สุดทนความอำมหิต “ตำรวจชั่ว” นักวิชาการ-ภาคประชาชน-เครือข่ายเครือข่ายเภสัชกรและสาธารณสุขเพื่อสังคม ออกแถลงการณ์ไล่รัฐบาลสามานย์พ้นประเทศ ชี้เจตนาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง จวกใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต สะท้อนธาตุแท้ “รัฐบาลสมชาย” ภายนอกดูนุ่มนิ่มแต่ซ่อนปืนซ่อนดาบ ตี 2 หน้า จี้รัฐบาลลาออกทั้งคณะ ชวนคนไทยร่วมต้านอย่ายอมอยู่ใต้รัฐบาลเลือด อธิการบดี “นิด้า” สับไร้มนุษยธรรม ฟันธง 1-2 วันนี้อยู่ไม่รอด
จากการที่ตำรวจใช้อาวุธสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมกันอยู่ที่บริเวณหน้ารัฐสภาทั้งในช่วงเช้าและช่วงบ่าย วานนี้(7 ต.ค.) นั้น องค์กรต่างๆ รวมทั้งนักวิชาการได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นจำนวนมาก
เครือข่ายเภสัชฯ ไล่รบ.สามานย์พ้นประเทศ
รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ประธานมูลนิธิเภสัชชนบท กล่าวว่า เครือข่ายเภสัชกรและสาธารณสุขเพื่อสังคม ประกอบด้วย มูลนิธิเภสัชชนบท ชมรมเภสัชชนบท กลุ่มศึกษาปัญหายา กลุ่มนักวิชาการเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม กลุ่มเภสัชกรมหาสารคามพิทักษ์ธรรม กลุ่มเภสัชกร 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มเภสัชศาสตร์สังคมและบริหารภาคใต้ กลุ่มเภสัชกรเพื่อผู้บริโภคอุบลราชธานี กลุ่มเภสัชกรนครราชสีมาเพื่อมวลชน กลุ่มเภสัชกรเชียงใหม่พิทักษ์ธรรม ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อต่อต้านรัฐบาล เนื่องจากรับไม่ได้กับพฤติกรรมการใช้กำลังและความรุนแรง จัดการกับกลุ่มพันธมิตรที่ส่วนใหญ่คือผู้หญิงและผู้สูงอายุซึ่งไร้อาวุธ โดยมีข้อเรียกร้องคือ 1.รัฐบาลต้องหยุดใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมทันที 2.รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่เลือดของผู้ชุมนุม และตำรวจ ไหลรดลงแผ่นดินไทย
“เครือข่ายฯ ขอประกาศขับไล่รัฐบาลชุดนี้ให้ออกไป โดยพวกเราจะไม่มีวันยอมรับรัฐบาลและบุคคลในรัฐบาลทุกคน ที่ได้ทำร้ายเพื่อนร่วมชาติ มีเจตนาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง และขอเรียกว่านี่คือรัฐบาลเลือด พวกเราจะต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ถึงที่สุด และขอเชิญชวนให้ประชาชนไทยร่วมกันต่อต้านอย่ายอมอยู่ใต้การบริหารของรัฐบาลสามานย์”รศ.ดร.วิทยา กล่าว
แพทย์ชนบทจี้ รบ.ลาออกทั้งคณะ
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท ฉบับที่ 1 ต่อกรณีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเกินขอบเขตจนมีผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภาขาขาด เนื่องจากการที่รัฐบาลได้ใช้กำลังสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุต่อประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบบริเวณรอบรัฐสภา เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับต่อการแถลงนโยบายของรัฐบาลนอมินี2 ของนายกรัฐมนตรีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทั้งนี้ แถลงการณ์ระบุว่า 1. วิสัยของผู้นำประเทศที่ดีนั้นควรจักต้องมีสัจจะในการบริหารบ้านเมืองจึงจะสามารถนำพาประเทศให้พ้นวิกฤตได้ แต่ผู้นำรัฐบาลในยุคนี้กลับกำลังนำพาประเทศชาติไปสู่วิกฤต เนื่องจากในขณะที่รัฐบาลให้สัญญาณการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและมีนโยบายเน้นการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม แต่รัฐบาลกลับมีพฤติกรรมในการจับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าตำรวจไทยจะไม่มีทางกล้าจับ หากไม่มีการส่งสัญญาณไฟเขียวจากรัฐบาล แสดงให้เห็นถึงการตีสองหน้าของรัฐบาลอย่างชัดเจน
2. จากภาพการสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา ที่ปรากฏออกมาทางสื่อสารมวลชน จนทำให้มีผู้ชุมนุมต้องขาขาดและบาดเจ็บสาหัส บาดแผลไหม้เกรียม เป็นจำนวนมากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว เนื่องจากภาพที่ปรากฏส่อไปในทางให้เห็นได้ว่าตำรวจมีความตั้งใจทำร้ายประชาชนที่ต่อสู้แบบอหิงสา
3. ชมรมแพทย์ชนบทของประณามการสลายการชุมชุมที่ใช้ความรุนแรงเกินขอบเขตส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและทุพพลภาพ ในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ภายนอกดูนุ่มนิ่ม แต่ภายในนั้นซ่อนปืนซ่อนดาบ เห็นผู้ชุมนุมเป็นศัตรูทางการเมืองพร้อมใช้ความรุนแรงเข้าทำร้ายการชุมนุมตามสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน
4. ความรุนแรงไม่ได้ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น ยิ่งในค่ำคืนวันนี้ นับว่าเป็นคืนแห่งวิกฤต หากรัฐบาลยังเห็นประชาชนที่มีความเห็นต่างเป็นศัตรูที่ต้องเอาให้เจ็บให้ตาย ชมรมแพทย์ชนบทขอเรียกร้องให้โรงพยาบาลต่างๆในกรุงเทพและโรงพยาบาลชุมชนในเขตปริมณฑล ได้เตรียมความพร้อมหรือระดมรถพยาบาล เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การปะทะและการสลายการชุมนุมที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการลุแก่อำนาจของรัฐบาลมายา 2 หน้า
ชมรมแพทย์ชนบท ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมายา 2 หน้า ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกทั้งคณะ เพื่อเปิดทางให้มีการคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองด้วยกลไกทางการเมือง เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ อย่าให้ประชาชนต้องสูญเสียศรัทธาต่อประชาธิปไตยในระบอบผู้แทนไปมากกว่านี้เลย
ด้าน นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว ราษฎรอาวุโส กล่าวแสดงความห่วงใยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า รู้สึกตกใจ กับข่าวและภาพที่เห็นจากสื่อต่างๆ และห่วงใยประชาชนคนไทยทุกคน รวมถึงขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขา และอาสาสมัครที่ดูแลผู้บาดเจ็บโดยไม่ทอดทิ้ง ตนจะขอพรให้สถานการณ์กลับสู่ความสงบ และอยากฝากบอกทุกคนว่า เมื่อแสงทองส่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
‘‘กลุ่มแพทย์เพื่อ ปชต." ลั่นไม่ฟังคำสั่ง รบ.
