เมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมานั้น ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน่าอุจาดตาถึง 2 คน และผู้บาดเจ็บอีก 443 ราย
ถ้าจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” และ “6 ตุลาคม 2519” แล้วถามว่า “ความรุนแรง” ของเหตุการณ์สามารถเทียบเคียงกันได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “สภาพการณ์” นั้นอาจไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทั้งสองในอดีตนั้น นักศึกษาและประชาชน มิได้ถูกระเบิดแก๊สน้ำตากระหน่ำยิงมากเท่าครั้งนี้ และไม่สำคัญเท่ากับว่า ไม่มีประชาชนได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นสาหัสและเสียชีวิตมากเท่านี้
หรือ “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535” ประชาชนก็ไม่ได้รับการยิงด้วยความรุนแรงมากเท่านี้ เพียงแต่มีการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชนด้วยการฉีดน้ำดับเพลิงเข้าใส่ฝูงชน และมีการใช้อาวุธปืนทำร้ายประชาชนเท่านั้น แต่ไม่มีการยิง!
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ นอกเหนือจากการปะทะกันระหว่างประชาชนจาก “กลุ่มพันธมิตรฯ” กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ยังมี “มือที่ 3” ที่เข้าร่วมชุลมุนกับการทำร้ายประชาชนด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ “กลุ่มมือที่ 3” นี้ จากการประมวลและประเมินสถานการณ์แล้ว น่าเชื่อว่า จะเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ หรือ “หน่วยพิเศษ” ที่มีอาวุธครบมือ ตั้งแต่อาวุธปืนจนถึงลูกระเบิด
ดูจากภาพตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว “การซุ่มดักยิง” ของ “มือที่ 3” นี้ ได้มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี และเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะซุ่มทำร้ายกลุ่มประชาชนฝ่ายพันธมิตรฯ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายกว่าความเป็นจริง โดยอาจหวังผลให้นำพาไปสู่ “จุดบานปลาย” ของกรณี “การกระทำยึดอำนาจ-รัฐประหาร” ก็เป็นได้
ข้อสงสัยของสาธารณชนโดยทั่วไป ต่างปักใจเชื่อว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจาก “การจงใจ” ที่จะให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นบานปลาย พร้อม “ยั่วยุ” ให้ “กองทัพ” ต้องเคลื่อนรถถังออกมา “สงบ-สยบ” เพื่อยุติข้อขัดแย้ง ด้วยการวางแผนที่แยบยลกับความพยายามที่จะให้มี “การยึดอำนาจซ้ำซ้อน” โดยพุ่งไปที่วัตถุประสงค์ของการ “ล้มโต๊ะ” ทั้งหมด ไม่ว่า “ฉีกรัฐธรรมนูญ” และ “กระบวนการทางศาล” ทั้งหมด ในการปกป้องกลุ่มบุคคลที่กำลังถูกดำเนินคดีอยู่ขณะนี้
การคาดการณ์และวิเคราะห์ข้างต้น มีหลายฝ่ายที่คิดในทำนองนี้ และขยายวงกว้างออกไปด้วยเช่นเดียวกัน ถึง “ความเป็นไปได้” ที่มีความพยายามยั่วยุให้การยึดอำนาจเกิดขึ้น เพื่อหวัง “การซับซ้อน” ของการยึดอำนาจอีกคำรบหนึ่ง เพื่อหวังผลเลิศดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น
อย่างไรก็ดี “แผนการ” เช่นนั้น มิได้ “คลาด-พลาด” ไปจากกลุ่มผู้มีอำนาจแต่ประการใด เพียงแต่เฝ้าติดตามดู จนอาจคิดวางแผนสลับซับซ้อนไปมากกว่าอีกหลายขั้น เพื่อมิให้ “ตกหลุมพราง-หลงกล” และ “เพลี่ยงพล้ำ” ในที่สุด
เหตุการณ์ทางการเมืองขณะนี้ กำลังเดินหน้าไปสู่ “การเผชิญหน้า” ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดแล้ว ก็จำต้องดำเนินการทางการเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จะปล่อยให้สถานการณ์ “คาราคาซัง!” อยู่ไปเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ความจริงที่เราต้องยอมรับก็คือว่า “ความชอบธรรม” ในทางการเมืองของ “ระบบพรรคการเมือง” ทุกวันนี้ ในเชิงนิติศาสตร์ นั้น ที่ว่าด้วย “รัฐธรรมนูญ” นั้นก็ต้องน้อมรับว่า “มันก็ต้องเป็นเช่นนี้!” แต่ในเชิงรัฐศาสตร์แล้ว ยังต้องมีการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง หลากหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอาศัยอำนาจทางรัฐธรรมนูญแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือที่ทำให้ “นักการเมือง-พรรคการเมือง” ได้มาซึ่งอำนาจ และนำอำนาจนั้นไปแสวงหาผลประโยชน์เพื่อคณะ เพื่อพรรค เพื่อพวก!
