1) นโยบายและท่าทีของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา วิกฤตการเมืองไทยเป็นปรากฏการณ์ร้ายแรงที่พิสูจน์และตอกย้ำให้เป็นตัวอย่างชัดแจ้งว่าความรุนแรงที่ได้เป็นผลทำให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่อุดรฯ (24 กรกฎาคม 2551) หรือที่บริเวณรอบรัฐสภาใน กทม. ( 7 ตุลาคม 2551 ) และล่าสุดที่เวทีพันธมิตรฯ ทำเนียบรัฐบาล (20 พฤศจิกายน 2551) ล้วนเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่ต่างยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมที่มีต่อวิกฤตการเมือง ดังนี้
ก) พฤติกรรมและท่าทีของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนบ่งชี้ชัดว่านโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลคือการทำให้ประเทศไทยไร้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคงอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์หลักเพื่อสร้างเงื่อนไขให้สามารถนำไปสู่การใช้อำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ สยบวิกฤต และเปิดทางให้รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างได้ตามอำเภอใจโดยมีเรื่องการทำให้ประเทศชาติกลับสู่สภาวะปกติมีเสถียรภาพและความมั่นคงเป็นข้ออ้าง (Destabilization Leading to Restabilization ) และมีการกลับเข้ามาผูกขาดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จมั่นคงของรัฐบาลอีกครั้งเป็นเป้าประสงค์ขั้นสูงสุด ซึ่งจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จก็ต่อเมื่อรัฐบาลนี้ยังอยู่ในอำนาจและแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นผลสำเร็จ
ข) เพื่อให้บรรลุผลซึ่งเป็นนโยบายหลักในข้อ 1 ข้างต้น รัฐบาลพรรคพลังประชาชนจึงได้ร่วมมือสนับสนุน (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) ส่งเสริมให้กลุ่มอันธพาลการเมืองและกลุ่มรับจ้างผลประโยชน์การเมืองต่างๆ (ที่รัฐบาลชุบเลี้ยงดูแลและที่ว่าจ้างเป็นครั้งคราว) ให้เคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนระส่ำระส่ายอย่างต่อเนื่องและอย่างเป็นระบบสอดคล้องคู่ขนานกับการดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล โดยรัฐบาลทำหน้าที่เป็นผู้บงการกำกับชี้แนะอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด อันเป็นยุทธศาสตร์คู่ขนานที่ชาญฉลาดแต่ชั่วร้าย ยิ่งเป็นการใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายประชาธิปไตยหรืออีกนัยหนึ่งคือการอาศัยระบอบประชาธิปไตยเป็นหนทางไปสู่ความเป็นเผด็จการที่มีเสื้อคลุมของประชาธิปไตยห่อหุ้มไว้ (เผด็จการของเสียงข้างมาก)
2) นโยบายและท่าทีของกองทัพ
6 เดือนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นได้ว่ากองทัพยังคงมีนโยบายและท่าทีที่ปฏิเสธความเป็นจริงและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ร้ายแรงทางการเมืองภายในประเทศ ( live in denial) เสมือนทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติโดยหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการท่องคาถา “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” และหวังที่จะหลุดพ้นจากหน้าที่ความรับผิดชอบ กองทัพก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และมีหน้าที่สำคัญต้องปกป้องพิทักษ์รักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศชาติในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (รัฐธรรมนูญทุกฉบับก็ระบุชัดแจ้งอยู่แล้ว)
กองทัพไม่เล่นการเมืองก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่กองทัพจำต้องสนใจการเมืองและปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ให้พรรคการเมือง และนักการเมืองละเมิดหลักการสำคัญของประชาธิปไตยอาศัยประชาธิปไตยเพื่อทำลายประเทศชาติ กองทัพมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องทบทวนนโยบายและท่าทีของกองทัพต่อปัญหาวิกฤตการเมืองที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันโดยพิจารณาจากความจริงและข้อเท็จจริงที่ผ่านมา ที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันซึ่งกองทัพจะสามารถเป็นกองทัพของประเทศชาติของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ กองทัพจำเป็นต้องยอมรับความจริงละข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