วันเดียวกัน กลุ่มแพทย์ พยาบาลเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศแถลงการณ์จุดยืน ฉบับที่ 1 ดังนี้ 1. ขอยืนอยู่ข้างประชาชน....ไม่ยอมรับรัฐบาลที่ทำร้ายประชาชนที่บริสุทธิ์ทำให้มีการบาดเจ็บรุนแรงทั้งที่รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ และไม่ขอขึ้นตรงกับรัฐบาลที่ทำร้ายประชาชน จะขอเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คอยดูแลประชาชนโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย 2. รัฐบาลไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป 3. ขอให้ ทหาร ตำรวจ เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ข้างประชาชน ไม่ทอดทิ้งและทำร้ายประชาชน 4. แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขทั่วประเทศ พร้อมเป็นหน่วยแพทย์ พยาบาล เคลื่อนที่เร็ว ช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และขอให้ ตำรวจ ทหาร อำนวยความสะดวก บุคลากรทางการแพทย์ ในการทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 5. เห็นด้วยในการดำเนินการของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในแนวทางสันติและอหิงสา
ทั้งนี้ กลุ่มแพทย์ดังกล่าวประกอบด้วยนพ.สวรรค์ กาญจนะ ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ รศ.นพ.เชาวลิต ไพโรจน์กุล ผศ.นพ.ภัทรวุฒิ วัฒนศักดิ์ ศาสตร์ รศ.นพ.ภากร จันทนมัฐฏะ ผศ.นพ.สมพร ลี้พลมหา ผศ.นพ.สุธี รัตนมงคลกุล นพ.รังสฤษณ์ กาญจนะวนิช ผศ.นพ.ธีระพงษ์ สุขไพศาล นพ.ฐาปณวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ นพ.ณรงค์ศักดิ์ วชิรานันทวัฒน์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ นพ.พงศ์ศักดิ์ ชุมพงษ์ทอง นพ.จรัส จันทร์ตระกูล นพ.ธีระพล สุขมาก ภก.จุลพงษ์ พงษ์ไพบูลย์ ภก.สุทธิพงษ์ รวมทั้งกลุ่มพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของรพ.ทุ่งสง
อัดยับลั่นแค่มาเป็นรัฐบาลก็ผิดแล้ว
วันเดียวกันที่ตึกสิรินธร รพ.จุฬาฯ กลุ่มอาจารย์แพทย์และแพทย์ประจำบ้านของโรงเรียนแพทย์ 8 สถาบันประกอบด้วย ตัวแทนจากคณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น,จุฬาฯ.,ม.เชียงใหม่,ม.ธรรมศาสตร์,รามาฯ,มศว,ศิริราช,ม.สงขลาออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ประณามการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะผู้ประสานงาน กล่าวว่าเป้าหมายในการออกแถลงการณ์ในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอความรู้สึกของบุคลากรแพทย์ ถึงการกระทำของรัฐบาลและชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทำถูกต้องหรือไม่ จึงอยากชี้ชวนสังคมว่า เราอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว อยากให้ตระหนักถึงความเป็นไปที่แท้จริง และเราไม่มีสิทธิไปชี้นำให้จับใครมาลงโทษ แต่ต้องการให้ทุกคนรู้สึกต่อเรื่องราวที่เกี่ยวเกิดขึ้น และแถลงการณ์ที่ออกไปนี้ จะนำส่งไปยังผู้นำทุกเหล่าทัพ ในส่วนของกรณีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาด
นพ.เกรียงยืนยันว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการระเบิดของแก๊สน้ำตาแน่นอน มันมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่นี่เป็นเพียงหลักที่แพทย์วินิจฉัย เนื่องจากยังไม่สามารถหาหลักฐานที่แน่ชัดในการตรวจสอบ เมื่อถามว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของรัฐบาลหรือไม่ ศ.นพ.เกรียงกล่าวว่า "ผิดตั้งแต่เริ่มมีรัฐบาลชุดนี้แล้ว"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงการณ์ ได้มีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ที่เข้ารับฟังการแถลงการณ์ ก็ได้ยก "มือตบ" ขึ้นมาตบกันอย่างสนั่นหวั่นไหว
สำหรับแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้... "สืบเนื่องจากเช้าวันที่ 7 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐบาลจนมีผู้บาดเจ็บถึงสาหัสหลายราย และมีประชาชน 1 ราย พิการขาขาด ทางกลุ่มจึงเรียกร้องดังนี้
1. ขอประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้สั่งการ ในการใช้กำลังทำร้ายประชาชนที่ทำการชุมนุมโดยสันติวิธี เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดในประเทศที่เจริญแล้ว 2. รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องยุติการกระทำรุนแรงดังกล่าว และไม่นำวิธีรุนแรงอันจะก่อให้เกิดความรุนแรงอันจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บและความสูญเสียทั้งร่างกายและจิตใจเช่นนี้มาใช้อีกในการปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมด้วยสันติวิธี 3.ขอเรียกร้องให้นำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่รุนแรงและไร้มนุษยธรรมในครั้งนี้มาลงโทษ
สภาทนายความซัด ตร.โจร
ขณะที่สภาทนายความก็ได้ออกแถลงการณ์โดยระบุว่า 1. รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จัดตั้งขึ้นเป็นการสืบทอดอำนาจจากบริหารจากรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะถูกยุบพรรคพลังประชาชนเพราะเหตุที่กรรมการบริหารพรรค ได้ถูกคำพิพากษาของศาลฎีกาว่าใช้สิทธิเลือกตั้งโดยทุจริตและเป็นเหตุให้พรรคต้องถูกยุบไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นประเด็นที่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของศาล
2.สำหรับกรณีที่มีความเห็นทางกฎหมายภาครัฐหรือฝ่ายการเมืองที่เห็นว่า ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดก็ยังจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น จริงๆ แล้วที่ถูกต้องแนวความเห็นดังกล่าวใช้กับคดีอาญาเท่านั้น ซึ่งต่างกับความสง่างามของพรรคการเมือง โดยความสง่างามของสมาชิกนิติบัญญัติขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือที่ต้องใช้หลักกฎหมายในทางทฤษฎีความน่าจะเป็น ไม่ใช่ทฤษฎีให้ปราศจากข้อสงสัยเช่นในทางคดีอาญา เมื่อไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะเหตุที่พรรคการเมืองโดยที่มีกรรมการบริหารพรรคทำการทุจริตตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกา ก็เท่ากับว่าการได้มาซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในสภานั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ดังนั้นเมื่อเป็นการได้มาโดยไม่สุจริตย่อมที่จะไม่ได้รับการรับรองและไม่ควรจะรับรอง
3.แนวความคิดของการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้น ได้ต่อสู้กับการทุจริตทุกรูปแบบและเป็นเรื่องที่นานาอารยประเทศให้ความสนใจ โดยเฉพาะมีกติกาขององค์การสหประชาชาติที่สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกร่วมกันป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ปัจจุบันประเทศไทยเป็นเพียงภาคีสมาชิก เห็นได้ว่าระดับการทุจริตของประเทศไทยนั้นเป็นระดับที่สูงขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว และมีความพยายามอย่างมากที่จะทำให้การทุจริตรับสินบนนั้นเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลที่ผ่านมา สภาทนายความจึงเห็นว่าการชุมนุมต่อต้านการกระทำของพรรคการเมืองที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่หากได้มาอย่างไม่สุจริตแล้ว ย่อมไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะมีอำนาจสั่งการอย่างใด แต่การชุมนุมต่อต้านของประชาชนที่ดำเนินไปจึงชอบด้วยกฎหมาย
4.สภาทนายความเสียใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจลุแก่อำนาจใช้อาวุธยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยเล็งเห็นได้ชัดว่าจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นได้ แต่ก็ยังฝ่าฝืนกระทำทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารัฐบาลที่ได้พยายามจัดตั้งขึ้นมาในคราวนี้ยังมีปัญหาค้างคาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่มีโอกาสถูกเพิกถอน ดังนั้นการกระทำที่เกินไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องมีผู้รับผิดชอบ สภาทนายความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามเพราะคำสั่งดังกล่าวของผู้บังคับบัญชาเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญและขัดต่อแนวนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ถูกต้อง รวมทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก
5.สภาทนายความขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) สั่งระงับการดำเนินการอย่างใดที่ใช้กำลังเพื่อปะทะกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธซึ่งชุมนุมคัดค้านและส่วนใหญ่เป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการของรัฐบาลที่มีที่มาโดยไม่ชอบอันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของการชุมนุม ดังนั้นการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กระทำโดยอำนาจที่ไม่ชอบหรือตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นเรื่องที่ผู้ออกคำสั่งก็ดี ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งก็ดี ต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเครือข่าย-องค์กรได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำในครั้งนี้ เช่น มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี (Peaceway Foundation),โรงเรียนสาธิตมัฆวานแห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ฯลฯ
อธิการบดีฟันธง 1-2 วัน รบ.จบเห่
ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นรัฐบาลชุดนี้เคยประกาศว่าจะเดินหน้านำไปสู่ความสมานฉันท์ แสดงท่าทีที่จะเจรจา เพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ ซึ่งการจับกุมแกนนำผู้ชุมนุม หรือ สลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงครั้งนี้ปิดโอกาสที่จะเจรจา นำไปสู่ความสงบเรียบร้อย เพราะความไม่ไว้ใจกัน สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาล ถึงดึงดันบริหารประเทศไป ก็จะส่งผลเสียให้กับประเทศชาติ
“การสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากถึงขั้นแขน ขาขาดนั้น ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ดังนั้นรัฐบาลต้องสอบสวนผู้ที่กระทำอย่างจริงจัง ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมองประโยชน์ของชาติ กระทำเพื่อชาติ หลีกเลี่ยงความไม่ชอบมาพากล อย่ามัวแต่เล่นเกมกัน โอกาสเดินไปข้างหน้าไม่ได้ วันนี้รัฐบาลได้ก่อหวอดความไม่ไว้วางใจ จุดชนวนความขัดแย้งเพิ่ม ความปรองดองจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย มาถึงวันนี้ทางออกของรัฐบาลมีอยู่น้อยมาก การยุบสภาถือว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะถึงอยู่ไปก็ไปไม่รอด”ศ.ดร.สมบัติ กล่าว