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ด้วยกระบวนการขั้นตอนทางระบบรัฐธรรมนูญนั้น เราคงเรียกขานได้ว่าเป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว แต่ในความเป็นจริง หามิได้เป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องด้วย ทางรัฐศาสตร์ของการเมืองไทยนั้น “เงินคือพระเจ้า” ที่มีแต่การซื้อสิทธิขายเสียง ที่เราต่างตระหนักดีว่าเป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ “เงินเนรมิต-ซื้อสารพัดอย่าง”
ในเมื่อ “การเมืองเป็นธุรกิจ” ก็ย่อมเป็นกรณีปกติธรรมดา ที่ต้องมี “การลงทุน” และ “ถอนทุน” ที่บวกกำไรดอกเบี้ยอีกหลายเท่าตัว บน “บ่าภาษีประชาชน” ซึ่งแน่นอนที่สุด ที่ก่อให้เกิด “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทย ที่ “เวียนว่ายตายเกิด” มาอย่างนี้หลายทศวรรษ เพียงแต่ว่าในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ “ธนกิจการเมือง” นับวันยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
จากปัญหา “ธนกิจการเมือง” ที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกกี่ร้อยครั้ง หรือแม้กระทั่ง “ฉีกรัฐธรรมนูญ” นับครั้งไม่ถ้วน การกำจัดธุรกิจการเมืองให้หลุดพ้นไปย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง
ความพยายามในการสร้าง “ระบบการเมืองใหม่” ให้เกิดขึ้นนั้น น่าจะเป็นกรณีที่ดูเหมือนยากเย็นแสนเข็ญ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่จะปรับปรุงระบบการเมืองไทยให้ดีกว่าเดิมได้ด้วยการกำหนดเป้าหมายและวิธีการใหม่เพื่อให้นักการเมืองเดินเข้ามาคว้า “อำนาจ” ได้ง่ายดายเหมือนในอดีต เพียงมีแค่ “เงิน-ทุน” เท่านั้น
ปัจจุบันเริ่มมีคำถามมากยิ่งขึ้นว่า “ประเทศไทยพร้อมแล้วหรือ กับการเป็นประชาธิปไตยเหมือนอย่างชาติตะวันตก!” กับคำถามที่ว่า “สังคมไทยตระหนักดีหรือไม่ว่า นักการเมืองไทยและพรรคการเมืองไทยปราศจากอุดมการณ์!”
พร้อมคำถามสุดท้ายที่ว่า “การเมืองไทยควรมีโครงสร้างและระบบที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของวัฒนธรรมการเมืองไทยใช่หรือไม่?” มิใช่ลอกเลียนแบบมาจากสังคมตะวันตกที่ประชาชนของเขามี “คุณภาพ” มากกว่าคนไทยหลายเท่าตัว และที่สำคัญที่สุดคือ “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic)” ของประชาชนเขาสูงกว่าคนไทยเช่นเดียวกัน!
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คนไทยในปัจจุบันมีความรู้ความเข้าใจและตื่นตัวมากยิ่งขึ้น กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แต่เมื่อ “ระบบเงินทุน” ที่มีบทบาทอย่างมากกับ “การดำเนินชีวิต-ดำรงชีพ” ของประชาชน ประชาชนจึงขอเลือก “เงิน” ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะประชาชนภาคเหนือและภาคอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
ถึงเวลาแล้วที่ “การเมืองไทย” ต้องได้รับ “การปฏิรูป” อย่างจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพจริงของ “องคาพยพ” ทั้งหมดของสังคมการเมืองไทย กล่าวคือ ต้องมีการปฏิรูป “ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ กระบวนการกลั่นกรองและได้มาซึ่งนักการเมืองที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนองค์กรอิสระต่างๆ ในการทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของนักการเมืองและพรรคการเมือง”
ประเด็นสำคัญ เราอาจย้อนยุคกลับไปสู่ความเป็น “ประชาธิปไตยค่อนใบ-ครึ่งใบ” เหมือนในอดีตก็ได้ ที่เจาะจงเฉพาะว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ไม่จำเป็นต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาจจะมีกระบวนการขั้นตอนให้ได้ว่าซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยผ่านการโหวตทั้งสมาชิกรัฐสภา
ปัญหาของการเมืองไทยขณะนี้ เรากำลังถึง “ทางตัน (Deadlock)” ที่เมื่อนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันลาออก การโหวตในสภาผู้แทนฯ ก็ได้ “นอมินี-หุ่นเชิด” จากพรรคพลังประชาชนอยู่วันยังค่ำ ถ้า “ยุบสภา” ถึงแม้ว่าพรรคพลังประชาชนถูกยุบ “พรรคเพื่อไทย” เป็น “พรรคก๊อก 3” ของ “ไทยรักไทย” เดิม ก็จะฟื้นคืนชีพ อาจกลับมามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากกว่าเดิมอีก พูดง่ายๆ บรรดานักการเมืองจากกลุ่มก๊วนเดิม ก็จะยัง “เวียนว่ายตายเกิด!” กันอยู่อย่างนี้ มิได้ล้มหายตายจากไปไหน
ประเด็นปัญหาสำคัญก็คือว่า เมื่อ “วงจรอุบาทว์” ยังเป็นเช่นนี้ การต่อต้านชุมนุมประท้วงก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่อีกต่อไป เนื่องด้วย “ระบอบทักษิณ” ก็ยังคงอยู่ “ปัญหาความวุ่นวาย” ก็ยังไม่จบไม่สิ้น!
เราคงไม่อยากเห็น “เหตุการณ์ 7 ตุลาฯ มหาวิปโยค” เกิดขึ้นอีกหลายๆ ครั้ง และนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
น่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จำต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ “การเมืองไทย” เป็นการเมืองที่ประชาชนมี “อำนาจ” จริงๆ และ “ผลประโยชน์” ตกแก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด!
ภาพเหตุการณ์ที่ถูกนำมาเผยแพร่ ทั้งทางสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เป็นภาพที่น่าอเนจอนาถใจที่สุดกับประชาชนที่จมอยู่บนกองเลือด ขาขาด แขนขาด เสมือนกับถูกอาวุธร้ายแรงทำร้าย ซึ่งมิใช่เป็นเพียงแค่ระเบิดแก๊สน้ำตาแต่เพียงอย่างเดียว
การปะทะกันตลอดทั้งวัน เมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมานั้น ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน่าอุจาดตาถึง 2 คน และผู้บาดเจ็บอีก 443 ราย
ถ้าจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” และ “6 ตุลาคม 2519” แล้วถามว่า “ความรุนแรง” ของเหตุการณ์สามารถเทียบเคียงกันได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “สภาพการณ์” นั้นอาจไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทั้งสองในอดีตนั้น นักศึกษาและประชาชน มิได้ถูกระเบิดแก๊สน้ำตากระหน่ำยิงมากเท่าครั้งนี้ และไม่สำคัญเท่ากับว่า ไม่มีประชาชนได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นสาหัสและเสียชีวิตมากเท่านี้
หรือ “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535” ประชาชนก็ไม่ได้รับการยิงด้วยความรุนแรงมากเท่านี้ เพียงแต่มีการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชนด้วยการฉีดน้ำดับเพลิงเข้าใส่ฝูงชน และมีการใช้อาวุธปืนทำร้ายประชาชนเท่านั้น แต่ไม่มีการยิง!
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ นอกเหนือจากการปะทะกันระหว่างประชาชนจาก “กลุ่มพันธมิตรฯ” กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ยังมี “มือที่ 3” ที่เข้าร่วมชุลมุนกับการทำร้ายประชาชนด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ “กลุ่มมือที่ 3” นี้ จากการประมวลและประเมินสถานการณ์แล้ว น่าเชื่อว่า จะเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ หรือ “หน่วยพิเศษ” ที่มีอาวุธครบมือ ตั้งแต่อาวุธปืนจนถึงลูกระเบิด
ดูจากภาพตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว “การซุ่มดักยิง” ของ “มือที่ 3” นี้ ได้มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี และเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะซุ่มทำร้ายกลุ่มประชาชนฝ่ายพันธมิตรฯ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายกว่าความเป็นจริง โดยอาจหวังผลให้นำพาไปสู่ “จุดบานปลาย” ของกรณี “การกระทำยึดอำนาจ-รัฐประหาร” ก็เป็นได้
ข้อสงสัยของสาธารณชนโดยทั่วไป ต่างปักใจเชื่อว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจาก “การจงใจ” ที่จะให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นบานปลาย พร้อม “ยั่วยุ” ให้ “กองทัพ” ต้องเคลื่อนรถถังออกมา “สงบ-สยบ” เพื่อยุติข้อขัดแย้ง ด้วยการวางแผนที่แยบยลกับความพยายามที่จะให้มี “การยึดอำนาจซ้ำซ้อน” โดยพุ่งไปที่วัตถุประสงค์ของการ “ล้มโต๊ะ” ทั้งหมด ไม่ว่า “ฉีกรัฐธรรมนูญ” และ “กระบวนการทางศาล” ทั้งหมด ในการปกป้องกลุ่มบุคคลที่กำลังถูกดำเนินคดีอยู่ขณะนี้
การคาดการณ์และวิเคราะห์ข้างต้น มีหลายฝ่ายที่คิดในทำนองนี้ และขยายวงกว้างออกไปด้วยเช่นเดียวกัน ถึง “ความเป็นไปได้” ที่มีความพยายามยั่วยุให้การยึดอำนาจเกิดขึ้น เพื่อหวัง “การซับซ้อน” ของการยึดอำนาจอีกคำรบหนึ่ง เพื่อหวังผลเลิศดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น
อย่างไรก็ดี “แผนการ” เช่นนั้น มิได้ “คลาด-พลาด” ไปจากกลุ่มผู้มีอำนาจแต่ประการใด เพียงแต่เฝ้าติดตามดู จนอาจคิดวางแผนสลับซับซ้อนไปมากกว่าอีกหลายขั้น เพื่อมิให้ “ตกหลุมพราง-หลงกล” และ “เพลี่ยงพล้ำ” ในที่สุด
เหตุการณ์ทางการเมืองขณะนี้ กำลังเดินหน้าไปสู่ “การเผชิญหน้า” ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดแล้ว ก็จำต้องดำเนินการทางการเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จะปล่อยให้สถานการณ์ “คาราคาซัง!” อยู่ไปเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ความจริงที่เราต้องยอมรับก็คือว่า “ความชอบธรรม” ในทางการเมืองของ “ระบบพรรคการเมือง” ทุกวันนี้ ในเชิงนิติศาสตร์ นั้น ที่ว่าด้วย “รัฐธรรมนูญ” นั้นก็ต้องน้อมรับว่า “มันก็ต้องเป็นเช่นนี้!” แต่ในเชิงรัฐศาสตร์แล้ว ยังต้องมีการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง หลากหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอาศัยอำนาจทางรัฐธรรมนูญแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือที่ทำให้ “นักการเมือง-พรรคการเมือง” ได้มาซึ่งอำนาจ และนำอำนาจนั้นไปแสวงหาผลประโยชน์เพื่อคณะ เพื่อพรรค เพื่อพวก!
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ด้วยกระบวนการขั้นตอนทางระบบรัฐธรรมนูญนั้น เราคงเรียกขานได้ว่าเป็น “ประชาธิปไตย” แล้ว แต่ในความเป็นจริง หามิได้เป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องด้วย ทางรัฐศาสตร์ของการเมืองไทยนั้น “เงินคือพระเจ้า” ที่มีแต่การซื้อสิทธิขายเสียง ที่เราต่างตระหนักดีว่าเป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ “เงินเนรมิต-ซื้อสารพัดอย่าง”
ในเมื่อ “การเมืองเป็นธุรกิจ” ก็ย่อมเป็นกรณีปกติธรรมดา ที่ต้องมี “การลงทุน” และ “ถอนทุน” ที่บวกกำไรดอกเบี้ยอีกหลายเท่าตัว บน “บ่าภาษีประชาชน” ซึ่งแน่นอนที่สุด ที่ก่อให้เกิด “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทย ที่ “เวียนว่ายตายเกิด” มาอย่างนี้หลายทศวรรษ เพียงแต่ว่าในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ “ธนกิจการเมือง” นับวันยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
จากปัญหา “ธนกิจการเมือง” ที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกกี่ร้อยครั้ง หรือแม้กระทั่ง “ฉีกรัฐธรรมนูญ” นับครั้งไม่ถ้วน การกำจัดธุรกิจการเมืองให้หลุดพ้นไปย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง
ความพยายามในการสร้าง “ระบบการเมืองใหม่” ให้เกิดขึ้นนั้น น่าจะเป็นกรณีที่ดูเหมือนยากเย็นแสนเข็ญ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่จะปรับปรุงระบบการเมืองไทยให้ดีกว่าเดิมได้ด้วยการกำหนดเป้าหมายและวิธีการใหม่เพื่อให้นักการเมืองเดินเข้ามาคว้า “อำนาจ” ได้ง่ายดายเหมือนในอดีต เพียงมีแค่ “เงิน-ทุน” เท่านั้น
ปัจจุบันเริ่มมีคำถามมากยิ่งขึ้นว่า “ประเทศไทยพร้อมแล้วหรือ กับการเป็นประชาธิปไตยเหมือนอย่างชาติตะวันตก!” กับคำถามที่ว่า “สังคมไทยตระหนักดีหรือไม่ว่า นักการเมืองไทยและพรรคการเมืองไทยปราศจากอุดมการณ์!”
พร้อมคำถามสุดท้ายที่ว่า “การเมืองไทยควรมีโครงสร้างและระบบที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของวัฒนธรรมการเมืองไทยใช่หรือไม่?” มิใช่ลอกเลียนแบบมาจากสังคมตะวันตกที่ประชาชนของเขามี “คุณภาพ” มากกว่าคนไทยหลายเท่าตัว และที่สำคัญที่สุดคือ “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic)” ของประชาชนเขาสูงกว่าคนไทยเช่นเดียวกัน!
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คนไทยในปัจจุบันมีความรู้ความเข้าใจและตื่นตัวมากยิ่งขึ้น กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แต่เมื่อ “ระบบเงินทุน” ที่มีบทบาทอย่างมากกับ “การดำเนินชีวิต-ดำรงชีพ” ของประชาชน ประชาชนจึงขอเลือก “เงิน” ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะประชาชนภาคเหนือและภาคอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
ถึงเวลาแล้วที่ “การเมืองไทย” ต้องได้รับ “การปฏิรูป” อย่างจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพจริงของ “องคาพยพ” ทั้งหมดของสังคมการเมืองไทย กล่าวคือ ต้องมีการปฏิรูป “ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ กระบวนการกลั่นกรองและได้มาซึ่งนักการเมืองที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนองค์กรอิสระต่างๆ ในการทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของนักการเมืองและพรรคการเมือง”
ประเด็นสำคัญ เราอาจย้อนยุคกลับไปสู่ความเป็น “ประชาธิปไตยค่อนใบ-ครึ่งใบ” เหมือนในอดีตก็ได้ ที่เจาะจงเฉพาะว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ไม่จำเป็นต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาจจะมีกระบวนการขั้นตอนให้ได้ว่าซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยผ่านการโหวตทั้งสมาชิกรัฐสภา
ปัญหาของการเมืองไทยขณะนี้ เรากำลังถึง “ทางตัน (Deadlock)” ที่เมื่อนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันลาออก การโหวตในสภาผู้แทนฯ ก็ได้ “นอมินี-หุ่นเชิด” จากพรรคพลังประชาชนอยู่วันยังค่ำ ถ้า “ยุบสภา” ถึงแม้ว่าพรรคพลังประชาชนถูกยุบ “พรรคเพื่อไทย” เป็น “พรรคก๊อก 3” ของ “ไทยรักไทย” เดิม ก็จะฟื้นคืนชีพ อาจกลับมามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากกว่าเดิมอีก พูดง่ายๆ บรรดานักการเมืองจากกลุ่มก๊วนเดิม ก็จะยัง “เวียนว่ายตายเกิด!” กันอยู่อย่างนี้ มิได้ล้มหายตายจากไปไหน
ประเด็นปัญหาสำคัญก็คือว่า เมื่อ “วงจรอุบาทว์” ยังเป็นเช่นนี้ การต่อต้านชุมนุมประท้วงก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่อีกต่อไป เนื่องด้วย “ระบอบทักษิณ” ก็ยังคงอยู่ “ปัญหาความวุ่นวาย” ก็ยังไม่จบไม่สิ้น!
เราคงไม่อยากเห็น “เหตุการณ์ 7 ตุลาฯ มหาวิปโยค” เกิดขึ้นอีกหลายๆ ครั้ง และนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
น่าจะถึงเวลาแล้ว ที่จำต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ “การเมืองไทย” เป็นการเมืองที่ประชาชนมี “อำนาจ” จริงๆ และ “ผลประโยชน์” ตกแก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด!