ผู้จัดการรายวัน - 'สมชาย' หน้าซีด เครียดจัด หลังเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ้อมแอ้มยืนยันตราบใดยังอยู่ก็ต้องทำงานต่อไป ปัดตอบยุบสภาหรือไม่ ขณะที่ ป.ป.ช. เตรียมชี้มูลความผิด 'สมชาย' สมัยนั่งปลัดฯยุติธรรม ใช้อำนาจมิชอบสั่งระงับคดีอธิบดีฯ และรองอธิบดีฯ ไม่เก็บค่าธรรมเนียม 70 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็น วานนี้ (13 ต.ค.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังไกลกังวลหัวหิน จ.ประจวบคิรีขันธ์ จนกระทั้งเวลา 20.50 น. ได้เดินทางกลับด้วยเฮลิคอปเตอร์มายังที่สนามบินดอนเมือง
นายสมชาย เดินลงจากเฮลิคอปเตอร์ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ยิ้มแย้มและดูซีดเซียวกว่าปกติ โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า 'คือผม...เวลาที่ผ่านมาก็ขอพระบรมราชานญาติเข้าเฝ้าฯ ก็เป็นการเข้าเฝ้าเพื่อถวายรายการการทำงานที่ผ่านมา ตามปกติ เหมือนที่นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ เคยขอพระบรมราชานุญาติเข้าเฝ้าฯ'
ผู้สื่อข่าวถามว่าพระองค์ให้กำลังในการทำงานหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า 'ก็คงจะพูดไม่ได้ ก็คงเรียนได้เท่านี้' เมื่อถามว่าทรงห่วงอะไรกับสถานการณ์บ้านเมือง ขณะนี้หรือไม่ นายสมชาย กล่าวย้ำว่าเป็นการเข้าเฝ้าถวายรายการตามปกติ
'งานตราบใดยังอยู่ในตำแหน่ง หน้าที่มันก็ต้องทำต่อตลอดแหละ อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ก็คงไม่ใช่'นายสมชาย กล่าวย้ำแต่ไม่หนักแน่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ก่อนจะกล่าวว่า "พรุ่งนี้ (14 ต.ค.) จะมีการประชุม ครม.ตามปกติ"
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าเฝ้า ทำให้มีกำลังใจมากขึ้นหรือไม่ นายสมชาย กล่าวทวนคำถามและตอบว่า "ผมมีกำลังใจหรือไม่ใช่ไหม ผมมีกำลังใจ" เมื่อถามว่ายังเดินหน้าทำงานต่อไม่ยุบสภาใช่หรือไม่นายสมชายไม่ตอบและเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทำงาน ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว ดอนเมืองทันที
ปชป.เตรียมเชือดใช้อำนาจมิชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าวันที่ 16 ต.ค.ที่จะถึงนี้ จะมีวาระ การลงมติชี้มูลความผิดคดี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม กรณีการสั่งระงับเรื่องไม่ให้ดำเนินคดีกับนายประมาณ ตียะไพบูลย์สิน อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี และนายมานิต สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ที่ไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม จำนวน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินศาล จ.ธัญญบุรี จนเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องนี้ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในวาระการประชุมแต่เป็นเรื่องที่สำนักงานเลขาธิการป.ป.ช.ได้เลื่อนมาค้างพิจารณาไว้ตั้งแต่เดือนก.ย. ดังนั้น การหยิบยก เรื่องดังกล่าวมาพิจารณาจึงอยู่ที่คณะกรรมการป.ป.ช.จะเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน หรือไม่
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตั้งแต่เดือนพ.ย. 2549 โดยมีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งคณะอนุกรรมการฯได้รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้สรุปสำนวนคดีส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาชี้มูลในวันที่ 16 ต.ค.นี้
โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงแก่นายประมาณและนายมานิตไปแล้ว ว่ามีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ฐานทุจริตต่อหน้าที่ จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบ และกระทำผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตามประมวล กฎหมายอาญามาตรา 157
แหล่งข่าวจากป.ป.ช. กล่าวว่า หากป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมากให้นายสมชาย มีความผิดก็จะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องศาลต่อไป แต่จะเกิดปัญหาว่า นายสมชายจะต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ เนื่องจาก ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 มาตรา 55 ระบุว่า 'ในกรณีที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลและข้อกล่าวหานั้นเป็นเรื่องที่ประธานวุฒิสภา ส่งมาตาม มาตรา 43 (1) หรือ ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 43(2) นับแต่วันที่คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาแล้วแต่กรณี'
แหล่งข่าวกล่าวว่าในกรณีจะเกิดปัญหาว่านายสมชายต้องยุติการทำงานหรือไม่ เพราะเป็นกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกันโดยต้องพิจารณาว่าการกระทำสมัย ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมจะมีผลบังคับมาถึงตำแหน่งนายกฯและรมว.กลาโหมที่นายสมชายดำรงอยู่หรือไม่ เหมือนกับกรณีที่ 3 รัฐมนตรีมีปัญหา ในเรื่องคุณสมบัติจากการเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน ดังนั้น ป.ป.ช.อาจต้องส่งเรื่อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็น วานนี้ (13 ต.ค.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังไกลกังวลหัวหิน จ.ประจวบคิรีขันธ์ จนกระทั้งเวลา 20.50 น. ได้เดินทางกลับด้วยเฮลิคอปเตอร์มายังที่สนามบินดอนเมือง
นายสมชาย เดินลงจากเฮลิคอปเตอร์ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ยิ้มแย้มและดูซีดเซียวกว่าปกติ โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า 'คือผม...เวลาที่ผ่านมาก็ขอพระบรมราชานญาติเข้าเฝ้าฯ ก็เป็นการเข้าเฝ้าเพื่อถวายรายการการทำงานที่ผ่านมา ตามปกติ เหมือนที่นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ เคยขอพระบรมราชานุญาติเข้าเฝ้าฯ'
ผู้สื่อข่าวถามว่าพระองค์ให้กำลังในการทำงานหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า 'ก็คงจะพูดไม่ได้ ก็คงเรียนได้เท่านี้' เมื่อถามว่าทรงห่วงอะไรกับสถานการณ์บ้านเมือง ขณะนี้หรือไม่ นายสมชาย กล่าวย้ำว่าเป็นการเข้าเฝ้าถวายรายการตามปกติ
'งานตราบใดยังอยู่ในตำแหน่ง หน้าที่มันก็ต้องทำต่อตลอดแหละ อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ก็คงไม่ใช่'นายสมชาย กล่าวย้ำแต่ไม่หนักแน่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ก่อนจะกล่าวว่า "พรุ่งนี้ (14 ต.ค.) จะมีการประชุม ครม.ตามปกติ"
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าเฝ้า ทำให้มีกำลังใจมากขึ้นหรือไม่ นายสมชาย กล่าวทวนคำถามและตอบว่า "ผมมีกำลังใจหรือไม่ใช่ไหม ผมมีกำลังใจ" เมื่อถามว่ายังเดินหน้าทำงานต่อไม่ยุบสภาใช่หรือไม่นายสมชายไม่ตอบและเดินกลับขึ้นไปที่ห้องทำงาน ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว ดอนเมืองทันที
ปชป.เตรียมเชือดใช้อำนาจมิชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าวันที่ 16 ต.ค.ที่จะถึงนี้ จะมีวาระ การลงมติชี้มูลความผิดคดี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม กรณีการสั่งระงับเรื่องไม่ให้ดำเนินคดีกับนายประมาณ ตียะไพบูลย์สิน อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี และนายมานิต สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ที่ไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม จำนวน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินศาล จ.ธัญญบุรี จนเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องนี้ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในวาระการประชุมแต่เป็นเรื่องที่สำนักงานเลขาธิการป.ป.ช.ได้เลื่อนมาค้างพิจารณาไว้ตั้งแต่เดือนก.ย. ดังนั้น การหยิบยก เรื่องดังกล่าวมาพิจารณาจึงอยู่ที่คณะกรรมการป.ป.ช.จะเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน หรือไม่
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตั้งแต่เดือนพ.ย. 2549 โดยมีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งคณะอนุกรรมการฯได้รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้สรุปสำนวนคดีส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาชี้มูลในวันที่ 16 ต.ค.นี้
โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงแก่นายประมาณและนายมานิตไปแล้ว ว่ามีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ฐานทุจริตต่อหน้าที่ จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบ และกระทำผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตามประมวล กฎหมายอาญามาตรา 157
แหล่งข่าวจากป.ป.ช. กล่าวว่า หากป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมากให้นายสมชาย มีความผิดก็จะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องศาลต่อไป แต่จะเกิดปัญหาว่า นายสมชายจะต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ เนื่องจาก ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 มาตรา 55 ระบุว่า 'ในกรณีที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลและข้อกล่าวหานั้นเป็นเรื่องที่ประธานวุฒิสภา ส่งมาตาม มาตรา 43 (1) หรือ ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 43(2) นับแต่วันที่คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาแล้วแต่กรณี'
แหล่งข่าวกล่าวว่าในกรณีจะเกิดปัญหาว่านายสมชายต้องยุติการทำงานหรือไม่ เพราะเป็นกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกันโดยต้องพิจารณาว่าการกระทำสมัย ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมจะมีผลบังคับมาถึงตำแหน่งนายกฯและรมว.กลาโหมที่นายสมชายดำรงอยู่หรือไม่ เหมือนกับกรณีที่ 3 รัฐมนตรีมีปัญหา ในเรื่องคุณสมบัติจากการเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน ดังนั้น ป.ป.ช.อาจต้องส่งเรื่อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ.