2.1 ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์อย่างชัดแจ้งแล้วว่า วิกฤตร้ายแรงทางการเมือง (การเมืองที่ไม่ปกติหรือระบอบประชาธิปไตยที่ใช้การไม่ได้เพราะกลไกต่างๆ ไม่ว่าเป็นกลไกระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการเป็นอัมพาต เพราะมีการผูกขาดและแทรกแซงโดยอำนาจบริหาร การเมืองนอกสภาหรือการเมืองภาคประชาชนถูกรังแก ข่มขู่ และตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากฝ่ายอำนาจรัฐ และกลุ่มนอกกฎหมายที่รัฐให้การสนับสนุน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย จงใจละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่แถมละเมิดกฎหมายเสียเองด้วย เป็นผลทำให้สังคมประเทศไทยอยู่ในสภาพไร้ระเบียบ ไร้ทิศทาง ไร้กฎกติกา ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ศรัทธา และความหวังในอนาคตของประเทศชาติ) ไม่สามารถแก้ด้วยการเมือง เพราะไม่ใช่เป็นความขัดแย้งในสภาวะการเมืองแบบปกติ
2.2 เมื่อใดที่ประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะวิกฤตร้ายแรง เป็นอันตรายต่อความอยู่รอดของความมั่นคงของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพที่จำต้องเข้ามาจัดการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กองทัพจะดำเนินการอย่างเป็นผลสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อกองทัพทำการศึกษาพิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์จากความเป็นจริง และข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช่จากการปฏิเสธความเป็นจริงและข้อเท็จจริง (โปรดดูรายละเอียดอีกครั้งในบทความของผู้เขียน เรื่อง “กองทัพกับประชาธิปไตย” ทั้ง ภาค 1, 2 และ 3 ใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน ลงวันที่ 15 มีนาคม 2549 วันที่ 3 กันยายน 2549 และ วันที่ 15 พฤษภาคม 2551)
และกองทัพจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ศัตรูต่อความมั่นคง ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นศัตรูที่มาจากภายในประเทศ ไม่ใช่จากภายนอกประเทศ หรืออีกนัยหนึ่ง ศัตรูของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนใหญ่ คือคนในชาติ ไม่ใช่คนต่างชาติ
2.3 กองทัพจำต้องตระหนักให้ดีเสมอว่าการมีบทบาทหน้าที่เป็นปัจจัยที่ 3 หรืออำนาจสยบความขัดแย้งร้ายแรงระหว่างคู่กรณีสองฝ่าย ไม่ได้หมายความว่า กองทัพต้องไม่เลือกข้างหรือวางตัวเป็นกลาง หรือสวมบทบาทของผู้ถ่วงดุล หรือสร้างให้เกิดความสมดุล (Balancer) ทางการเมืองระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง เพราะวิกฤตร้ายแรงทางการเมืองไม่เกี่ยวกับการเสียความสมดุลอำนาจการเมือง แต่เป็นเรื่องที่มีสาเหตุโดยตรงจากการผูกขาดอำนาจ การละเมิดกฎหมาย การทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม การแทรกแซงทำลายธรรมาภิบาล และเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
ตรงกันข้าม หากมีความพยายามที่จะให้เกิดความสมดุลทางอำนาจระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งรุนแรงก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้ความขัดแย้ง และวิกฤตร้ายแรงดำรงอยู่อย่างยืดเยื้อต่อไปอย่างไม่มีกำหนด อันเป็นการซ้ำเติมทำร้ายประเทศ ประชาชน และประชาธิปไตยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวิธีการเลวร้ายที่จะนำไปสู่ความหายนะของประเทศชาติ ซ้ำร้ายจะส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความระแวงในเจตนาแท้จริงของกองทัพว่า มีความแน่วแน่ที่จะเข้ามาแก้วิกฤตบ้านเมือง หรือว่ากองทัพมีวาระซ่อนเร้นนั่นคือ กองทัพมีนโยบายให้ฝ่ายคู่ขัดแย้งทางการเมืองทำลายล้างผลาญกันไปเรื่อย (No-Win Policy) จนอ่อนล้า เปิดโอกาสให้กองทัพเข้ามาจัดการบงการทุกอย่างให้เป็นไปตามความประสงค์ของกองทัพ เป็นผลทำให้กองทัพมีอำนาจเบ็ดเสร็จอันเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความพ่ายแพ้ของความถูกต้อง ความชอบธรรมการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพลังก้าวหน้าฝ่ายประชาธิปไตยของเพื่อนร่วมชาติอีกหลายล้านคน ผู้เขียนยังเชื่อมั่นว่า ส่วนใหญ่ของกองทัพไม่มีเจตนาดังกล่าวข้างต้น
2.4 กองทัพจะสามารถเป็นกองทัพเพื่อประเทศชาติและประชาธิปไตยได้มีหนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ กองทัพต้องออกมายืนหยัดอยู่เคียงข้างพลังก้าวหน้าฝ่ายประชาธิปไตย(ประชาชนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชนของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์)กองทัพจะประสบผลในการนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่บ้านเมืองได้ต่อเมื่อ กองทัพยอมรับในสัจธรรมที่ว่า
ความชอบธรรมคืออำนาจ ไม่ใช่อำนาจคือความชอบธรรม
ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลใดก็ตามที่ยึดมั่นว่า อำนาจการปกครองคือที่มาของความชอบธรรม ไม่ใช่ความชอบธรรมคือที่มาอย่างแท้จริงของอำนาจ รัฐบาลนั้นย่อมสามารถทำทุกอย่างไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ เพื่อการดำรงไว้และให้ได้มาซึ่งอำนาจ กองทัพจะมีความชอบธรรมได้ต่อเมื่อกองทัพยืนหยัดเคียงข้างพลังก้าวหน้าฝ่ายประชาธิปไตย และต้องตระหนักไว้ให้ดีเสมอว่า สังคมใดก็ตามที่ชนชั้นผู้มีการศึกษาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลที่ปราศจากความชอบธรรม ฝังความจริงและปลูกความเท็จ สังคมนั้นย่อมดำเนินไปสู่ความหายนะผุพังอย่างไม่ต้องสงสัยเลยกองทัพต้องเลือกข้างเพื่อชัยชนะของประเทศชาติ ประชาชน และประชาธิปไตย
ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา วิกฤตการเมืองไทยเป็นปรากฏการณ์ร้ายแรงที่พิสูจน์และตอกย้ำให้เป็นตัวอย่างชัดแจ้งว่าความรุนแรงที่ได้เป็นผลทำให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่อุดรฯ (24 กรกฎาคม 2551) หรือที่บริเวณรอบรัฐสภาใน กทม. ( 7 ตุลาคม 2551 ) และล่าสุดที่เวทีพันธมิตรฯ ทำเนียบรัฐบาล (20 พฤศจิกายน 2551) ล้วนเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่ต่างยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมที่มีต่อวิกฤตการเมือง ดังนี้
ก) พฤติกรรมและท่าทีของรัฐบาลพรรคพลังประชาชนบ่งชี้ชัดว่านโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลคือการทำให้ประเทศไทยไร้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคงอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์หลักเพื่อสร้างเงื่อนไขให้สามารถนำไปสู่การใช้อำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ สยบวิกฤต และเปิดทางให้รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างได้ตามอำเภอใจโดยมีเรื่องการทำให้ประเทศชาติกลับสู่สภาวะปกติมีเสถียรภาพและความมั่นคงเป็นข้ออ้าง (Destabilization Leading to Restabilization ) และมีการกลับเข้ามาผูกขาดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จมั่นคงของรัฐบาลอีกครั้งเป็นเป้าประสงค์ขั้นสูงสุด ซึ่งจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จก็ต่อเมื่อรัฐบาลนี้ยังอยู่ในอำนาจและแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นผลสำเร็จ
ข) เพื่อให้บรรลุผลซึ่งเป็นนโยบายหลักในข้อ 1 ข้างต้น รัฐบาลพรรคพลังประชาชนจึงได้ร่วมมือสนับสนุน (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) ส่งเสริมให้กลุ่มอันธพาลการเมืองและกลุ่มรับจ้างผลประโยชน์การเมืองต่างๆ (ที่รัฐบาลชุบเลี้ยงดูแลและที่ว่าจ้างเป็นครั้งคราว) ให้เคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนระส่ำระส่ายอย่างต่อเนื่องและอย่างเป็นระบบสอดคล้องคู่ขนานกับการดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล โดยรัฐบาลทำหน้าที่เป็นผู้บงการกำกับชี้แนะอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด อันเป็นยุทธศาสตร์คู่ขนานที่ชาญฉลาดแต่ชั่วร้าย ยิ่งเป็นการใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายประชาธิปไตยหรืออีกนัยหนึ่งคือการอาศัยระบอบประชาธิปไตยเป็นหนทางไปสู่ความเป็นเผด็จการที่มีเสื้อคลุมของประชาธิปไตยห่อหุ้มไว้ (เผด็จการของเสียงข้างมาก)
2) นโยบายและท่าทีของกองทัพ
6 เดือนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นได้ว่ากองทัพยังคงมีนโยบายและท่าทีที่ปฏิเสธความเป็นจริงและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ร้ายแรงทางการเมืองภายในประเทศ ( live in denial) เสมือนทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติโดยหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการท่องคาถา “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” และหวังที่จะหลุดพ้นจากหน้าที่ความรับผิดชอบ กองทัพก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และมีหน้าที่สำคัญต้องปกป้องพิทักษ์รักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศชาติในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (รัฐธรรมนูญทุกฉบับก็ระบุชัดแจ้งอยู่แล้ว)
กองทัพไม่เล่นการเมืองก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่กองทัพจำต้องสนใจการเมืองและปกป้องระบอบประชาธิปไตยไม่ให้พรรคการเมือง และนักการเมืองละเมิดหลักการสำคัญของประชาธิปไตยอาศัยประชาธิปไตยเพื่อทำลายประเทศชาติ กองทัพมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องทบทวนนโยบายและท่าทีของกองทัพต่อปัญหาวิกฤตการเมืองที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันโดยพิจารณาจากความจริงและข้อเท็จจริงที่ผ่านมา ที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันซึ่งกองทัพจะสามารถเป็นกองทัพของประเทศชาติของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ กองทัพจำเป็นต้องยอมรับความจริงละข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
2.1 ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์อย่างชัดแจ้งแล้วว่า วิกฤตร้ายแรงทางการเมือง (การเมืองที่ไม่ปกติหรือระบอบประชาธิปไตยที่ใช้การไม่ได้เพราะกลไกต่างๆ ไม่ว่าเป็นกลไกระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการเป็นอัมพาต เพราะมีการผูกขาดและแทรกแซงโดยอำนาจบริหาร การเมืองนอกสภาหรือการเมืองภาคประชาชนถูกรังแก ข่มขู่ และตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากฝ่ายอำนาจรัฐ และกลุ่มนอกกฎหมายที่รัฐให้การสนับสนุน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย จงใจละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่แถมละเมิดกฎหมายเสียเองด้วย เป็นผลทำให้สังคมประเทศไทยอยู่ในสภาพไร้ระเบียบ ไร้ทิศทาง ไร้กฎกติกา ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ศรัทธา และความหวังในอนาคตของประเทศชาติ) ไม่สามารถแก้ด้วยการเมือง เพราะไม่ใช่เป็นความขัดแย้งในสภาวะการเมืองแบบปกติ
2.2 เมื่อใดที่ประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะวิกฤตร้ายแรง เป็นอันตรายต่อความอยู่รอดของความมั่นคงของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพที่จำต้องเข้ามาจัดการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กองทัพจะดำเนินการอย่างเป็นผลสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อกองทัพทำการศึกษาพิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์จากความเป็นจริง และข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช่จากการปฏิเสธความเป็นจริงและข้อเท็จจริง (โปรดดูรายละเอียดอีกครั้งในบทความของผู้เขียน เรื่อง “กองทัพกับประชาธิปไตย” ทั้ง ภาค 1, 2 และ 3 ใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน ลงวันที่ 15 มีนาคม 2549 วันที่ 3 กันยายน 2549 และ วันที่ 15 พฤษภาคม 2551)
และกองทัพจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ศัตรูต่อความมั่นคง ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นศัตรูที่มาจากภายในประเทศ ไม่ใช่จากภายนอกประเทศ หรืออีกนัยหนึ่ง ศัตรูของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนใหญ่ คือคนในชาติ ไม่ใช่คนต่างชาติ
2.3 กองทัพจำต้องตระหนักให้ดีเสมอว่าการมีบทบาทหน้าที่เป็นปัจจัยที่ 3 หรืออำนาจสยบความขัดแย้งร้ายแรงระหว่างคู่กรณีสองฝ่าย ไม่ได้หมายความว่า กองทัพต้องไม่เลือกข้างหรือวางตัวเป็นกลาง หรือสวมบทบาทของผู้ถ่วงดุล หรือสร้างให้เกิดความสมดุล (Balancer) ทางการเมืองระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง เพราะวิกฤตร้ายแรงทางการเมืองไม่เกี่ยวกับการเสียความสมดุลอำนาจการเมือง แต่เป็นเรื่องที่มีสาเหตุโดยตรงจากการผูกขาดอำนาจ การละเมิดกฎหมาย การทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม การแทรกแซงทำลายธรรมาภิบาล และเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
ตรงกันข้าม หากมีความพยายามที่จะให้เกิดความสมดุลทางอำนาจระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งรุนแรงก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้ความขัดแย้ง และวิกฤตร้ายแรงดำรงอยู่อย่างยืดเยื้อต่อไปอย่างไม่มีกำหนด อันเป็นการซ้ำเติมทำร้ายประเทศ ประชาชน และประชาธิปไตยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวิธีการเลวร้ายที่จะนำไปสู่ความหายนะของประเทศชาติ ซ้ำร้ายจะส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความระแวงในเจตนาแท้จริงของกองทัพว่า มีความแน่วแน่ที่จะเข้ามาแก้วิกฤตบ้านเมือง หรือว่ากองทัพมีวาระซ่อนเร้นนั่นคือ กองทัพมีนโยบายให้ฝ่ายคู่ขัดแย้งทางการเมืองทำลายล้างผลาญกันไปเรื่อย (No-Win Policy) จนอ่อนล้า เปิดโอกาสให้กองทัพเข้ามาจัดการบงการทุกอย่างให้เป็นไปตามความประสงค์ของกองทัพ เป็นผลทำให้กองทัพมีอำนาจเบ็ดเสร็จอันเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความพ่ายแพ้ของความถูกต้อง ความชอบธรรมการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพลังก้าวหน้าฝ่ายประชาธิปไตยของเพื่อนร่วมชาติอีกหลายล้านคน ผู้เขียนยังเชื่อมั่นว่า ส่วนใหญ่ของกองทัพไม่มีเจตนาดังกล่าวข้างต้น
2.4 กองทัพจะสามารถเป็นกองทัพเพื่อประเทศชาติและประชาธิปไตยได้มีหนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ กองทัพต้องออกมายืนหยัดอยู่เคียงข้างพลังก้าวหน้าฝ่ายประชาธิปไตย(ประชาชนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชนของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์)กองทัพจะประสบผลในการนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่บ้านเมืองได้ต่อเมื่อ กองทัพยอมรับในสัจธรรมที่ว่า
ความชอบธรรมคืออำนาจ ไม่ใช่อำนาจคือความชอบธรรม
ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลใดก็ตามที่ยึดมั่นว่า อำนาจการปกครองคือที่มาของความชอบธรรม ไม่ใช่ความชอบธรรมคือที่มาอย่างแท้จริงของอำนาจ รัฐบาลนั้นย่อมสามารถทำทุกอย่างไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ เพื่อการดำรงไว้และให้ได้มาซึ่งอำนาจ กองทัพจะมีความชอบธรรมได้ต่อเมื่อกองทัพยืนหยัดเคียงข้างพลังก้าวหน้าฝ่ายประชาธิปไตย และต้องตระหนักไว้ให้ดีเสมอว่า สังคมใดก็ตามที่ชนชั้นผู้มีการศึกษาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลที่ปราศจากความชอบธรรม ฝังความจริงและปลูกความเท็จ สังคมนั้นย่อมดำเนินไปสู่ความหายนะผุพังอย่างไม่ต้องสงสัยเลยกองทัพต้องเลือกข้างเพื่อชัยชนะของประเทศชาติ ประชาชน และประชาธิปไตย