รศ.ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวว่า รัฐบาลได้เลือกวิธีที่โง่เขลา มุ่งแต่จะเป็นรัฐบาลให้ได้ ไม่ได้คำนึงถึงความสูญเสีย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่มาก วิธีการที่ทำนั้นเป็นการกระทำที่ปราศจากความมีมนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง เป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือด ดังนั้นไม่มีทางที่จะบริหารประเทศไปได้ ไม่มีใครยอมรับแม้ว่าจะก้มหน้าก้มตาแถลงนโยบายไปแล้ว ประเมินว่าภายใน 1-2 วันนี้รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ไม่ลาออกเองก็ถูกประชาชนกดดันให้ออก ซึ่งจากการสังเกตมีประชาชนจำนวนมากทยอยเข้ามาร่วมชุมนุม แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ประชาชนไม่เอาแล้ว
ขณะที่บรรดาอาจารย์ นศ. ภาคีวิชาการของนิด้าก็ได้ร่วมออกแถลงการณ์ ประณามการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลเช่นกัน
ด้าน ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า มองเห็นทางออก 2 ทางคือ รัฐบาลต้องยุบสภา และอีกทางหนึ่งต้องมีบุคคลที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายเชื่อฟัง ศรัทธาและรัก พูดให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เกิดความสมานฉันท์ขึ้น คาดว่าหากเหตุการณ์ยังยืดเยื้อ ทางเลือก 2 ทางต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
อมธ.ซัดรุนแรงขัดหลักสิทธิมนุษยชน
องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม มีการใช้แก๊สน้ำตาอย่างผิดหลักสิทธิมนุษยชนและกระทำเกินกว่าเหตุจนเกิดความสูญเสีย ผิดหลักมนุษยธรรม ละเมิดเสรีภาพ อนามัย และร่างกายประชาชนอย่างสาหัส อีกทั้งยังประกาศปราบปรามต่อเนื่อง ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวของรัฐบาล นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์แล้ว ยังเป็นสัญญาณอันตรายซ้ำเติมวิกฤติการณ์ ทางองค์การนักศึกษาฯ จึงขอเรียกร้องและเสนอแนะ ดังนี้ 1.ให้ตำรวจยุติการใช้ความรุนแรงทันที 2.ให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหาสาเหตุที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะเป็นการใช้เพียงแก๊สน้ำตา และ 3. ขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างสันติ โดยไม่มีนัยซ่อนเร้น ไม่เลือกปฏิบัติ และเป็นตามกรอบกฎหมาย หากทำไม่ได้ต้องทบทวนและพิจารณาบทบาทหน้าที่ของตน และขอวิงวอนทุกฝ่ายให้ใช้สติในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อประเทศชาติ
ส.นักข่าวร้องยุติความรุนแรง
น.ส.นาตยา เชษฐโชติรส นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าชุมนุมปิดล้อมบริเวณหน้ารัฐสภาเพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม เพื่อเปิดทางให้คณะรัฐมนตรี และ ส.ส.เข้าไปประชุมรัฐสภาได้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จนการชุมนุมประท้วงได้ขยายวงกว้างขึ้น ในที่สุดตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมอีกหลายครั้ง จนทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า การใช้กำลังในการสลายการชุมนุมและการตอบโต้ของกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลายจนไม่อาจแก้ไขได้ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง หยุดการเคลื่อนไหว เพื่อตั้งสติทบทวนท่าทีและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
นอกจากนี้ มีผู้สื่อข่าวจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ทางสมาคมฯ มีความกังวลและห่วงใยในความปลอดภัยของนักข่าวทุกคน จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจความยากลำบากในการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวที่ต้องรายงานข่าวสู่สาธารณชน และขอให้นักข่าวทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากมีนักข่าวได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวหลายคนแล้ว
น.ส.นาตยา กล่าวต่อว่า หากเหตุการณ์รุนแรงนี้ยังไม่ยุติ ทางสมาคมฯ จะมีมาตรการโดยออกปลอกแขนให้นักข่าว เพื่อให้ทำงานสะดวกขึ้น และได้รับความปลอดภัย
เครือข่ายศิลปินชี้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์
ที่ห้องประชุม 14 ตุลา ด้านหลังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตยนำโดย นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ พร้อมแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย รวมทั้งนายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน นายจิรายุส วรรธนะสิน หรือ โจ นูโว นายอำนวย จั่นเงิน นายมงคล อุทก และกลุ่มศิลปินเพื่อชีวิตกว่า 40 คน ได้ร่วมกันแถลงการณ์ประณามและคัดค้านการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและอาวุธเครื่องระเบิดยิงที่ใส่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ซึ่งใช้สิทธิโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ส่อเจตนาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งปราศจากอาวุธอย่างไร้มโนธรรมสำนึกของความเป็นมนุษย์
พร้อมกันนี้ กลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตยได้ เปรียบเทียบเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ว่าเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และกล่าวด้วยว่า ความอยุติธรรมนั้นไม่ว่าจะเกิดกับผู้ใดและที่ใด ย่อมคุกคามความยุติธรรมแก่ทุกคนและทุกที่เสมอไป
ภายหลังเสร็จสิ้นแถลงการณ์แล้ว กลุ่มศิลปินทั้งหมดได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล สมทบกับนายอังคาร กัลยาณพงษ์ ศิลปินแห่งชาติ ที่รออยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
จากการที่ตำรวจใช้อาวุธสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมกันอยู่ที่บริเวณหน้ารัฐสภาทั้งในช่วงเช้าและช่วงบ่าย วานนี้(7 ต.ค.) นั้น องค์กรต่างๆ รวมทั้งนักวิชาการได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นจำนวนมาก
เครือข่ายเภสัชฯ ไล่รบ.สามานย์พ้นประเทศ
รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ประธานมูลนิธิเภสัชชนบท กล่าวว่า เครือข่ายเภสัชกรและสาธารณสุขเพื่อสังคม ประกอบด้วย มูลนิธิเภสัชชนบท ชมรมเภสัชชนบท กลุ่มศึกษาปัญหายา กลุ่มนักวิชาการเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม กลุ่มเภสัชกรมหาสารคามพิทักษ์ธรรม กลุ่มเภสัชกร 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มเภสัชศาสตร์สังคมและบริหารภาคใต้ กลุ่มเภสัชกรเพื่อผู้บริโภคอุบลราชธานี กลุ่มเภสัชกรนครราชสีมาเพื่อมวลชน กลุ่มเภสัชกรเชียงใหม่พิทักษ์ธรรม ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อต่อต้านรัฐบาล เนื่องจากรับไม่ได้กับพฤติกรรมการใช้กำลังและความรุนแรง จัดการกับกลุ่มพันธมิตรที่ส่วนใหญ่คือผู้หญิงและผู้สูงอายุซึ่งไร้อาวุธ โดยมีข้อเรียกร้องคือ 1.รัฐบาลต้องหยุดใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมทันที 2.รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่เลือดของผู้ชุมนุม และตำรวจ ไหลรดลงแผ่นดินไทย
“เครือข่ายฯ ขอประกาศขับไล่รัฐบาลชุดนี้ให้ออกไป โดยพวกเราจะไม่มีวันยอมรับรัฐบาลและบุคคลในรัฐบาลทุกคน ที่ได้ทำร้ายเพื่อนร่วมชาติ มีเจตนาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง และขอเรียกว่านี่คือรัฐบาลเลือด พวกเราจะต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ถึงที่สุด และขอเชิญชวนให้ประชาชนไทยร่วมกันต่อต้านอย่ายอมอยู่ใต้การบริหารของรัฐบาลสามานย์”รศ.ดร.วิทยา กล่าว
แพทย์ชนบทจี้ รบ.ลาออกทั้งคณะ
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท ฉบับที่ 1 ต่อกรณีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเกินขอบเขตจนมีผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภาขาขาด เนื่องจากการที่รัฐบาลได้ใช้กำลังสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุต่อประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบบริเวณรอบรัฐสภา เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับต่อการแถลงนโยบายของรัฐบาลนอมินี2 ของนายกรัฐมนตรีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทั้งนี้ แถลงการณ์ระบุว่า 1. วิสัยของผู้นำประเทศที่ดีนั้นควรจักต้องมีสัจจะในการบริหารบ้านเมืองจึงจะสามารถนำพาประเทศให้พ้นวิกฤตได้ แต่ผู้นำรัฐบาลในยุคนี้กลับกำลังนำพาประเทศชาติไปสู่วิกฤต เนื่องจากในขณะที่รัฐบาลให้สัญญาณการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและมีนโยบายเน้นการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม แต่รัฐบาลกลับมีพฤติกรรมในการจับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าตำรวจไทยจะไม่มีทางกล้าจับ หากไม่มีการส่งสัญญาณไฟเขียวจากรัฐบาล แสดงให้เห็นถึงการตีสองหน้าของรัฐบาลอย่างชัดเจน
2. จากภาพการสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา ที่ปรากฏออกมาทางสื่อสารมวลชน จนทำให้มีผู้ชุมนุมต้องขาขาดและบาดเจ็บสาหัส บาดแผลไหม้เกรียม เป็นจำนวนมากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว เนื่องจากภาพที่ปรากฏส่อไปในทางให้เห็นได้ว่าตำรวจมีความตั้งใจทำร้ายประชาชนที่ต่อสู้แบบอหิงสา
3. ชมรมแพทย์ชนบทของประณามการสลายการชุมชุมที่ใช้ความรุนแรงเกินขอบเขตส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและทุพพลภาพ ในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ภายนอกดูนุ่มนิ่ม แต่ภายในนั้นซ่อนปืนซ่อนดาบ เห็นผู้ชุมนุมเป็นศัตรูทางการเมืองพร้อมใช้ความรุนแรงเข้าทำร้ายการชุมนุมตามสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน
4. ความรุนแรงไม่ได้ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น ยิ่งในค่ำคืนวันนี้ นับว่าเป็นคืนแห่งวิกฤต หากรัฐบาลยังเห็นประชาชนที่มีความเห็นต่างเป็นศัตรูที่ต้องเอาให้เจ็บให้ตาย ชมรมแพทย์ชนบทขอเรียกร้องให้โรงพยาบาลต่างๆในกรุงเทพและโรงพยาบาลชุมชนในเขตปริมณฑล ได้เตรียมความพร้อมหรือระดมรถพยาบาล เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การปะทะและการสลายการชุมนุมที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการลุแก่อำนาจของรัฐบาลมายา 2 หน้า
ชมรมแพทย์ชนบท ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมายา 2 หน้า ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกทั้งคณะ เพื่อเปิดทางให้มีการคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองด้วยกลไกทางการเมือง เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ อย่าให้ประชาชนต้องสูญเสียศรัทธาต่อประชาธิปไตยในระบอบผู้แทนไปมากกว่านี้เลย
ด้าน นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว ราษฎรอาวุโส กล่าวแสดงความห่วงใยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า รู้สึกตกใจ กับข่าวและภาพที่เห็นจากสื่อต่างๆ และห่วงใยประชาชนคนไทยทุกคน รวมถึงขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขา และอาสาสมัครที่ดูแลผู้บาดเจ็บโดยไม่ทอดทิ้ง ตนจะขอพรให้สถานการณ์กลับสู่ความสงบ และอยากฝากบอกทุกคนว่า เมื่อแสงทองส่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
‘‘กลุ่มแพทย์เพื่อ ปชต." ลั่นไม่ฟังคำสั่ง รบ.
วันเดียวกัน กลุ่มแพทย์ พยาบาลเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศแถลงการณ์จุดยืน ฉบับที่ 1 ดังนี้ 1. ขอยืนอยู่ข้างประชาชน....ไม่ยอมรับรัฐบาลที่ทำร้ายประชาชนที่บริสุทธิ์ทำให้มีการบาดเจ็บรุนแรงทั้งที่รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ และไม่ขอขึ้นตรงกับรัฐบาลที่ทำร้ายประชาชน จะขอเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คอยดูแลประชาชนโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย 2. รัฐบาลไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป 3. ขอให้ ทหาร ตำรวจ เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ข้างประชาชน ไม่ทอดทิ้งและทำร้ายประชาชน 4. แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขทั่วประเทศ พร้อมเป็นหน่วยแพทย์ พยาบาล เคลื่อนที่เร็ว ช่วยเหลือประชาชนโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และขอให้ ตำรวจ ทหาร อำนวยความสะดวก บุคลากรทางการแพทย์ ในการทำงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 5. เห็นด้วยในการดำเนินการของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในแนวทางสันติและอหิงสา
ทั้งนี้ กลุ่มแพทย์ดังกล่าวประกอบด้วยนพ.สวรรค์ กาญจนะ ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ รศ.นพ.เชาวลิต ไพโรจน์กุล ผศ.นพ.ภัทรวุฒิ วัฒนศักดิ์ ศาสตร์ รศ.นพ.ภากร จันทนมัฐฏะ ผศ.นพ.สมพร ลี้พลมหา ผศ.นพ.สุธี รัตนมงคลกุล นพ.รังสฤษณ์ กาญจนะวนิช ผศ.นพ.ธีระพงษ์ สุขไพศาล นพ.ฐาปณวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ นพ.ณรงค์ศักดิ์ วชิรานันทวัฒน์ นพ.ประมวล ไทยงามศิลป์ นพ.พงศ์ศักดิ์ ชุมพงษ์ทอง นพ.จรัส จันทร์ตระกูล นพ.ธีระพล สุขมาก ภก.จุลพงษ์ พงษ์ไพบูลย์ ภก.สุทธิพงษ์ รวมทั้งกลุ่มพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของรพ.ทุ่งสง
อัดยับลั่นแค่มาเป็นรัฐบาลก็ผิดแล้ว
วันเดียวกันที่ตึกสิรินธร รพ.จุฬาฯ กลุ่มอาจารย์แพทย์และแพทย์ประจำบ้านของโรงเรียนแพทย์ 8 สถาบันประกอบด้วย ตัวแทนจากคณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น,จุฬาฯ.,ม.เชียงใหม่,ม.ธรรมศาสตร์,รามาฯ,มศว,ศิริราช,ม.สงขลาออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ประณามการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะผู้ประสานงาน กล่าวว่าเป้าหมายในการออกแถลงการณ์ในครั้งนี้ เพื่อนำเสนอความรู้สึกของบุคลากรแพทย์ ถึงการกระทำของรัฐบาลและชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทำถูกต้องหรือไม่ จึงอยากชี้ชวนสังคมว่า เราอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว อยากให้ตระหนักถึงความเป็นไปที่แท้จริง และเราไม่มีสิทธิไปชี้นำให้จับใครมาลงโทษ แต่ต้องการให้ทุกคนรู้สึกต่อเรื่องราวที่เกี่ยวเกิดขึ้น และแถลงการณ์ที่ออกไปนี้ จะนำส่งไปยังผู้นำทุกเหล่าทัพ ในส่วนของกรณีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาด
นพ.เกรียงยืนยันว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการระเบิดของแก๊สน้ำตาแน่นอน มันมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่นี่เป็นเพียงหลักที่แพทย์วินิจฉัย เนื่องจากยังไม่สามารถหาหลักฐานที่แน่ชัดในการตรวจสอบ เมื่อถามว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของรัฐบาลหรือไม่ ศ.นพ.เกรียงกล่าวว่า "ผิดตั้งแต่เริ่มมีรัฐบาลชุดนี้แล้ว"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงการณ์ ได้มีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ที่เข้ารับฟังการแถลงการณ์ ก็ได้ยก "มือตบ" ขึ้นมาตบกันอย่างสนั่นหวั่นไหว
สำหรับแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้... "สืบเนื่องจากเช้าวันที่ 7 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐบาลจนมีผู้บาดเจ็บถึงสาหัสหลายราย และมีประชาชน 1 ราย พิการขาขาด ทางกลุ่มจึงเรียกร้องดังนี้
1. ขอประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้สั่งการ ในการใช้กำลังทำร้ายประชาชนที่ทำการชุมนุมโดยสันติวิธี เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดในประเทศที่เจริญแล้ว 2. รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องยุติการกระทำรุนแรงดังกล่าว และไม่นำวิธีรุนแรงอันจะก่อให้เกิดความรุนแรงอันจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บและความสูญเสียทั้งร่างกายและจิตใจเช่นนี้มาใช้อีกในการปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมด้วยสันติวิธี 3.ขอเรียกร้องให้นำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่รุนแรงและไร้มนุษยธรรมในครั้งนี้มาลงโทษ
สภาทนายความซัด ตร.โจร
ขณะที่สภาทนายความก็ได้ออกแถลงการณ์โดยระบุว่า 1. รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จัดตั้งขึ้นเป็นการสืบทอดอำนาจจากบริหารจากรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะถูกยุบพรรคพลังประชาชนเพราะเหตุที่กรรมการบริหารพรรค ได้ถูกคำพิพากษาของศาลฎีกาว่าใช้สิทธิเลือกตั้งโดยทุจริตและเป็นเหตุให้พรรคต้องถูกยุบไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นประเด็นที่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของศาล
2.สำหรับกรณีที่มีความเห็นทางกฎหมายภาครัฐหรือฝ่ายการเมืองที่เห็นว่า ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดก็ยังจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น จริงๆ แล้วที่ถูกต้องแนวความเห็นดังกล่าวใช้กับคดีอาญาเท่านั้น ซึ่งต่างกับความสง่างามของพรรคการเมือง โดยความสง่างามของสมาชิกนิติบัญญัติขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือที่ต้องใช้หลักกฎหมายในทางทฤษฎีความน่าจะเป็น ไม่ใช่ทฤษฎีให้ปราศจากข้อสงสัยเช่นในทางคดีอาญา เมื่อไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะเหตุที่พรรคการเมืองโดยที่มีกรรมการบริหารพรรคทำการทุจริตตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกา ก็เท่ากับว่าการได้มาซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในสภานั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ดังนั้นเมื่อเป็นการได้มาโดยไม่สุจริตย่อมที่จะไม่ได้รับการรับรองและไม่ควรจะรับรอง
3.แนวความคิดของการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้น ได้ต่อสู้กับการทุจริตทุกรูปแบบและเป็นเรื่องที่นานาอารยประเทศให้ความสนใจ โดยเฉพาะมีกติกาขององค์การสหประชาชาติที่สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกร่วมกันป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ปัจจุบันประเทศไทยเป็นเพียงภาคีสมาชิก เห็นได้ว่าระดับการทุจริตของประเทศไทยนั้นเป็นระดับที่สูงขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว และมีความพยายามอย่างมากที่จะทำให้การทุจริตรับสินบนนั้นเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลที่ผ่านมา สภาทนายความจึงเห็นว่าการชุมนุมต่อต้านการกระทำของพรรคการเมืองที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่หากได้มาอย่างไม่สุจริตแล้ว ย่อมไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะมีอำนาจสั่งการอย่างใด แต่การชุมนุมต่อต้านของประชาชนที่ดำเนินไปจึงชอบด้วยกฎหมาย
4.สภาทนายความเสียใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจลุแก่อำนาจใช้อาวุธยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยเล็งเห็นได้ชัดว่าจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นได้ แต่ก็ยังฝ่าฝืนกระทำทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารัฐบาลที่ได้พยายามจัดตั้งขึ้นมาในคราวนี้ยังมีปัญหาค้างคาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่มีโอกาสถูกเพิกถอน ดังนั้นการกระทำที่เกินไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องมีผู้รับผิดชอบ สภาทนายความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามเพราะคำสั่งดังกล่าวของผู้บังคับบัญชาเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญและขัดต่อแนวนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ถูกต้อง รวมทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก
5.สภาทนายความขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) สั่งระงับการดำเนินการอย่างใดที่ใช้กำลังเพื่อปะทะกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธซึ่งชุมนุมคัดค้านและส่วนใหญ่เป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการของรัฐบาลที่มีที่มาโดยไม่ชอบอันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของการชุมนุม ดังนั้นการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กระทำโดยอำนาจที่ไม่ชอบหรือตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นเรื่องที่ผู้ออกคำสั่งก็ดี ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งก็ดี ต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเครือข่าย-องค์กรได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำในครั้งนี้ เช่น มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี (Peaceway Foundation),โรงเรียนสาธิตมัฆวานแห่งมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ฯลฯ
อธิการบดีฟันธง 1-2 วัน รบ.จบเห่
ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นรัฐบาลชุดนี้เคยประกาศว่าจะเดินหน้านำไปสู่ความสมานฉันท์ แสดงท่าทีที่จะเจรจา เพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ ซึ่งการจับกุมแกนนำผู้ชุมนุม หรือ สลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงครั้งนี้ปิดโอกาสที่จะเจรจา นำไปสู่ความสงบเรียบร้อย เพราะความไม่ไว้ใจกัน สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาล ถึงดึงดันบริหารประเทศไป ก็จะส่งผลเสียให้กับประเทศชาติ
“การสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากถึงขั้นแขน ขาขาดนั้น ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ดังนั้นรัฐบาลต้องสอบสวนผู้ที่กระทำอย่างจริงจัง ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมองประโยชน์ของชาติ กระทำเพื่อชาติ หลีกเลี่ยงความไม่ชอบมาพากล อย่ามัวแต่เล่นเกมกัน โอกาสเดินไปข้างหน้าไม่ได้ วันนี้รัฐบาลได้ก่อหวอดความไม่ไว้วางใจ จุดชนวนความขัดแย้งเพิ่ม ความปรองดองจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย มาถึงวันนี้ทางออกของรัฐบาลมีอยู่น้อยมาก การยุบสภาถือว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะถึงอยู่ไปก็ไปไม่รอด”ศ.ดร.สมบัติ กล่าว
รศ.ดร. พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวว่า รัฐบาลได้เลือกวิธีที่โง่เขลา มุ่งแต่จะเป็นรัฐบาลให้ได้ ไม่ได้คำนึงถึงความสูญเสีย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่มาก วิธีการที่ทำนั้นเป็นการกระทำที่ปราศจากความมีมนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง เป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือด ดังนั้นไม่มีทางที่จะบริหารประเทศไปได้ ไม่มีใครยอมรับแม้ว่าจะก้มหน้าก้มตาแถลงนโยบายไปแล้ว ประเมินว่าภายใน 1-2 วันนี้รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ไม่ลาออกเองก็ถูกประชาชนกดดันให้ออก ซึ่งจากการสังเกตมีประชาชนจำนวนมากทยอยเข้ามาร่วมชุมนุม แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ประชาชนไม่เอาแล้ว
ขณะที่บรรดาอาจารย์ นศ. ภาคีวิชาการของนิด้าก็ได้ร่วมออกแถลงการณ์ ประณามการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลเช่นกัน
ด้าน ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า มองเห็นทางออก 2 ทางคือ รัฐบาลต้องยุบสภา และอีกทางหนึ่งต้องมีบุคคลที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายเชื่อฟัง ศรัทธาและรัก พูดให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เกิดความสมานฉันท์ขึ้น คาดว่าหากเหตุการณ์ยังยืดเยื้อ ทางเลือก 2 ทางต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
อมธ.ซัดรุนแรงขัดหลักสิทธิมนุษยชน
องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม มีการใช้แก๊สน้ำตาอย่างผิดหลักสิทธิมนุษยชนและกระทำเกินกว่าเหตุจนเกิดความสูญเสีย ผิดหลักมนุษยธรรม ละเมิดเสรีภาพ อนามัย และร่างกายประชาชนอย่างสาหัส อีกทั้งยังประกาศปราบปรามต่อเนื่อง ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวของรัฐบาล นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดความสมานฉันท์แล้ว ยังเป็นสัญญาณอันตรายซ้ำเติมวิกฤติการณ์ ทางองค์การนักศึกษาฯ จึงขอเรียกร้องและเสนอแนะ ดังนี้ 1.ให้ตำรวจยุติการใช้ความรุนแรงทันที 2.ให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหาสาเหตุที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะเป็นการใช้เพียงแก๊สน้ำตา และ 3. ขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างสันติ โดยไม่มีนัยซ่อนเร้น ไม่เลือกปฏิบัติ และเป็นตามกรอบกฎหมาย หากทำไม่ได้ต้องทบทวนและพิจารณาบทบาทหน้าที่ของตน และขอวิงวอนทุกฝ่ายให้ใช้สติในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อประเทศชาติ
ส.นักข่าวร้องยุติความรุนแรง
น.ส.นาตยา เชษฐโชติรส นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าชุมนุมปิดล้อมบริเวณหน้ารัฐสภาเพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม เพื่อเปิดทางให้คณะรัฐมนตรี และ ส.ส.เข้าไปประชุมรัฐสภาได้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จนการชุมนุมประท้วงได้ขยายวงกว้างขึ้น ในที่สุดตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมอีกหลายครั้ง จนทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า การใช้กำลังในการสลายการชุมนุมและการตอบโต้ของกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลายจนไม่อาจแก้ไขได้ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง หยุดการเคลื่อนไหว เพื่อตั้งสติทบทวนท่าทีและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
นอกจากนี้ มีผู้สื่อข่าวจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ทางสมาคมฯ มีความกังวลและห่วงใยในความปลอดภัยของนักข่าวทุกคน จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจความยากลำบากในการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวที่ต้องรายงานข่าวสู่สาธารณชน และขอให้นักข่าวทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากมีนักข่าวได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวหลายคนแล้ว
น.ส.นาตยา กล่าวต่อว่า หากเหตุการณ์รุนแรงนี้ยังไม่ยุติ ทางสมาคมฯ จะมีมาตรการโดยออกปลอกแขนให้นักข่าว เพื่อให้ทำงานสะดวกขึ้น และได้รับความปลอดภัย
เครือข่ายศิลปินชี้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์
ที่ห้องประชุม 14 ตุลา ด้านหลังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตยนำโดย นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ พร้อมแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย รวมทั้งนายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน นายจิรายุส วรรธนะสิน หรือ โจ นูโว นายอำนวย จั่นเงิน นายมงคล อุทก และกลุ่มศิลปินเพื่อชีวิตกว่า 40 คน ได้ร่วมกันแถลงการณ์ประณามและคัดค้านการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและอาวุธเครื่องระเบิดยิงที่ใส่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ซึ่งใช้สิทธิโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ส่อเจตนาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งปราศจากอาวุธอย่างไร้มโนธรรมสำนึกของความเป็นมนุษย์
พร้อมกันนี้ กลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตยได้ เปรียบเทียบเหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ว่าเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และกล่าวด้วยว่า ความอยุติธรรมนั้นไม่ว่าจะเกิดกับผู้ใดและที่ใด ย่อมคุกคามความยุติธรรมแก่ทุกคนและทุกที่เสมอไป
ภายหลังเสร็จสิ้นแถลงการณ์แล้ว กลุ่มศิลปินทั้งหมดได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล สมทบกับนายอังคาร กัลยาณพงษ์ ศิลปินแห่งชาติ ที่รออยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว